CASE STUDY
ต่างภพ, ควาน, แม่พลอย
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ทาง DMC
 
  
 
กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง
 
    น้ำตกลือเลื่อง เมืองผลไม้ พริกไทยพันธุ์ดี อัญมณีมากเหลือ เสื่อจันทบูรณ์ ทวีคูณเหตุอัศจรรย์ ภายใต้สโลแกนกิ๊บเก๋ยูเรก้าท่อนหลังสุดนี้ ลูกนำประสบการณ์ตรงของตัวเอง มาต่อท้ายให้เข้ากับคำขวัญประจำจังหวัดบ้านเกิด ทั้งนี้เพราะลูกประสบเหตุอัศจรรย์มากหลาย ที่ศาสตร์ใดๆก็อธิบายไม่ได้ จึงส่งเรื่องมาขอพึ่งคำอธิบายจากพุทธศาสตร์ ในวิชชาฝันในฝันวิทยาเจ้าค่ะ
 
    ย้อนรอยอดีตไปตอนที่ลูกอายุ 10ปี คืนวันพระจันทร์เป็นใจคืนหนึ่ง (ขึ้น 15ค่ำ) พ่อชวนแม่ออกไปดูภาพยนตร์ข้างนอก ปล่อยให้ลูกนอนเฝ้าบ้านอยู่ หลับได้ไม่นาน ก็แว่วเสียงดนตรีไทย โหมโรงจากที่ไกล ค่อยๆเลื่อนเข้ามาใกล้ จนมาดังกึกก้องอยู่หน้าบ้าน เป็นแรงบันดาลใจที่ดี ที่มาพร้อมดนตรี และกวีบทใหม่ ปลุกลูกให้ตื่นจากภวังค์ ออกเดินเพื่อสืบเสาะเบาะแส หาถึงที่มาของเสียงดนตรีนั้น
 
    ครั้นลุกไปดูที่หน้าต่าง ก็ต้องตะลึงงันกับภาพที่เห็น มันเหมือนกับก้าวเข้าไปสู่โลกแห่งความเพ้อฝัน ทุ่งหญ้าเขียวขจีสดใสงดงามสะพรั่งทั้งแผ่นดิน แถมมีปรากฏการณ์สุดประหลาดชาติพันธุ์ ควายเผือกตัวใหญ่สองเท่าของควายธรรมดา มีเกราะแขวนคอ ผิวพรรณสวยสง่างามมาก เป็นภาพเคล้าเสียงดนตรีไทยที่ไพเราะ คล้ายกับมนต์สะกดให้ลูกต้องยืนมองจนเคลิ้ม ขยี้ตาภาพก็ไม่หาย แต่กลับเห็นยิ่งไปกว่านั้น คือเห็นเป็นร่างเทพบุตรสุดหล่อ เหมือนชะลอมาจากสวรรค์ อยู่ในตัวควายเผือก ชัดเจนมาก ราวกับพระเอก ค่อยๆเลื่อนเข้ามาใกล้ ลูกจึงอธิษฐานไปว่า “ขอให้ได้เขามาเป็นพระเอกในดวงใจด้วยเถิด”
 
  จังหวะนั้น พ่อกับแม่ก็กลับมาพอดี ลูกจึงรีบชวนให้มาดู แต่ภาพทุกอย่างกลับอันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอย พ่อจึงว่าลูกตาฝาด ภายหลังเมื่อลูกแตกเนื้อสาว ก็ได้พบพระเอกคนนั้นอีกครั้งดั่งเทวดาเล่นกล หน้าตาเขาประดุจเทพบุตรในควายเผือกจริงๆ เห็นแล้วจะรอช้าอยู่ใย ลูกจึงทำคำอธิษฐานให้เป็นจริง ด้วยการมอบดวงใจให้เขาดูแลในฐานะสามี
 
    ถัดจากตอนที่เห็นควายเผือก ต่อมาอีก 4ปี ก็ต้องเผชิญหน้าท้าสิ่งลึกลับอีกครั้ง ลูกย้ายเข้ามาอยู่ที่คิชฌกูฏ ค่ำคืนเดือนหงายขณะกำลังกรีดยางท่ามกลางสายลมพัดโชยใบไม้ไหวเอน อยู่ๆมีเสียงเหมือนม้าวิ่งกุบๆแว่วมา ไม่นานก็มีสัตว์รูปร่างคล้ายม้า แต่หูสั้นกว่า วิ่งตรงมาหยุดตรงที่ลูกยืนอยู่ ตัวใหญ่มาก ลักษณะสวยงาม ผิวหนังเรียบสีน้ำตาลอ่อน สักพักก็วิ่งกลับไปกลับมา แล้วก็วิ่งหายไป คืนที่สองก็มาอีก คืนที่สามเว้นวรรคไม่ได้มา คืนที่สี่มาอีก ลูกจึงถามว่า “ไปไหนมา” เขามองลูกเหมือนจะบอกลาแล้วก็วิ่งหายไป จากนั้นลูกก็ไม่ได้พบเขาอีกเลย มันเป็นความลึกลับสำหรับลูก เมื่อไปถามผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็บอกว่าสัตว์ที่เห็น เขาเรียกว่า “ควาน”
 
    อีกคืนหนึ่ง พระจันทร์เต็มดวงเช่นกัน เช้ามืดหลังจากกรีดยางเสร็จ ลูกเงยหน้าขึ้นมองไปทางทิศตะวันตก ก็ต้องตะลึงกับภาพที่เห็น ลูกเห็นดวงกลมใหญ่กว่าพระจันทร์ สีเหลืองนวลเย็นตา แวดล้อมด้วยสีสันอัญมณีที่เจิดจรัสเป็นพิเศษ ค่อยๆเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ มีลูกๆเป็นดวงบริวารตามเป็นแถวยาวเหมือนดาวหาง สาดส่องแสงสวยงามระยิบระยับวับวาวชัดเจนราวกับดวงดาวกะพริบ ตรึงใจตรึงสายตาลูกจนไม่อยากเปลี่ยนจุดมองไปที่ไหน สักพักใหญ่จึงลดต่ำลงจนลับทิวเขา ตัดกับแสงตะวันที่เริ่มสาดส่อง งดงามหาที่เปรียบมิได้ ถามผู้ใหญ่...ท่านบอกว่าเป็น “แม่พลอย” พาลูกๆย้ายที่อยู่ เขาจะไม่อยู่กับที่ ถ้ามีคนไปรบกวนเขาคือขุดหาพลอย เขาจะหนีไปอยู่ที่สงบและปลอดภัย
 
    กระทั่งเมื่อได้แต่งงาน และย้ายเข้ามาอยู่บ้านของสามี ลูกมีเรื่องคับแค้นแน่นหัวใจมากจนอยากตายค่ะ ลูกอยากตาย แต่คิดว่า “ถ้าฆ่าตัวตายก็กลัวตกนรก เราน่าจะตายเป็นพุทธบูชาจะได้ขึ้นสวรรค์” จึงนั่งขัดสมาธิ นึกถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ขอตายเป็นพุทธบูชา แวบเดียวรู้สึกตัวเบา หลุดออกทางจมูก พร้อมเงาขาวๆใสคลุมตัว พาลูกทะลุมิติ ยิ่งไปไกลยิ่งโล่งยิ่งกว้างขวาง ลูกตกใจกลัวจึงกลับที่ร่างเดิม งงไปหมด มันรวดเร็วมาก จนลืมเรื่องฆ่าตัวตายไปเลย
 
    ต่อมา มีกัลยาณมิตรชวนลูกมาวัดพระธรรมกาย เมื่อปี พ.ศ.2540 แต่ก็ยังสร้างบุญไม่เต็มที่เพราะสามียังใส่เกียร์ถอยหลังอยู่ กระทั่งลูกได้คอยเชียร์คอยชมให้เขามาบวช และเขาก็ได้มาบวชที่วัด จากนั้นทั้งลูกและสามีก็สร้างบารมีแบบไม่มีถอยหลัง ต่อมา ได้ขึ้นปฏิบัติธรรมที่สวนบัวรีสอร์ท ที่แห่งนี้เอง เหตุพิศวงดังเรื่อง “ทวิภพ” ได้เกิดขึ้น เหมือนได้สัมผัสมนต์ขลังแห่งภพในอดีต
 
    เมื่อลูกไปเยี่ยมชมเรือนไทยหลังใหญ่ท้ายรีสอร์ท รู้สึกคุ้นเคยมาก ท่อนไม้เหมือนกลอน ที่วางในเรือน ลูกเห็นก็ทราบได้เองว่า ใช้ขัดบานประตู ข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ลูกก็รู้สึกเหมือนเคยใช้ เมื่อขึ้นไปข้างบน ก็เหมือนมีใครบอกให้เดินไปทางระเบียงด้านหลัง แล้วจะได้พบสิ่งที่คุ้นเคยยิ่งกว่านี้ เดินไปได้ครึ่งทางลูกก็หยุดกึก เนื่องจากมีเงาดำรูปคน สูงใหญ่มาคลุมตัวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า บอกให้แหงนมองบนหลังคาแกะสลักรูปดอกบัว พลางถามต่อว่า “คิดซิจำได้ไหม” ลูกนึกไม่ออกแต่เท้าก็เดินไปเรื่อย ไปหยุดที่ตู้โชว์โบราณ
 
    ทันใดนั้น ก็มีเสียงผู้ชายผ่านทะลุความเงียบงัน สะกิดเรียกอยู่เบื้องหลัง ลูกหันไปก็เห็นเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มาปฏิบัติธรรมเช่นกัน เขาบอกว่ามีคน (ที่เขาเห็นในสมาธิ) ฝากเรื่องให้เขามาบอกตัวลูกว่า ตัวลูกเคยอยู่ที่นี่ เขามีหลักฐานและชวนลูกไปพิสูจน์ แล้วเขาก็พาไปที่โต๊ะเครื่องแป้งโบราณ พูดว่า “เธอลองนั่งบนหีบใบนี้แล้วเอามือแตะไปที่กรอบกระจกดู คนฝากเรื่องสั่งให้บอกเธออย่างนี้” ลูกจึงนั่งลงบนหีบ ยื่นมือแตะกรอบกระจก สูดหายใจลึกๆ หลับตาทำใจนิ่งๆ ครู่เดียวก็มีลมแรงผ่านกรอบกระจกแล่นตามนิ้วมาที่แขน รู้สึกกรอบกระจกจะมีพลังเงียบเฉียบขาดมาดึงเอาไว้ ต้องดึงมือแรงๆจึงหลุด แล้วเขาก็บอกว่าจะพาไปพบใครคนหนึ่ง “เขาคอยเธออยู่ เธอเห็นแล้วจะต้องดีใจจนร้องไห้เชียวล่ะ”
 
    เขาพาลูกเดินลงบันไดไปที่ศาลหลังเล็กๆคล้ายบ้านเรือนไทย “เธอลองเข้าไปดูรูปเจ้าของศาลซิ เธอรู้จักดี”_พอลูกเห็นรูปนั้น น้ำตาแห่งความปีติตื้นตันเอ่อล้นเต็มดวงตา ทั้งที่ก็ไม่รู้จักกันมาก่อน เหมือนได้เจอคนรู้จักที่พลัดพรากจากกันมานาน ไม่ใช่แค่นานสองนาน แต่นานแสนนาน ต่างตรงที่เราอยู่กันคนละภพเท่านั้น เจ้าของภาพที่ลูกเห็นเป็นผู้หญิงใส่เสื้อระบายด้วยลูกไม้ค่ะ เกล้าผมไว้ด้านหลัง แต่ดวงตากลับอับแสงโรยรา เขายังบอกอีกว่า ลูกเป็นน้องสาวของพระนางผู้มีรูปในศาลนั้น แต่ลูกไม่อาจปักใจเชื่อได้
 
    วันต่อมา ลูกพบผู้ชายคนนั้นที่เรือนไทยอีก เขาบอกที่มาของเรื่องว่า เขานั่งธรรมะ เห็นภาพผู้หญิงคนหนึ่ง ผมยาวในชุดสไบเฉียงแบบไทยโบราณ เธอคอยเฝ้าเรือนไทยอยู่ ยังไม่อาจไปจากที่นี่ได้ เธอเป็นผู้ขอร้องให้เขาช่วยติดต่อเจ้านางของเธอที่มาปฏิบัติธรรมรุ่นนี้ ซึ่งก็คือตัวลูกนั่นเอง
 
    คืนสุดท้าย ก่อนที่จะล่ำลาสวนบัว ตอนนั้นประมาณสี่ทุ่มกว่า ก่อนนอนขณะเคลิ้มๆ พลันก็แว่วเสียงพายุพัดแรงมาก ได้ยินเสียงฝนตกอึงคะนึง ทันใดนั้น ก็มีพลังดึงตัวลูกให้เดินไปที่เรือนไทย บอกว่า “ให้ไปนอนที่โน้น ที่นี่ไม่ใช่บ้านเจ้า บ้านเจ้าอยู่ที่เรือนไทย” ลูกตอบว่า “จะไปได้อย่างไร เราอยู่กันคนละภพภูมิแล้วนะ คงจะต้องล่ำลากันตอนนี้ เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางกลับแล้ว” ลูกจึงกำผ้าปูที่นอนยึดไว้ ร้องเรียกให้เพื่อนๆช่วย ทุกคนตื่นขึ้นแล้วก็ช่วยกันปลอบ พี่คนหนึ่งถอดองค์พระให้ลูกคล้องคอ และบอกให้นั่งสมาธิ สักพักก็หลับสบาย พี่เจ้าขององค์พระเล่าภายหลังว่า หลังจากลูกหลับไป แต่มีบางสิ่งในตัวลูกยังไม่หลับ เธอได้ยินแต่เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังออกมาทั้งคืน
 
    อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นที่พนาวัฒน์ ทุกครั้งที่ลูกนั่งสมาธิ จะมีของแหลมๆเล็กๆเหมือนเข็ม แทงนับหมื่นนับแสนเล่ม เจ็บปวดมาก ต่อมา ขาก็ปวดเหมือนกระดูกจะแตก กายท่อนล่างสั่นบังคับไม่ได้ เป็นเช่นนี้ตลอดการอบรม กลับมาบ้านก็สวดมนต์ไม่ได้เพราะปวด นั่งสมาธิก็ถูกดึงขา บางครั้งก็ถูกจับหันรอบ เป็นเช่นนี้ราวเดือนเศษ เช้าวันหนึ่ง ยืนอยู่ดีๆเขาก็ดึงขาจะให้ล้ม ทนไม่ไหวจึงให้สามีเขียนหนังสือกราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อ และต่อมาไม่นานอาการที่ว่าก็หายไป
 
    คุณตา เคยเสียชีวิตเมื่ออายุ 75ปี แต่ฟื้นกลับมาในวันเดียวกัน ท่านเล่าว่า มีคนพาไปแล้วเขาพามาส่ง ให้มาอยู่ต่ออีก 7ปี เพื่อให้ท่านทำธุระให้ โดยคุณตาต้องอยู่ในบริเวณที่เขาทำไว้เป็นวงกลม มีรัศมีครอบคลุมเฉพาะภายในเขตที่เขากำหนดเท่านั้น ห้ามออกไปนอกเขตโดยเด็ดขาด ต่อมาคุณตาเสียชีวิตตอนอายุ 82ปี ครบ 7ปีที่บอกพอดี
 
คำถาม
 
1.ทำไม ลูกจึงเห็นควายเผือกและเทพบุตร เทพบุตรที่เห็น คือ สามีของลูก จริงหรือไม่คะ
 
2.สัตว์ที่เรียกว่า “ควาน” มีจริง หรือไม่ เกี่ยวข้องอย่างไรกับตัวลูก เขามาหาลูกเพื่ออะไรคะ
 
3.แม่พลอยที่ลูกเห็น คือ อะไร มีอัญมณีล้อมรอบ มีลูกๆติดตาม และย้ายที่อยู่ไปเรื่อย เป็นเรื่องจริงหรือไม่ เหตุใดลูกจึงเห็นเขาได้ เหตุใดเมืองจันทบุรี จึงมีพลอยมากมายกว่าที่อื่นๆ เกี่ยวข้องกับแม่พลอย หรือไม่อย่างไร อัญมณีอื่นๆ เช่น เพชร มีแม่เพชร หรือไม่อย่างไรคะ
 
4.เงาขาวๆที่ออกมาจากจมูกตอนลูกคิดนั่งสมาธิฆ่าตัวตาย คือ อะไร ที่โล่งกว้างเบาสบายที่เขาพาไป คือ ที่ใด ถ้าลูกไปต่อจะตายหรือไม่ ผลบุญอะไรที่ช่วยให้ลูกคิดจะตายโดยวิธีนั่งสมาธิคะ
 
5.ทำไม ลูกจึงรู้สึกคุ้นเคยกับเรือนไทยหลังใหญ่ที่สวนบัว เงาดำที่เห็นเป็นใครในเรือน ทำไมกรอบกระจกโบราณจึงมีพลัง ลูกเกี่ยวข้องกับพระนางที่อยู่ในศาลอย่างไร ลูกเป็นเจ้านางของวิญญาณสาวผมยาวบนเรือน ซึ่งมาบอกผู้ชายคนนั้นในสมาธิ จริงหรือไม่คะ คืนสุดท้ายใครมาดึงตัวลูกให้ไปที่เรือนไทย ทำไมต้องพาลูกไป ถ้าลูกไปแล้วจะเป็นอย่างไรคะ เสียงร้องไห้ซึ่งพี่คนที่ถอดองค์พระให้ลูกคล้องคอ ได้ยินหลังจากลูกหลับ คือ เสียงอะไรคะ
 
6.อาการเจ็บปวดเหมือนมีเข็มนับหมื่นมาทิ่มแทง รบกวนลูกช่วงนั่งสมาธิที่พนาวัฒน์ คือ อะไร เขาตามกลับมาก่อกวนที่บ้าน คอยจับหมุน ดึงขาจนล้มใช่หรือไม่ และทำไม ต้องมาก่อกวนลูกคะ เหตุใดอาการปวดจึงหายได้หลังจากที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อแนะนำคะ
 
7.คุณตาตายแล้วฟื้นได้เพราะอะไร มีใครใช้ให้คุณตามาทำธุระจริงหรือไม่ และเป็นธุระอะไร ทำไมต้องอยู่ในเขตควบคุมของเขาเท่านั้น พอครบ 7ปี เขามารับคุณตาไปใช่หรือไม่ คุณตาตายแล้วไปไหนคะ
 
8.ลูกกับสามีเป็นเนื้อคู่กันมากี่ชาติ หรือชาตินี้เป็นชาติแรกคะ ตัวลูกและสามีเคยสร้างบารมีร่วมกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ และหมู่คณะมาอย่างไร มีโอกาสกลับดุสิตบุรีหรือไม่คะ
 
กราบขอบพระคุณพระเดชพระคุณหลวงพ่ออย่างสูง

ฝันในฝัน
หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะ ตื่นขึ้นมาหาว 1 ที
แล้วก็นำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรากันนะจ๊ะ
 
1.ลูกเห็นควายเผือกและเทพบุตร ตอนอายุ 10ขวบ ตอนหลับได้ไม่นานนั้น ก็เป็นความฝันแบบเด็กๆ เป็นตุเป็นตะดูคล้ายความจริง ก็อย่าเอาไปเป็นเรื่องเป็นราวเลย ไม่เกิดประโยชน์อะไร
 
2.ควาน ที่ลูกเห็นขณะกำลังกรีดยางอยู่นั้น คือ ม้าที่หลุดออกมาวิ่งแถวนั้น แต่เวลาที่ลูกเห็นนั้นเป็นเวลากลางคืน แม้เดือนจะหงายก็ตาม ก็สามารถทำให้เห็นเป็นอย่างนั้นไปได้ อย่าไปสนใจเลย ไม่เกิดประโยชน์อะไร

 
3.ดวงกลมใหญ่ที่ลูกเห็นตอนเช้ามืดทางด้านทิศตะวันตกนั้น ก็เป็นภาพลวงตา ที่ดวงอาทิตย์ค่อยๆขึ้นแล้วสาดแสงไปทางด้านนั้น ทำให้เห็นเป็นภาพอย่างนั้น

4.เงาขาวที่ออกจากจมูกตอนที่ลูกคิดนั่งสมาธิฆ่าตัวตายนั้น ก็เป็นนิมิตชนิดหนึ่ง ในช่วงที่จิตเป็นสมาธิในระดับแรก ที่เห็นลมหายใจของตัวเอง

5.ลูกรู้สึกคุ้นเคยกับเรือนไทยหลังใหญ่ที่สวนบัวและเรื่องตำนานต่างๆ เพราะในอดีตมีความชอบฟังเรื่องราวที่เล่าขานเป็นตำนาน หรือนิยายที่เขาแต่งผูกเป็นเรื่อง ทำให้ฝังใจติดข้ามชาติมาเป็นนิสัยปัจจุบัน และได้มาฟังนิยายปรัมปราตั้งแต่เด็กที่ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังอีก ก็เลยเป็นตุเป็นตะ เห็นอะไรเป็นเรื่องเป็นราว
 
6.อาการเจ็บปวดเหมือนมีเข็มเป็นหมื่นเล่มมารบกวน ทิ่มแทงช่วงนั่งสมาธิที่สวนพนาวัฒน์นั้น ก็เป็นเชื้อเก่าข้ามชาติที่เคยนับถือไสยเวทมา ทำให้เกิดความรู้สึกต่างๆเช่นนั้น ซึ่งความจริงมันก็ไม่มีอะไร แต่พอเราคิดเป็นจริงเป็นจังมันก็เลยดูเหมือนมีตัวมีตน
 
7.คุณตาตายแล้วฟื้น เพราะท่านแค่สลบยังได้ตายไม่จริง แล้วท่านก็ฝันไปเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งบังเอิญเวลา 7ปีมาพ้องกันกับที่ท่านเสียชีวิตพอดี อีกทั้งจิตไปยึดถือว่าจะต้องตายเมื่อครบ 7ปี ก็เหมือนกับตั้งผังตัวเองให้เป็นอย่างนั้น

8.ลูกและสามีก็เป็นคู่บุญสร้างบารมีกับหมู่คณะมา โดยเป็นกองเสบียงประเภทตามอารมณ์ยังไม่สม่ำเสมอ ดังนั้น จึงทำให้บางชาติก็รวย บางชาติก็ไม่รวย 
 

บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/casestudy/2550-07-16.html
เมื่อ 6 มิถุนายน 2567 18:57
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv