เศรษฐกิจฐานชีวภาพ

ทิศทางประเทศไทยยุค 4.0 "เศรษฐกิจฐานชีวภาพ" เรียบเรียงจาก รายการทันโลกทันธรรม

สาระดีๆทันโลกโดย นพ.ฉัตรชัย ศรีบัณฑิต และชุลีพร ช่วงรังษี

     ประเทศชาติจะมั่งคั่งได้ เศรษฐกิจของประเทศจะต้องมั่นคง ซึ่งเศรษฐกิจจะมั่นคงได้ จะต้องมีการขับเคลื่อนที่ดี แล้วตอนนี้ก็มีแนวโน้มใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เขาเรียกว่า เศรษฐกิจฐานชีวภาพ พอฟังสองคำนี้ไม่ว่าจะคำว่าเศรษฐกิจหรือคำว่าชีวภาพ ดูแล้วไม่น่าจะเข้ากันเลย แต่นี่เป็นแนวโน้มสำคัญเลย วันนี้จึงมาพูดคุยกันเศรษฐกิจฐานชีวภาพคืออะไร แล้วมีความสำคัญอย่างไร มาแยกทีละคำเริ่มต้นด้วยคำว่าชีวภาพก่อน เพราะว่าเราฟังกันมาเยอะแล้วว่าชีวภาพ ชีวภาพ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า คำว่าชีวภาพหมายความว่าอะไร

     สำหรับชีวภาพก็คือ ที่ว่า bio เพราะว่าเศรษฐกิจฐานชีวภาพนี้ความจริงก็ถอดมาจากคำว่า bioeconomy นั่นเอง ชีวภาพคือสิ่งมีชีวิตนั่นเอง ก็คือทุกอย่างที่อยู่ในระบบนิเวศนะครับ ซึ่งในระบบนิเวศเอง มีทั้งพืชและสัตว์นั่นอีก พืช สัตว์ จุลินทรีย์ ล้วนเป็นสิ่งที่เรียกว่าชีวภาพ แล้วก็อาศัยอยู่ในระบบนิเวศเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ก่อให้เกิดการสร้างชีวิตใหม่ และก็การสืบขยายชีวิตต่อไป ถ้าเกิดว่าอยู่ในความสมดุล ก็จะเป็นลักษณะของความหลากหลายทางชีวภาพที่ก่อความสมดุล โดยเฉพาะในเขตร้อน จะมีสิ่งที่เรียกว่า biodiversity

     biodiversity หรือว่า ความหลากหลายทางชีวภาพสูง เพราะว่าอากาศดี อาหารดี น้ำดี ทุกอย่างดี อากาศก็ไม่เย็นจนกระทั่งกลายเป็นน้ำแข็ง และก็ไม่ร้อนมากจนเกินไปจนกระทั่งสัตว์อยู่ไม่ได้ อย่างเช่น ขาดน้ำ น้ำแห้งไปหมด เพราะฉะนั้นในเขตร้อนนั่นเอง เป็นเขตที่ได้เปรียบในแง่ของความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งส่งผลต่อปัจจัย 4ของมนุษย์ ทำให้อุดมสมบูรณ์มากขึ้น

     เศรษฐกิจฐานชีวภาพคืออะไร ก็คือการที่ใช้องค์ประกอบของชีวภาพต่างๆเหล่านี้มาพัฒนาเป็นเศรษฐกิจ นำมาขายนั่นเอง นำมาพัฒนาต่อยอดต่างๆ โดยอาศัยฐานจากชีวภาพ หรือฐานจากสิ่งมีชีวิต เรียกว่าเอาวัตถุดิบ เรียกว่าเอาทรัพยากรธรรมชาติ จากพืช จากสัตว์ จากจุลินทรีย์ ทุกอย่างที่มีอยู่ในธรรมชาติที่มีอยู่ในท้องถิ่น เอามาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจนั่นเอง

      ปัจจุบันนี้โลกเราหรือประเทศเราให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยชีวภาพขนาดไหน การขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจฐานชีวภาพ มีความสำคัญ และทุกประเทศ ไม่ว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือกำลังพัฒนาก็ตาม ต่างล้วนมองว่าจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานชีวภาพพัฒนาและต่อยอดอย่างไร โดยที่นอกจากจะเป็นพื้นฐานมีองค์ภูมิปัญญาท้องถิ่น ก็ยังต้องเอาเทคโนโลยีเข้ามาดูว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง จะปรับปรุงเทคโนโลยีที่มีอยู่อย่างไรบ้าง จะสร้างสมดุลยังไง จะปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ยังไง เพราะว่าเศรษฐกิจแบบอุตสาหกรรม อาจจะทำลายสิ่งแวดล้อมไปจนหมด เศรษฐกิจชีวภาพต้องหาก็ต้องหาทางฟื้นฟูว่า จะฟื้นฟูยังไงสร้างสมดุลให้ชีวิตได้อยู่ในระบบนิเวศแล้วมีอาหารหล่อเลี้ยงซึ่งกันและกัน แล้วดำรงอยู่ด้วยกันได้ ฟังแล้วเหมือนกลับเข้าสู่สามัญ สู่พื้นฐานยุคดั้งเดิมที่มนุษย์จะต้องหาสิ่งของในท้องถิ่นมาทำมาหากินกัน

การแบ่งกลุ่มเศรษฐกิจฐานชีวภาพออกเป็น 3 ระดับ

     1.ชุมชนเน้นที่ภูมิปัญญาท้องถิ่น ผลิตภัณฑ์ต่างที่ ท้องถิ่นสร้างขึ้นมาได้ โดยอาศัยเทคโนโลยีเดิมที่มีอยู่ อย่างเช่นการหมัก เอนไซม์ จากพืชผักผลไม้ ได้เอนไซม์ชีวภาพมาซึ่งต่อยอดสามารถเอาไปทำเป็นสบู่ ทำเป็นเครื่องสำอาง หรือทำเป็นแชมพู เป็นอะไรต่างๆที่ลักษณะใช้จากธรรมชาติ ทำน้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้า หรือผลิตภัณฑ์จากดอกอัญชัน จากลูกมะกรูด ซึ่งอาจจะเป็นแชมพูก็ได้ ครีมนวดต่างๆ เอาสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติแล้วก็มาพัฒนาโดยอาศัยภูมิปัญญาของชุมชน อันนี้ก็เป็นอันดับแรก ที่เรียกว่าเศรษฐกิจฐานชีวภาพในระดับชุมชน

     2.ขั้นต้นหมายถึงเป็นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพนั้นๆ แล้วมีการต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นขึ้นมา โดยอาศัยความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์ก็ดี การบริหารเพื่อเพิ่มผลผลิตก็ดี เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งขึ้น กลายเป็น Otop ส่งออก กลายเป็นOtop ห้าดาว เป็นต้น คือพัฒนาต่อยอดขึ้นมาจากภูมิปัญญาดั้งเดิม นี่ก็เป็นขั้นที่ 2 เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เข้าระบบเศรษฐกิจที่กว้างใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นมาอีก

     3.ก้าวหน้าเป็นเรื่องของ R&D เป็นเรื่องการต่อยอดพัฒนา โดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงขึ้นไป ซึ่งมีทั้งข้อโต้แย้ง อย่างเรื่องของการตัดต่อพันธุกรรม หรือการเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์ การสร้างสายพันจุลินทรีย์ขึ้นมา ซึ่งปัจจุบันนี้ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลี ถือเป็นประเทศส่งออกจุลินทรีย์อันดับ 1 เพราะว่าเขาทำจุลินทรีย์ขาย เพราะจุลินทรีย์แต่ละชนิดจะมีฤทธิ์ต่างกัน แล้วเขาก็เลยเลี้ยงจุลินทรีย์ขาย ซึ่งก็เป็นเศรษฐกิจในระดับก้าวหน้า ใช้เทคโนโลยีเข้ามากลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ขึ้นมาอีก อย่างเช่น อุตสาหกรรมยา

ข้อจำกัดและสิ่งที่ควรคำนึงถึง

     ถ้าเราดำเนินเศรษฐกิจฐานชีวภาพ เราต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง ต้องดูเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติ ว่ามีอะไรบ้าง นวัตกรรมเป็นอย่างไร ประชากร สังคม รูปแบบการบริโภค ความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกด้วย เป็นภาพรวมที่จะขยายไปได้ยอย่างไร ต้องดูให้รอบตัว ในส่วนของการทำผลิตภัณฑ์ โดยการเอาวัตถุดิบทางชีวภาพมาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้แน่นอน แล้วมีแนวอื่นที่จะใช้ชีวภาพขับเคลื่อนนอกจากสร้างผลิตภัณฑ์ จริงๆแล้วก็มีเช่น การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ

     การท่องเที่ยวเชิงนิเวศสามารถยกระดับขึ้นมาจากเศรษฐกิจฐานชีวภาพแล้วได้รับการพัฒนา สามารถที่จะเปิดให้เป็นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศได้ อย่างเช่นการปลูกดอกไม้เป็นสีชมพูให้ญี่ปุ่นมาดูเราบ้าง ซากุระเมืองไทย ซึ่งเราก็ต้องพยายามพัฒนาขึ้นมา แม้กระทั่งป่าชายเลนต่างๆ จริงๆแล้วเป็นแหล่งแบบที่สุดยอดมาก มีความแปลกประหลาดอยู่ในนั้นเยอะ

     ที่ญี่ปุ่นเคยเอาดินที่ป่าชายเลนประเทศไทยไป เพราะว่าญี่ปุ่นก็ตกใจว่า ทำไมป่าชายเลนไม่เหม็นทั้งๆที่มีซากสัตว์เต็มไปหมด มีกุ้ง มีปลา เต็มไปหมด แต่ทำไม่เหม็น เอาไปวิเคราะห์ปรากฏว่ามีจุลินทรีย์ที่อยู่ด้วยกัน มีเป็นเกือบ70 สายพันธุ์ แล้วญี่ปุ่นก็สกัดแยกออกทีละอย่างๆ สุดท้ายเขาก็ผลิตเป็นยาที่ทำจากเอนไซม์ ซึ่งต้นแหล่งมาจากดินป่าชายเลนประเทศไทย แล้วยาตัวนี้เวลาทานเข้าไปจะปรับระบบภายในตัวเราแบบมหาศาลเลย เพราะว่าสิ่งมีชีวิตต่างๆมันอยู่ด้วยกันปล่อยเอนไซม์ออกมาเยอะ เอนไซม์พวกนั้นทำให้แม้กระทั่งซากสัตว์ซึ่งเป็นของสกปรกเน่าเหม็นมันยังไม่มีกลิ่นเลย มันย่อยสลายได้หมด ของเสียในตัวก็ย่อยสลายได้หมดเลย เซลล์ต่างๆทำงานดีขึ้น ปัจจุบันนี้ญี่ปุ่นก็ยังขายยาตัวนี้อยู่ แต่ไม่ได้ใช้ดินจากเมืองไทย เพราะว่าจุลินทรีย์สามารถเพาะเลี้ยงได้หมดแล้ว แต่ว่าต้นกำเนิดมาจากป่าชายเลนประเทศไทย

     ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์มากๆ มีทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำให้เรามีชีวิตที่ดี ขาดอย่างเดียวคือการจัดการของเรากับความคิดต่อยอด อีกเรื่องหนึ่งที่น่าจะคำนึงถึง ถ้าเราทำเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยฐานชีวภาพไปแล้ว แล้วในเรื่องของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมันจะไปด้วยกันได้อย่างไร ซึ่งความจริงแล้วสิ่งที่เรามีอยู่ ยกตัวอย่างเช่น เรื่องดิน ถ้าเราไม่รักษาดินไว้ดินมันจะตาย คือเราใช้ปุ๋ยเยอะไปหน่อย ใช้สารเคมีเยอะ สารเคมีก็อยู่ในพืชไปหมด เราต้องรักและหวงแหนสายพันธุ์ธรรมชาติ ทีนี้สายพันธุ์เหลือน้อยลง อีกหน่อยเราจะปลูกอะไร เราต้องไปซื้อเมล็ดพันธุ์หมดเลย เพราะว่าสายพันธุ์ธรรมชาติมันตายไปหมดแล้ว มันเสียไปหมด

     จากการที่เราใช้เคมีเยอะเกิน ประเทศไทยใช้เคมีเยอะเป็นอันดับต้นๆของโลก ใช้เคมีเยอะมาก เพราะฉะนั้นเราต้องรักและหวงแหนสิ่งเหล่านี้เอาไว้ แล้วหาทางปรับใหม่ เปลี่ยนไปใช้เกษตรอินทรีย์บ้าง พัฒนาดิน เปลี่ยนดินที่ตายแล้วให้ฟื้นชีพขึ้นมาเพื่อจะสร้างสิ่งที่ดีกว่า ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่าจริงๆแล้วถ้าเราย้อนสู่ธรรมชาติจะมีความสมดุลของตัวเอง แต่ตอนนี้มนุษย์เราโดยเฉพาะคนในบ้านเรา หาทางลัดด้วยวิธีการที่เอาสารสังเคราะห์มาใส่เยอะเกินไป เรื่องเศรษฐกิจฐานชีวภาพจริงๆแล้วเป็นเรื่องใกล้ตัวต้องอาศัยความสังเกตของเรา จะหาประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่ได้อย่างไร และนำมาพัฒนาต่อยอด ไม่ว่าจากด้วยการวิจัยหรือการใช้เทคโนโลยีต่างๆ รวมทั้งการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ ถ้าทำได้ครบระบบจะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งในระดับชุมชนและระดับมหาภาค ของประเทศชาติไปได้ไกลขึ้นเช่นกัน

มุมมองธรรมะทันธรรมโดย พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ

     เศรษฐกิจอยู่บนฐานชีวภาพ เป็นอย่างไร ก็มาจากภาษาอังกฤษคำว่า bioeconomy นั่นเอง คือการพัฒนาเศรษฐกิจโดยอาศัยจากฐานเรื่องชีวภาพ คือฐาน bio นั่นเอง ถ้าเราศึกษาเรื่องชีวภาพ มันเป็นเหมือนการแสวงไปอีกชั้นหนึ่ง คือลึกไปในตัวของเราเอง ลึกไปในตัวของสัตว์ต่างๆ ลึกไปในพืชพันธุ์ผลไม้ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วเราจะเจอแหล่งความรู้ซุกซ่อนอยู่ข้างในมากมายมหาศาล

    ที่เอามาใช้ประโยชน์ได้ ยกตัวอย่างเช่น ทำพืชแบบ GMO สามารถผลิตปุ๋ยเองได้ หรือว่าสามารถผลิตสารที่ป้องกันแมลงได้ ใช้ปุ๋ยเท่ากันแต่ให้ผลผลิตมากขึ้น 3 เท่า อาศัยการตัดต่อพันธุกรรม เรียกว่า Bioengineering คือวิศวพันธุศาสตร์ หรือว่ารู้เรื่องคนที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกร่วมมือกัน ไม่ใช่ประเทศเดียว ต้องร่วมมือกัน 7 ชาติ 8 ชาติ แล้วก็มาถอดรหัสจีโนมมนุษย์ ว่าจะมาเป็นมนุษย์อย่างเราได้ก็ต้องอาศัยโครโมโซมที่เป็นตัวควบคุมรหัส โครโมโซมอาศัยอยู่ในนิวเคลียสเล็กๆของเซลล์ทุกเซลล์ มีทั้งหมด 46 แท่ง บนโครโมโซมก็จะมียีนประมาณ 30,000 ยีน แต่ละยีนทำหน้าที่แตกต่างกัน เช่นควบคุมสีผม ควบคุมลักษณะโครงสร้างของร่างกาย และยีนแต่ละยีนโดยเฉลี่ยก็ประกอบด้วย DNA ประมาณหนึ่งแสนรหัส เพราะฉะนั้น 30,000 ยีน*100,000รหัส เท่ากับ สามพันล้านรหัส

     เท่ากับว่าสารพันธุกรรมของมนุษย์ มีรหัส DNA ถึงสามพันล้านรหัส ไม่มีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตัวไหนในโลกที่มีความละเอียดขนาดนี้เลย แล้วสามพันล้านรหัสรวมกันเข้าซ่อนเล็กๆอยู่ในนิวเคลียสซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แค่ศึกษาตรงนี้ก็เรียกว่าสุดยอดแล้ว อีกหน่อยเลือกได้ ลูกจะเกิดเลือกโครโมโซมพ่อแม่ว่ามีจุดอ่อนตรงไหนไหม ลูกเกิดมามีโอกาสปัญญาอ่อนไหม ออทิสติกไหม ดาวน์ซินโดรมไหม มีโอกาสเป็นโรคประจำตัวตั้งแต่เกิดไหม ถ้ามีตัดต่อพันธุกรรมเอาส่วนที่ไม่ดีออก เอาส่วนดีๆมาใส่แทน รูปร่างหน้าตาอย่างไร กดปุ่มเลือกได้เลย อนาคตเป็นได้ขนาดนั้นเลย เป็นการเอาความรู้ทางด้านพันธุศาสตร์มาใช้ ยิ่งศึกษามากเท่าไร ประโยชน์ก็ยิ่งมากเท่านั้น จึงเรียกว่า bioeconomy เศรษฐกิจฐานชีวภาพ

การเอาเศรษฐกิจฐานชีวภาพมาใช้ แบ่งใหญ่ๆได้ 2 ทาง

     ส่วนข้างต้นที่กล่าวมาเป็นเชิงรูปธรรม สำรวจ DNA เป็นอย่างไร เอามาตัดต่ออย่างไร นำมาใช้ประโยชน์ยังไงบ้าง อันนั้นเป็นรูปธรรมจับต้องได้ ก็ต้องอาศัยการศึกษาค้นคว้าใช้ความรู้

     แต่อีกด้านหนึ่งคือ เอาสิ่งมีชีวิตทั้งใหญ่ทั้งเล็กที่เป็นอยู่แล้วปัจจุบัน ศึกษาให้เข้าใจแล้วเอามาใช้ประโยชน์ เช่นพืชชนิดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระ ถ้านำมาเป็นยาสระผม หรือทำเป็นเครื่องดื่มบางอย่าง รสชาติก็ดีด้วย และเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย กลายเป็นเครื่องดื่มสุขภาพได้ พยายามศึกษาพยายามมาใช้ประโยชน์ไป นี่ก็เป็นอีกทางหนึ่ง เอาจากปลายทางออกมา ซึ่งยังค่อนไปทางรูปธรรมอยู่ แต่ไม่ก้าวลึกไปขนาดตัดต่อพันธุกรรม แต่เอาสิ่งที่เป็นอยู่มาใช้

     แต่ก็ยังมีอีกขั้นหนึ่ง ที่ค่อนข้างเป็นนามธรรม เช่นศึกษาให้เข้าใจธรรมชาติของสิ่งต่างๆ แล้วดูว่าจะมาผสานกลมกลืนให้เข้ากับความต้องการของมนุษย์ได้อย่างไร เช่น แม้เป็นคนเหมือนกัน มีสารพันธุกรรม สามพันล้านDNAเหมือนกัน แต่ละคน แต่ละชนชาติก็มีอัธยาศัยไม่เหมือนกัน รูปร่างหน้าตาก็ไม่เหมือนกัน แม้แต่ในอาเซียนของเราเองก็มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก มีทุกศาสนาเลย ทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม มีหลายชนชาติ ซึ่งวัฒนธรรมหลายยิ่งกว่ายุโรป ยิ่งกว่าอเมริกา ซึ่งตรงนี้ถ้าเอามาใช้ประโยชน์ดีๆแล้ว จะมีความน่าตื่นตาตื่นใจ มีสีสันเยอะ เอาแค่ธุรกิจท่องเที่ยวอย่างเดียว ก็นำทรัพย์สินมามหาศาลแล้ว

     ประเทศไทย คนไทยนี่เก่ง คนไทยนี่ใจละเอียด เพราะจากรากฐานจากพระพุทธศาสนา เราละเอียดโดยที่เราไม่รู้ คนไทยสามารถประดิดประดอย เช่น ชุดไทยขึ้นเวทีเลยไม่ได้น้อยหน้าชาติไหนในโลกเลย ศิลปะไทยเอาแค่สุวรรณภูมิ คนต่างชาติมาถึงสนามบินยังทึ่งเลย เราสามารถประสานระหว่างสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ออกแบบโดยสถาปนิกตะวันตกที่มีความสามารถบวกกับศิลปะไทย มียักษ์ มีนาค กวนเกษียรสมุทร สนามบินไหนในโลกนี้ไม่มี แต่ประเทศไทยมี มาถึงชาวต่างชาติก็มีความรู้สึกดี รู้สึกตื่นตาตื่นใจ ใช้งบไม่ได้เยอะอะไรมาก แต่ว่ามันมีสีสัน

     ถือว่าคนไทยเก่งมาก นักท่องเที่ยวทั่วโลกเลยชอบมาเมืองไทย บอกมาแล้วมีความสุข มาแล้วมีอะไรใหม่ๆมีสีสัน คนไทยเราเองมีความคิดสร้างสรรค์ มีอะไรแปลกๆที่เรียกว่า Amazing Thailand ที่ประเทศอื่นไม่มีแต่เมืองไทยมี เพราะเรามีความสามารถในการประยุกต์ แค่มาเจอตลาดบนทางรถไฟไทย คนก็งงกันแล้ว ขายของบนทางรถไฟมีผ้าใบต่างๆ รถไฟมาชั่วพริบตาเดียวทุกคนเก็บของหมดให้รถไฟวิ่งผ่าน แล้วก็เอาของมาวางขายต่อ คนก็งงซึ่งมันไม่มีที่อื่นในโลก มีประเทศไทยที่เดียว เรียกว่า Thailand onlyจริงๆก็เป็นความหลากหลายทางวัฒนธรรมแบบหนึ่ง ซึ่งค่อนข้างเป็นนามธรรม แต่ถ้าจับตรงนี้ดีๆ

     เราจะพบว่า เราสามารถเอาธรรมชาติหลากหลายทางชีวภาพนี้ มาสร้างเป็นสีสัน ดึงดูดให้คนทั้งโลกมาเที่ยวประเทศไทย เพราะคนมาเที่ยวใช้เงินในเมืองไทย เขาใช้จริง เราผลิตสินค้าไปขายบางทีเอาวัตถุดิบมาจากเมืองนอกก็มี ชิ้นส่วนจากเมืองนอกก็มีเราได้แค่ส่วนต่างไม่มาก แต่ถ้าเขามาเที่ยว มาอยู่ มากิน มาใช้ที่บ้านเรา เงินอยู่เมืองไทยเกือบ 100% เลย แล้วปีหนึ่งมาตั้งหลายสิบล้านคน

     มีการสำรวจ บางโพลบอกว่า Bangkok กรุงเทพกลายเป็นมหานครที่นักท่องเที่ยวชอบมามากที่สุดในโลก แซง Parisไปแล้ว เป็นต้น เพราะความมีสีสัน ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย ที่คนไทยสามารถหยิบยกออกมานำเสนอได้อย่างมีศิลปะ ดูเหมือนประเทศไทยเราไม่เก่ง แต่ในบางด้านก็เก่ง ในเชิงรูปธรรมไปผลิตสินค้า บางทีก็ทำได้ระดับหนึ่ง จะไปเก่งกับคนระดับโลก เราก็ยังสู้เขาไม่ได้ พอได้ระดับหนึ่ง แต่ว่าพอถึงในด้านนามธรรม เรื่องเล่นกับอารมณ์ของคน คนไทยนี้ไม่แพ้ใครเลยบวกกับอัธยาศัยคนไทยที่ Welcome ใครมาก็ยินดีต้อนรับ ไม่มีความรู้สึกว่าปฏิเสธต่างชาติ รังเกียจต่างชาติ เขามาแล้วก็มีความสุข บางคนมาเมืองไทยเป็น 20,30 ครั้ง เพราะมีสีสัน มีชีวิตชีวา อยู่ตลอดเวลา ใครจับตรงนี้ดีๆ นำเสนอดีๆ เดี๋ยวดึงลูกค้ามาได้โดยไม่น่าเชื่อ ทำร้านอาหารให้มันแปลกๆ มีอะไรที่เป็นสีสันหน่อย คนเข้ามาเขาก็สนใจแล้ว มันอยู่ที่ศิลปะ มุมมองการจับประเด็นได้ถูก พลิกเอาความหลากหลายทางชีวภาพมาใช้ได้ เล่นกับอารมณ์ของคน แล้วดึงดูดก็จะเกิดเป็นรายได้ เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจไปโดยปริยายเราจะทำได้

     ทั้งหมดสามทางนี้มีรากฐานสำคัญคือ อยู่ที่ความคิดสร้างสรรค์ นี่แหละเป็น Thailand4.0 ของจริง ถามว่าทำอย่างไร ต้องนั่งสมาธิ ใจนิ่งเมื่อไรแล้วจะเห็นประเด็นชัด จะไปค้นคว้าวิจัย ลึกลงไปในสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตต่างๆเราทำได้ หรือจะเอาลักษณะที่เป็นของพืชพันธุ์ ชีวิตแต่ละชีวิตมาใช้ประโยชน์เราทำได้ หรือจะเล่นกับอารมณ์ของคน เอาความหลากหลายทางชีวภาพ มาดึงดูดความสนใจ มาตอบสนองเรื่องอารมณ์ของใจคน เราทำได้ "เมื่อใจเราเองนิ่ง เราเข้าใจตัวเรา เราก็จะเข้าใจสรรพสิ่งทั้งหมด" นี่แหละคือหลักการเศรษฐกิจฐานชีวภาพ เจริญพร

[[videodmc==53539]]

บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages//เศรษฐกิจฐานชีวภาพ.html
เมื่อ 19 มีนาคม 2567 13:39
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv