CASE STUDY
โปรดเมตตา...ฆ่าฉันเถิด
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ทาง DMC
กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง
ผม เป็นนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาลูกพระธัมฯ ผมเกิดที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ตอนเหนือของทวีปยุโรป คุณพ่อคุณแม่ก็เป็นชาวเนเธอร์แลนด์ทั้งสองคน แต่ท่านทั้งสองแยกทางกันตั้งแต่ผมอายุ 4 ขวบ
คุณแม่ของผม เป็นคริสเตียนมาตั้งแต่เกิด แต่เป็นคริสต์เพียงในนามเพราะไม่เคยเข้าโบสถ์ พอโตขึ้นแม่ก็เลยเลิกนับถือคริสต์กลายเป็นคนไม่มีศาสนา แม่รักการอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ และส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนาและจิตวิญญาณของโลกตะวันออก โดยเฉพาะพระพุทธศาสนานั้น แม่จะสนใจมากเป็นพิเศษ แม่เคยบอกว่า หากจำเป็นต้องเลือกนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งอย่างจริงๆจังๆ แม่คิดว่าจะเลือกนับถือพุทธศาสนาเพราะมั่นใจว่าเป็นศาสนาที่มีเหตุมีผลมากที่สุด
ปกติแม่จะชอบไปเรียนสมาธิและสนทนาธรรมกับกลุ่มเพื่อนๆที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมใกล้บ้านซึ่งเป็นศูนย์สาขาของวัดเวียดนามจากฝรั่งเศส แม่ขยันไปที่นั่นเป็นประจำทุกวันอังคารตลอดต่อเนื่องมานานหลายปี แต่แม่ก็อึดอัดใจทุกครั้ง เวลามีเพื่อนถามถึงเรื่องศีล 5 บางครั้งแม่ก็ต้องตอบไปตรงๆ ว่า...แม่เป็นชาวพุทธก็จริง แต่ขอถือศีล 4 ก็แล้วกัน เพราะยังไม่อาจจะเลิกดื่มเหล้าได้ บางคนก็ถามแม่ว่า ทำไมถึงไม่คิดจะเลิกดื่ม แม่ก็จะตอบแบบมีเหตุผลของแม่ว่า หลังจากที่แยกทางกับสามีซึ่งก็คือพ่อของผม แม่ก็มีแฟนใหม่ แต่แฟนคนนี้ เป็นคนที่ติดเหล้าอย่างหนักจนเลิกไม่ได้ แม่คิดว่า ถ้าแฟนยังดื่มเหล้าอยู่ แม่ก็คงจะเลิกดื่มไม่ได้เหมือนกัน แม่ดื่มเหล้ามานานจนเป็นนิสัย หากวันใดไม่ได้ดื่มก็จะกระสับกระส่าย นอนไม่หลับ ซึ่งก็เหมือนคนส่วนใหญ่ที่นี่ มักนิยมทานเครื่องดื่มประเภทเหล้าเบียร์ร่วมกับอาหารมื้อเย็นแทบทุกวัน แม้ไม่ถึงกับดื่มจนเมามายขาดสติ แต่ก็เคยชินจนเลิกได้ยาก
คุณแม่มีอาชีพหมอ เป็นผู้ดูแลคนไข้ในบ้านพักคนชรา ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่นี่อยู่ในขั้นโคม่าทั้งสิ้น คุณแม่เป็นคนใจดี มีความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ท่านทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับงานที่ท่านต้องรับผิดชอบนี้อย่างมากๆ แต่ตลอดชีวิตของการเป็นหมอมีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ท่านต้องสะเทือนใจอย่างมาก จนถึงกับตัดสินใจลาออกจากที่นั่นแล้วย้ายไปหางานใหม่ เรื่องมีอยู่ว่า แม่ต้องรับดูแลผู้ป่วยรายหนึ่งในระยะสุดท้าย ผู้ป่วยคนนี้นอกจากจะทรมานกายอย่างแสนสาหัสแล้ว เธอยังถูกแรงกดดันจากพี่น้องทางบ้านซึ่งนิยมความรุนแรงในการตัดสินปัญหา จนในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหวไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป เธอจึงขอร้องให้แม่ของผมช่วยเธอ...โปรดช่วยปลิดชีวิตของเธอ เพราะเธอไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ฆ่าด้วยวิธีฉีดยาพิษเข้าเส้น เรียกกันว่า การทำการุณยฆาต (Mercy killing) แม้ขณะนั้นยังถือว่าผิดกฎหมาย แต่คนส่วนใหญ่ก็นิยมทำกันจนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อได้รับการร้องขอจากผู้ป่วยบ่อยเข้า และหลังจากที่แม่ช่างใจอยู่นาน สุดท้ายแม่ก็เลือกที่จะทำตามที่เธอขอร้อง เพราะอดสงสารเธอไม่ได้ ในที่สุดเธอก็ตายสมใจอยาก แต่คนที่เสียใจมากๆ กลับเป็นแม่ของผมเอง ซึ่งท่านทั้งรักและปรารถนาดีต่อคนไข้ทุกคน แต่ท้ายสุดความหวังดีของแม่ก็กลับเป็นต้นเหตุให้คนไข้รายนี้ ต้องมาเสียชีวิตก่อนเวลาอันสมควร ยิ่งแม่นึกทบทวนยิ่งเกิดจิตสำนึกว่าไม่น่าทำอย่างนี้เลย เพราะเท่ากับเป็นการฆ่าเพื่อนมนุษย์อย่างเลือดเย็นที่สุด ซึ่งผิดธรรมชาติที่มนุษย์ควรจะทำต่อกัน ตั้งแต่นั้นมา แม่ก็เลยตัดสินใจลาออกจากงานดังกล่าว แล้วได้ย้ายมาเป็นหมอในโครงการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง (ซึ่งเป็นวิธีบำบัดผู้ป่วยทั้งทางกายและทางใจควบคู่ไปด้วยกัน จนกระทั่งผู้ป่วยเสียชีวิตไปเองตามธรรมชาติ) นับเป็นทางเลือกใหม่ที่ดีกว่าการทำการุณยฆาต ซึ่งทุกวันนี้สังคมกลับยอมรับให้การทำการุณยฆาตเป็นเรื่องถูกกฎหมายไปเสียแล้ว ทุกวันนี้แม่มีความสุขกับงานใหม่นี้มาก และตั้งใจว่าจะขยายโครงการดูแลผู้ป่วยดีๆอย่างนี้ ให้แพร่หลายในประเทศเนเธอร์แลนด์ให้ได้มากที่สุดครับ
สำหรับตัวผม เมื่ออายุได้ 19 ปี ผมเริ่มหยิบหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนาชื่อ “The Tibetan book of the Dead” ซึ่งถ่ายทอดเรื่องชีวิตหลังความตายตามทัศนะของพุทธทิเบตขึ้นมาอ่านเป็นครั้งแรก ผมรู้สึกทึ่งมาก อัศจรรย์ใจเหลือเกินว่า เหตุใดพุทธศาสนาจึงสามารถอธิบายเรื่องราวของชีวิตได้ละเอียดลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ล้วนเป็นเหตุเป็นผลเช่นเดียวกับหลักวิทยาศาสตร์ จะต่างกันก็เพียงแต่พุทธศาสนากล่าวเน้นถึงเรื่องสภาวะจิตใจ ซึ่งละเอียดลึกซึ้งเกินกว่าที่ตามนุษย์จะมองเห็น ผมพิจารณาตามไปทุกถ้อยคำด้วยใจจดจ่อ ยิ่งอ่านก็ยิ่งถูกใจ รู้สึกคุ้นเคยกับเรื่องเหล่านี้คล้ายกับเคยได้ยินได้ฟังมาก่อน จนผมแทบจะวางไม่ลง ในที่สุดผมจึงจับหลักได้ว่า มนุษย์สามารถจะฝึกใจตนเองได้ ซึ่งแต่เดิม ผมหรือแม้แต่ชาวตะวันตกทั่วไป มักคิดว่า ใจนี้ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง และเชื่อว่าทุกสิ่งที่เราทำผิดพลาดไป ย่อมหมดโอกาสที่จะแก้ไขได้
นับแต่นั้นมา ผมจึงเริ่มสนใจการนั่งสมาธิมากครับ ผมแสวงหาวิธีการนั่งสมาธิด้วยตัวเองมาหลายวิธี ช่วงแรกๆ ผมลงทุนซื้อหนังสือมาอ่านหลายเล่ม เรียกว่ากางตำราแล้วก็ลองผิดลองถูกไปตามที่เขาแนะนำ โดยส่วนใหญ่จะแนะให้เอาใจจดจ่อกับกสิณนอกตัว ผมพยายามทำทุกวัน ๆ ละประมาณ 15 นาที นานเกือบปี แต่สุดท้ายก็ไม่บรรลุผลสำเร็จอย่างที่หวัง เพราะถึงจะมีสติมากขึ้นก็จริงอยู่ แต่ก็ได้ความเครียดเป็นของคู่กันมาฟรีๆ สุดท้ายจึงยังไม่เคยได้สัมผัสถึงความสุขเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ต่อมาผมจึงแสวงหาครูสอนทำสมาธิอย่างจริงจัง โดยพยายามค้นหาสถานที่ปฏิบัติธรรมทางอินเตอร์เน็ต โชคดีที่ค้นไปเจอเวบไซท์ของศูนย์ปฏิบัติธรรมของวัดพระธรรมกายในเบลเยี่ยมเป็นเวบไซท์แรก ผมไม่รอช้ารีบส่งจดหมายไปสอบถามถึงหลักสูตรสมาธิทันที ครั้งแรกที่ไปถึงศูนย์ปฏิบัติธรรมเบลเยี่ยม ผมได้พบกับพระอาจารย์รูปหนึ่งซึ่งเป็นชาวยุโรปเช่นกัน ผมประทับใจท่านมากครับ สังเกตศีลาจารวัตรของท่านงดงามและน่าเลื่อมใส ทุกสิ่งที่ท่านสอน ถึงจะเป็นสิ่งใหม่และเป็นเรื่องยากสำหรับชาวตะวันตก แต่ท่านก็สามารถอธิบายให้เข้าใจได้อย่างง่ายดาย และยังเข้าถึงจิตใจชาวตะวันตกอย่างผม แม้ช่วงนั้น ผมต้องทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ให้กับการศึกษาปริญญาโทอย่างจริงจัง แต่ผมไม่ลืมที่จะหาโอกาสมานั่งสมาธิที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเป็นประจำ อย่างน้อยอาทิตย์ละสองครั้ง ซึ่งทุกครั้งผมต้องใช้เวลานั่งรถไฟไปกลับประมาณห้าชั่วโมงเพื่อเดินทางที่นี่ ต้องข้ามหลายจังหวัดแต่ถึงจะยากลำบากแค่ไหน สำหรับผมแล้วการได้มาที่นี่นับว่าคุ้มเกินคุ้มครับ
บางครั้งผมนั่งฟังพระอาจารย์เล่าธรรมะด้วยความเบิกบานใจ ฟังเพลินกระทั่งลืมเวลากลับ จนพี่อุบาสกต้องสะกิดเตือนผมว่า...ถึงเวลารถไฟเที่ยวสุดท้ายแล้วนะ...ผมจึงต้องขอตัวกลับ ทั้งๆที่อยากจะฟังต่อ เพราะรู้สึกเหมือนยังดูหนังไม่จบม้วนเลยครับ
ต่อมาพระอาจารย์ก็ชวนให้ผมไปบวชสามเณรที่อะซูซ่า เพราะที่เบลเยี่ยมยังไม่มีโครงการอบรมสามเณร ผมจึงตัดสินใจบวชทันที หลังจากนั้นผมก็ตัดสินใจบวชสามเณรอีกสองครั้งที่เบลเยี่ยมและฝรั่งเศส เมื่อนึกถึงภาพการบวชเป็นสามเณรครั้งใด ผมจะรู้สึกปลื้มใจทุกครั้งครับ ไม่น่าเชื่อเลยครับว่า ชีวิตสมณะที่ดูเรียบง่าย กลับเป็นชีวิตที่สามารถเก็บเกี่ยวความสุขได้ทุกเวลานาที ซึ่งแตกต่างจากชาวโลกที่มีชีวิตอยู่บนความทุกข์เสียจนชิน
ปี 2544 ผมก็ตัดสินใจเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาร่วมงานบุญใหญ่ที่วัดพระธรรมกายเป็นครั้งแรก ผมเห็นชาวพุทธมากมายรักบุญ รักในการสร้างบารมี ผมรู้สึกปลื้มใจเพราะหนึ่งในผู้คนมากมายเหล่านั้น มีผมร่วมอยู่ด้วย
หลังจบปริญญาโทที่เบลเยี่ยม ผมตัดสินใจเข้ามาช่วยงานพระศาสนา โดยเข้ามาฝึกตัวเป็นอุบาสกที่วัดพระธรรมกายประมาณ 8 เดือน จากนั้นจึงกลับไปช่วยงานที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเบลเยี่ยมอีก 1 ปี เมื่อทราบข่าวว่ากลางเดือนกรกฎาคมจะมีโครงการอบรมพระธรรมทายาทรุ่นนานาชาติ ผมก็ตัดสินใจเดินทางมาบวชที่วัดพระธรรมกายทันทีโดยไม่ลังเลใจครับ บวชครั้งนี้ผมตั้งใจจะปฏิบัติธรรม อุทิศตนให้กับงานพระศาสนา โดยไม่ขอทำงานทางโลกอีกต่อไป ผมตั้งใจขอสร้างบารมีตามติดหลวงพ่อไปจนถึงที่สุดแห่งธรรมครับ
คำถาม
1. เหตุใดโยมแม่จึงรักการอ่านหนังสือ สนใจเรื่องศาสนาและชอบทำสมาธิ โยมแม่หันมานับถือพุทธศาสนาแต่ก็ถือศีลได้เพียง 4 ข้อ อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นชาวพุทธไหมครับ หากโยมแม่ยังไม่เลิกดื่มเหล้าจะทำให้ต้องไปอบายหรือไม่ จะแก้ไขได้อย่างครับ
2. อยากทราบว่าคนที่ติดเหล้า(อย่างเช่นแม่ของผม) หากมีโอกาสมานั่งสมาธิจะสามารถเข้าถึงธรรมหรือไม่ การดื่มเหล้าแต่ไม่ถึงกับเมามายขาดสติ จะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรมมากไหมครับ
3. ในกรณีที่ทำการุณยฆาตเพราะสงสารผู้ป่วย หมอจะบาปมากไหมครับ และจะมีวิบากกรรมอย่างไรในภพชาติต่อไป โยมแม่เปลี่ยนมาขยายโครงการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ที่จะทำให้การทำการุณยฆาตมีอัตราลดน้อยลง ทำอย่างนี้จะช่วยตัดทอนวิบากกรรมนั้นได้หรือไม่ และจะทำให้มีอานิสงส์ในภพชาติต่อไปอย่างไรครับ
4. บุพกรรมใดทำให้ผมต้องเกิดมาในครอบครัวแตกแยก พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่ผมอายุ 4 ขวบ อยู่นอกบุญเขต ห่างไกลพุทธศาสนา และต้องพลัดพรากจากหมู่คณะครับ
5. เพราะเหตุใดผมจึงมีความสนใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับพุทธศาสนามาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น โดยเฉพาะการนั่งสมาธิและฟังธรรมผมจะชอบมาก และไม่เคยเบื่อและมีความกระหายใคร่รู้ธรรมะตลอดเวลา และบุญใดทำให้ผมได้มาบวชเป็นสามเณรถึงสามครั้งครับ
6. ผมและเพื่อนสหธรรมิก แม้จะต่างชาติต่างภาษา แต่ในที่สุดก็ได้มาบวชรุ่นธรรมทายาทนานาชาติพร้อมกัน เป็นเพราะได้เคยสร้างบารมีร่วมกันมาอย่างไรครับ เรามีหน้าที่อะไรในกองทัพธรรม และทุกคนจะมีบุญมากพอที่จะตามติดคุณครูไม่ใหญ่ไปดุสิตบุรีวงบุญพิเศษหรือไม่ ทำอย่างไรเราจึงจะประคับประคองกันไปสร้างบารมีโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คนเดียวครับ
7. พระอาจารย์และพี่อุบาสกที่ศูนย์ปฏิบัติเบลเยี่ยมที่คอยเป็นกัลยาณมิตรผม แนะนำให้เข้าใจพุทธศาสนาและรู้จักสร้างบารมี เราได้เคยเกื้อกูลและร่วมสร้างบารมีกันมาอย่างไรในอดีตครับ
8. โยมแม่ โยมพ่อ และน้องชาย พอจะมีสายบุญที่สร้างมากับหมู่คณะหรือไม่ เหตุใดโยมพ่อและน้องชายจึงไม่ค่อยสนใจเรื่องพุทธศาสนาเลยครับ ส่วนโยมแม่ถึงจะสนใจพุทธศาสนา แต่กลับไปสนใจนั่งสมาธิสายอานาปานสติในวัดของเวียดนาม ทำอย่างไรผมจึงจะสามารถทำหน้าที่กัลยาณมิตรให้ทุกคนในครอบครัวได้มาสร้างบารมีกับหมู่คณะครับ
9. ตัวผมเองเคยสร้างบารมีร่วมกับหมู่คณะมาอย่างไร มีหน้าที่อะไรในกองทัพธรรม เคยเข้าถึงวิชชาธรรมกายหรือไม่ ผมมีผังการบวชแน่นหนาพอที่จะบวชไปได้ตลอดชีวิตหรือไม่ครับ
กราบนมัสการหลวงพ่อด้วยความเคารพอย่างสูง
ฝันในฝัน
หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะ ตื่นขึ้นมา หาว 1 ที
แล้วก็นำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรากันนะจ๊ะ
1. โยมแม่ในอดีตชาติก็เป็นชาวพุทธ เมื่อทำบุญแล้วไม่ได้อธิษฐานล้อมกรอบเอาไว้ จึงพลัดไปเกิดนอกบุญเขต แต่บุญเก่าที่เคยทำไว้ในพระพุทธศาสนา จึงทำให้สนใจศึกษาคำสอนในพระพุทธศาสนา ที่สอนเกี่ยวกับเหตุและผลของการกระทำ และสนใจทำสมาธิ
- โยมแม่ถือศีล 4 ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธ 80% ยังไม่ได้ถือว่าเป็นชาวพุทธ 100% จ่ะ!
- หากโยมแม่ยังไม่ยอมเลิกดื่มเหล้า ถ้าตอนใกล้ตายจิตเศร้าหมองก็มีสิทธิ์ไปอบาย แต่ถ้าจิตไม่เศร้าหมองก็ไม่ไปอบาย
- ต้องไปดูตอนใกล้ตายอีกจ่ะ!
- แม่ชอบเป็นนักศึกษา , ศึกษาหาความรู้ต่าง ๆ แต่ก็ยังดื่มเหล้าอยู่ ถ้าเกิดไปในภพชาติใหม่ มักจะเป็นพวก “อัจฉริยะปัญญาอ่อน” คือ มีความสามารถในบางอย่างดีมาก แต่บางอย่างปัญญาอ่อน คล้ายเด็ก “ออทิสติก” เพราะมีบุญปนบาปผสมกันจ่ะ!
- จะแก้ไขก็ต้อง ชี้ชวนให้โยมแม่เห็นโทษภัยของสุรา ทั้งตอนมีชีวิตอยู่และมีชีวิตใหม่ในปรโลกจ่ะ!
2. คนที่ “ติดเหล้า” แบบโยมแม่ แม้จะไม่เมามายมากนัก , ก็จะทำให้สติหย่อน ยากต่อการเข้าถึงธรรมได้ และจะเป็นอุปสรรคต่อการนั่งสมาธิ เพราะใจจะตั้งมั่นในสมาธิยาก
- แต่ก็ควรชักชวนให้โยมแม่นั่งสมาธิทุกวันตอนไม่ดื่มเหล้า สักวันหนึ่งเมื่อบุญเก่าตามมาถึง ใจก็จะตั้งมั่นแล้วหมดอารมณ์ดื่มเหล้าไปเอง
3. ในกรณีทำ การุณยฆาต คือ ช่วยให้คนไข้ตายตามความเรียกร้องด้วยความสมัครใจ ของคนไข้ที่ทุกข์ทรมานทั้งกายและใจนั้น ก็ถือว่าเป็น “ความกรุณาที่ปนโมหะ” จัดว่าเป็น “บาป” แต่น้อยกว่าพวกที่ฆ่าคนด้วยโทสะ หรือด้วยเจตนาอย่างแรงกล้า
- จะมีวิบากกรรมในภพชาติต่อไป ก็คือ จะถูกทำการุณยฆาตเช่นเดียวกันจ่ะ!
- โยมแม่ได้ปรับเปลี่ยนมาเป็น ประคับประคองคนไข้ระยะสุดท้าย แล้วให้ตายเอง บุญนี้ก็จะไปตัดรอนวิบากกรรมอายุสั้นให้เบาบางลง และได้ชื่อว่าสงเคราะห์ญาติ เมื่อถึงคราวบุญส่งผลก็จะมีญาติพี่น้องคอยดูแลจ่ะ!
4. ลูกมีเศษกรรมกาเมเจ้าชู้เบาบางมากแล้ว จึงทำให้ไปเกิดในครอบครัวที่พ่อ - แม่แยกทางกันตั้งแต่ยังเด็ก
- ที่ลูกไปเกิดอยู่นอกบุญเขตก็เช่นเดียวกับโยมแม่ ที่ลูกเคยเป็นชาวพุทธ เมื่อทำบุญแล้วไม่ได้อธิษฐานจิตล้อมกรอบเอาไว้ จึงพลัดไปเกิดไกลหมู่คณะจ่ะ!
5. ลูกสนใจพระพุทธศาสนาตั้งแต่วัยรุ่น เพราะ …ในอดีตลูกก็เคยบวชพระมาก่อน บุญเก่าจึงกระตุ้นเตือนให้สนใจในพระพุทธศาสนา , ทั้งฟังธรรม , นั่งสมาธิ และไม่เบื่อหน่ายในการฟังธรรม แถมกระหายใคร่รู้ธรรมะอีกด้วยจ่ะ!
- ลูกได้มาบวชเป็นสามเณรถึง 3 ครั้ง เพราะ …ในอดีตลูกเป็น “กุลบุตร” แล้วถูกบิดามารดานำมาบวช “ระยะสั้น” ตั้งแต่ยังเด็ก ๆ พอตอนโตก็เกิดศรัทธาด้วยตนเองแล้วก็มาบวชเป็นพระ ด้วยบุญนี้ จึงทำให้ลูกมีอุปนิสัยในการบวชข้ามชาติมาจ่ะ!
6. ลูกและเพื่อนสหธรรมิกที่ต่างชาติต่างภาษา ได้มาบวชธรรมทายาทนานาชาติร่วมกัน เพราะ … เคยสร้างบุญกับหมู่คณะมาเหมือนกัน แต่หลายรูปแบบ เช่น บางคนก็เป็นแบบ “กองเสบียง” , บางคนก็เคยบวชช่วงสั้น , บางคนก็บวชอุทิศชีวิตมา เช่น ตัวลูก เป็นต้น
- ตัวลูกมีหน้าที่ “เผยแผ่” , แต่บางคนมีหน้าที่เป็นกองเสบียง , บางคนก็มีบุญ สามารถบวชได้ตลอดชีวิตเหมือนตัวลูก และทำหน้าที่ “เผยแผ่” เหมือนกัน
- ทุกคน ถ้าจะติดตามไปดุสิตบุรีวงบุญพิเศษเขตบรมโพธิสัตว์ จะต้องดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท , จะต้องไม่ทำความชั่ว , ทำแต่ความดี สั่งสมบุญกุศลทุกบุญให้มาก ๆ จนตลอดชีวิต แล้วอธิษฐานจิตกำกับไว้ก็ไปได้จ่ะ!
7. พระอาจารย์ในอดีต ท่านได้อธิษฐานข้ามชาติมาว่า จะเผยแผ่ ธรรมะไปทั่วโลก ดังที่เคยกล่าวมาแล้ว , พระอาจารย์ได้เคยเป็นกัลยาณมิตรคอยประคับประคองให้ซึ่งกันและกัน , อีกทั้งเคยเป็นสหธรรมิกร่วมกันจ่ะ!
- พี่อุบาสกที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเบลเยี่ยม ก็เช่นเดียวกัน คือ เคยบวชอุทิศชีวิต และช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก และเคยเกื้อกูลกันมากับลูกจ่ะ!
8. โยมแม่ , โยมพ่อ , น้องชาย ก็มีสายบุญร่วมกับหมู่คณะมาจ่ะ! แต่อาจน้อยกว่าตัวลูก แต่สามารถชักชวนทุกคนให้มาเข้าใจหมู่คณะได้จ่ะ!
- แม้ตอนนี้โยมพ่อและน้องชายจะไม่ค่อยสนใจพระพุทธศาสนาก็ตาม แต่ต่อไปเมื่อได้ลูกเป็นกัลยาณมิตร ก็มีสิทธิ์มาสร้างบุญกับหมู่คณะได้อีกจ่ะ!
- ส่วนโยมแม่ แม้ตอนนี้จะคุ้นเคยกับการนั่งสมาธิแบบสายอื่นก็ตาม ลูกก็สามารถไปโปรดท่านได้
- วันใดที่ลูกได้เข้าถึงพระในตัว, มีความสุขมาก ๆ และเข้าใจธรรมะปฏิบัติมากกว่านี้ , วันนั้นก็จะเป็นวันสว่างของทุกคนในครอบครัวจ่ะ!
9. ตัวลูกเมื่อพุทธันดรที่ผ่านมา ได้เป็น “กุลบุตร” ออกบวชอยู่ในทีม “เผยแผ่” , ปฏิบัติธรรมะได้เข้าถึงพระธรรมกาย , ได้เป็นกำลังเผยแผ่ พระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกายไปได้แพร่หลายทั่วโลก, อีกทั้งมีผังการบวชตลอดชีวิตในอดีตที่หนาแน่น เพียงพอที่จะบวชได้ตลอดชีวิตในชาตินี้ ถ้าลูกปรารถนาจ่ะ!
- ชาตินี้มาเจอกันอีก ก็ให้ตั้งใจสร้างบารมีให้เต็มที่ แล้วอธิษฐานจิต ตามติดไปดุสิตบุรีวงบุญพิเศษเขตบรมโพธิสัตว์ อย่าได้พลัดกันเลยจ่ะ!