CASE    STUDY
โปรดเมตตา...ฆ่าฉันเถิด 
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ทาง DMC
 
 
กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง
 
    ผม เป็นนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาลูกพระธัมฯ   ผมเกิดที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ตอนเหนือของทวีปยุโรป    คุณพ่อคุณแม่ก็เป็นชาวเนเธอร์แลนด์ทั้งสองคน   แต่ท่านทั้งสองแยกทางกันตั้งแต่ผมอายุ 4 ขวบ
 
    คุณแม่ของผม เป็นคริสเตียนมาตั้งแต่เกิด แต่เป็นคริสต์เพียงในนามเพราะไม่เคยเข้าโบสถ์ พอโตขึ้นแม่ก็เลยเลิกนับถือคริสต์กลายเป็นคนไม่มีศาสนา แม่รักการอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ และส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนาและจิตวิญญาณของโลกตะวันออก โดยเฉพาะพระพุทธศาสนานั้น แม่จะสนใจมากเป็นพิเศษ แม่เคยบอกว่า หากจำเป็นต้องเลือกนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งอย่างจริงๆจังๆ  แม่คิดว่าจะเลือกนับถือพุทธศาสนาเพราะมั่นใจว่าเป็นศาสนาที่มีเหตุมีผลมากที่สุด
 
    ปกติแม่จะชอบไปเรียนสมาธิและสนทนาธรรมกับกลุ่มเพื่อนๆที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมใกล้บ้านซึ่งเป็นศูนย์สาขาของวัดเวียดนามจากฝรั่งเศส  แม่ขยันไปที่นั่นเป็นประจำทุกวันอังคารตลอดต่อเนื่องมานานหลายปี แต่แม่ก็อึดอัดใจทุกครั้ง เวลามีเพื่อนถามถึงเรื่องศีล 5 บางครั้งแม่ก็ต้องตอบไปตรงๆ ว่า...แม่เป็นชาวพุทธก็จริง แต่ขอถือศีล 4 ก็แล้วกัน เพราะยังไม่อาจจะเลิกดื่มเหล้าได้ บางคนก็ถามแม่ว่า ทำไมถึงไม่คิดจะเลิกดื่ม แม่ก็จะตอบแบบมีเหตุผลของแม่ว่า หลังจากที่แยกทางกับสามีซึ่งก็คือพ่อของผม แม่ก็มีแฟนใหม่ แต่แฟนคนนี้ เป็นคนที่ติดเหล้าอย่างหนักจนเลิกไม่ได้ แม่คิดว่า ถ้าแฟนยังดื่มเหล้าอยู่ แม่ก็คงจะเลิกดื่มไม่ได้เหมือนกัน แม่ดื่มเหล้ามานานจนเป็นนิสัย หากวันใดไม่ได้ดื่มก็จะกระสับกระส่าย นอนไม่หลับ ซึ่งก็เหมือนคนส่วนใหญ่ที่นี่ มักนิยมทานเครื่องดื่มประเภทเหล้าเบียร์ร่วมกับอาหารมื้อเย็นแทบทุกวัน แม้ไม่ถึงกับดื่มจนเมามายขาดสติ แต่ก็เคยชินจนเลิกได้ยาก
 
    คุณแม่มีอาชีพหมอ เป็นผู้ดูแลคนไข้ในบ้านพักคนชรา ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่นี่อยู่ในขั้นโคม่าทั้งสิ้น คุณแม่เป็นคนใจดี มีความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ท่านทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับงานที่ท่านต้องรับผิดชอบนี้อย่างมากๆ แต่ตลอดชีวิตของการเป็นหมอมีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ท่านต้องสะเทือนใจอย่างมาก จนถึงกับตัดสินใจลาออกจากที่นั่นแล้วย้ายไปหางานใหม่ เรื่องมีอยู่ว่า แม่ต้องรับดูแลผู้ป่วยรายหนึ่งในระยะสุดท้าย ผู้ป่วยคนนี้นอกจากจะทรมานกายอย่างแสนสาหัสแล้ว เธอยังถูกแรงกดดันจากพี่น้องทางบ้านซึ่งนิยมความรุนแรงในการตัดสินปัญหา จนในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหวไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป เธอจึงขอร้องให้แม่ของผมช่วยเธอ...โปรดช่วยปลิดชีวิตของเธอ เพราะเธอไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ฆ่าด้วยวิธีฉีดยาพิษเข้าเส้น เรียกกันว่า การทำการุณยฆาต (Mercy killing) แม้ขณะนั้นยังถือว่าผิดกฎหมาย แต่คนส่วนใหญ่ก็นิยมทำกันจนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อได้รับการร้องขอจากผู้ป่วยบ่อยเข้า และหลังจากที่แม่ช่างใจอยู่นาน สุดท้ายแม่ก็เลือกที่จะทำตามที่เธอขอร้อง เพราะอดสงสารเธอไม่ได้ ในที่สุดเธอก็ตายสมใจอยาก  แต่คนที่เสียใจมากๆ กลับเป็นแม่ของผมเอง ซึ่งท่านทั้งรักและปรารถนาดีต่อคนไข้ทุกคน แต่ท้ายสุดความหวังดีของแม่ก็กลับเป็นต้นเหตุให้คนไข้รายนี้ ต้องมาเสียชีวิตก่อนเวลาอันสมควร ยิ่งแม่นึกทบทวนยิ่งเกิดจิตสำนึกว่าไม่น่าทำอย่างนี้เลย เพราะเท่ากับเป็นการฆ่าเพื่อนมนุษย์อย่างเลือดเย็นที่สุด ซึ่งผิดธรรมชาติที่มนุษย์ควรจะทำต่อกัน ตั้งแต่นั้นมา แม่ก็เลยตัดสินใจลาออกจากงานดังกล่าว แล้วได้ย้ายมาเป็นหมอในโครงการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง (ซึ่งเป็นวิธีบำบัดผู้ป่วยทั้งทางกายและทางใจควบคู่ไปด้วยกัน จนกระทั่งผู้ป่วยเสียชีวิตไปเองตามธรรมชาติ) นับเป็นทางเลือกใหม่ที่ดีกว่าการทำการุณยฆาต ซึ่งทุกวันนี้สังคมกลับยอมรับให้การทำการุณยฆาตเป็นเรื่องถูกกฎหมายไปเสียแล้ว  ทุกวันนี้แม่มีความสุขกับงานใหม่นี้มาก และตั้งใจว่าจะขยายโครงการดูแลผู้ป่วยดีๆอย่างนี้ ให้แพร่หลายในประเทศเนเธอร์แลนด์ให้ได้มากที่สุดครับ
 
    สำหรับตัวผม เมื่ออายุได้ 19 ปี ผมเริ่มหยิบหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนาชื่อ “The Tibetan book of the Dead” ซึ่งถ่ายทอดเรื่องชีวิตหลังความตายตามทัศนะของพุทธทิเบตขึ้นมาอ่านเป็นครั้งแรก ผมรู้สึกทึ่งมาก อัศจรรย์ใจเหลือเกินว่า เหตุใดพุทธศาสนาจึงสามารถอธิบายเรื่องราวของชีวิตได้ละเอียดลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ล้วนเป็นเหตุเป็นผลเช่นเดียวกับหลักวิทยาศาสตร์  จะต่างกันก็เพียงแต่พุทธศาสนากล่าวเน้นถึงเรื่องสภาวะจิตใจ ซึ่งละเอียดลึกซึ้งเกินกว่าที่ตามนุษย์จะมองเห็น ผมพิจารณาตามไปทุกถ้อยคำด้วยใจจดจ่อ ยิ่งอ่านก็ยิ่งถูกใจ รู้สึกคุ้นเคยกับเรื่องเหล่านี้คล้ายกับเคยได้ยินได้ฟังมาก่อน จนผมแทบจะวางไม่ลง ในที่สุดผมจึงจับหลักได้ว่า มนุษย์สามารถจะฝึกใจตนเองได้ ซึ่งแต่เดิม ผมหรือแม้แต่ชาวตะวันตกทั่วไป มักคิดว่า ใจนี้ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง และเชื่อว่าทุกสิ่งที่เราทำผิดพลาดไป ย่อมหมดโอกาสที่จะแก้ไขได้
 
    นับแต่นั้นมา ผมจึงเริ่มสนใจการนั่งสมาธิมากครับ ผมแสวงหาวิธีการนั่งสมาธิด้วยตัวเองมาหลายวิธี ช่วงแรกๆ ผมลงทุนซื้อหนังสือมาอ่านหลายเล่ม เรียกว่ากางตำราแล้วก็ลองผิดลองถูกไปตามที่เขาแนะนำ โดยส่วนใหญ่จะแนะให้เอาใจจดจ่อกับกสิณนอกตัว ผมพยายามทำทุกวัน ๆ ละประมาณ 15 นาที นานเกือบปี แต่สุดท้ายก็ไม่บรรลุผลสำเร็จอย่างที่หวัง เพราะถึงจะมีสติมากขึ้นก็จริงอยู่ แต่ก็ได้ความเครียดเป็นของคู่กันมาฟรีๆ สุดท้ายจึงยังไม่เคยได้สัมผัสถึงความสุขเลยแม้แต่ครั้งเดียว
 
    ต่อมาผมจึงแสวงหาครูสอนทำสมาธิอย่างจริงจัง โดยพยายามค้นหาสถานที่ปฏิบัติธรรมทางอินเตอร์เน็ต โชคดีที่ค้นไปเจอเวบไซท์ของศูนย์ปฏิบัติธรรมของวัดพระธรรมกายในเบลเยี่ยมเป็นเวบไซท์แรก ผมไม่รอช้ารีบส่งจดหมายไปสอบถามถึงหลักสูตรสมาธิทันที   ครั้งแรกที่ไปถึงศูนย์ปฏิบัติธรรมเบลเยี่ยม ผมได้พบกับพระอาจารย์รูปหนึ่งซึ่งเป็นชาวยุโรปเช่นกัน ผมประทับใจท่านมากครับ สังเกตศีลาจารวัตรของท่านงดงามและน่าเลื่อมใส ทุกสิ่งที่ท่านสอน ถึงจะเป็นสิ่งใหม่และเป็นเรื่องยากสำหรับชาวตะวันตก แต่ท่านก็สามารถอธิบายให้เข้าใจได้อย่างง่ายดาย และยังเข้าถึงจิตใจชาวตะวันตกอย่างผม    แม้ช่วงนั้น ผมต้องทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ให้กับการศึกษาปริญญาโทอย่างจริงจัง แต่ผมไม่ลืมที่จะหาโอกาสมานั่งสมาธิที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเป็นประจำ อย่างน้อยอาทิตย์ละสองครั้ง ซึ่งทุกครั้งผมต้องใช้เวลานั่งรถไฟไปกลับประมาณห้าชั่วโมงเพื่อเดินทางที่นี่ ต้องข้ามหลายจังหวัดแต่ถึงจะยากลำบากแค่ไหน สำหรับผมแล้วการได้มาที่นี่นับว่าคุ้มเกินคุ้มครับ
 
    บางครั้งผมนั่งฟังพระอาจารย์เล่าธรรมะด้วยความเบิกบานใจ ฟังเพลินกระทั่งลืมเวลากลับ  จนพี่อุบาสกต้องสะกิดเตือนผมว่า...ถึงเวลารถไฟเที่ยวสุดท้ายแล้วนะ...ผมจึงต้องขอตัวกลับ ทั้งๆที่อยากจะฟังต่อ เพราะรู้สึกเหมือนยังดูหนังไม่จบม้วนเลยครับ
 
    ต่อมาพระอาจารย์ก็ชวนให้ผมไปบวชสามเณรที่อะซูซ่า เพราะที่เบลเยี่ยมยังไม่มีโครงการอบรมสามเณร  ผมจึงตัดสินใจบวชทันที หลังจากนั้นผมก็ตัดสินใจบวชสามเณรอีกสองครั้งที่เบลเยี่ยมและฝรั่งเศส เมื่อนึกถึงภาพการบวชเป็นสามเณรครั้งใด ผมจะรู้สึกปลื้มใจทุกครั้งครับ    ไม่น่าเชื่อเลยครับว่า ชีวิตสมณะที่ดูเรียบง่าย กลับเป็นชีวิตที่สามารถเก็บเกี่ยวความสุขได้ทุกเวลานาที ซึ่งแตกต่างจากชาวโลกที่มีชีวิตอยู่บนความทุกข์เสียจนชิน
 
    ปี 2544 ผมก็ตัดสินใจเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาร่วมงานบุญใหญ่ที่วัดพระธรรมกายเป็นครั้งแรก ผมเห็นชาวพุทธมากมายรักบุญ รักในการสร้างบารมี ผมรู้สึกปลื้มใจเพราะหนึ่งในผู้คนมากมายเหล่านั้น  มีผมร่วมอยู่ด้วย
 
    หลังจบปริญญาโทที่เบลเยี่ยม ผมตัดสินใจเข้ามาช่วยงานพระศาสนา โดยเข้ามาฝึกตัวเป็นอุบาสกที่วัดพระธรรมกายประมาณ 8 เดือน จากนั้นจึงกลับไปช่วยงานที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเบลเยี่ยมอีก 1 ปี เมื่อทราบข่าวว่ากลางเดือนกรกฎาคมจะมีโครงการอบรมพระธรรมทายาทรุ่นนานาชาติ ผมก็ตัดสินใจเดินทางมาบวชที่วัดพระธรรมกายทันทีโดยไม่ลังเลใจครับ บวชครั้งนี้ผมตั้งใจจะปฏิบัติธรรม อุทิศตนให้กับงานพระศาสนา โดยไม่ขอทำงานทางโลกอีกต่อไป ผมตั้งใจขอสร้างบารมีตามติดหลวงพ่อไปจนถึงที่สุดแห่งธรรมครับ
 
คำถาม
 
1. เหตุใดโยมแม่จึงรักการอ่านหนังสือ สนใจเรื่องศาสนาและชอบทำสมาธิ  โยมแม่หันมานับถือพุทธศาสนาแต่ก็ถือศีลได้เพียง 4 ข้อ อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นชาวพุทธไหมครับ หากโยมแม่ยังไม่เลิกดื่มเหล้าจะทำให้ต้องไปอบายหรือไม่ จะแก้ไขได้อย่างครับ
 
2. อยากทราบว่าคนที่ติดเหล้า(อย่างเช่นแม่ของผม) หากมีโอกาสมานั่งสมาธิจะสามารถเข้าถึงธรรมหรือไม่ การดื่มเหล้าแต่ไม่ถึงกับเมามายขาดสติ จะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรมมากไหมครับ
 
3. ในกรณีที่ทำการุณยฆาตเพราะสงสารผู้ป่วย หมอจะบาปมากไหมครับ และจะมีวิบากกรรมอย่างไรในภพชาติต่อไป โยมแม่เปลี่ยนมาขยายโครงการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ที่จะทำให้การทำการุณยฆาตมีอัตราลดน้อยลง ทำอย่างนี้จะช่วยตัดทอนวิบากกรรมนั้นได้หรือไม่ และจะทำให้มีอานิสงส์ในภพชาติต่อไปอย่างไรครับ
 
4. บุพกรรมใดทำให้ผมต้องเกิดมาในครอบครัวแตกแยก พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่ผมอายุ 4 ขวบ อยู่นอกบุญเขต ห่างไกลพุทธศาสนา และต้องพลัดพรากจากหมู่คณะครับ 
 
5. เพราะเหตุใดผมจึงมีความสนใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับพุทธศาสนามาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น โดยเฉพาะการนั่งสมาธิและฟังธรรมผมจะชอบมาก และไม่เคยเบื่อและมีความกระหายใคร่รู้ธรรมะตลอดเวลา และบุญใดทำให้ผมได้มาบวชเป็นสามเณรถึงสามครั้งครับ 
 
6. ผมและเพื่อนสหธรรมิก แม้จะต่างชาติต่างภาษา แต่ในที่สุดก็ได้มาบวชรุ่นธรรมทายาทนานาชาติพร้อมกัน เป็นเพราะได้เคยสร้างบารมีร่วมกันมาอย่างไรครับ  เรามีหน้าที่อะไรในกองทัพธรรม และทุกคนจะมีบุญมากพอที่จะตามติดคุณครูไม่ใหญ่ไปดุสิตบุรีวงบุญพิเศษหรือไม่ ทำอย่างไรเราจึงจะประคับประคองกันไปสร้างบารมีโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คนเดียวครับ
 
7. พระอาจารย์และพี่อุบาสกที่ศูนย์ปฏิบัติเบลเยี่ยมที่คอยเป็นกัลยาณมิตรผม แนะนำให้เข้าใจพุทธศาสนาและรู้จักสร้างบารมี เราได้เคยเกื้อกูลและร่วมสร้างบารมีกันมาอย่างไรในอดีตครับ
 
8. โยมแม่ โยมพ่อ และน้องชาย พอจะมีสายบุญที่สร้างมากับหมู่คณะหรือไม่ เหตุใดโยมพ่อและน้องชายจึงไม่ค่อยสนใจเรื่องพุทธศาสนาเลยครับ ส่วนโยมแม่ถึงจะสนใจพุทธศาสนา แต่กลับไปสนใจนั่งสมาธิสายอานาปานสติในวัดของเวียดนาม ทำอย่างไรผมจึงจะสามารถทำหน้าที่กัลยาณมิตรให้ทุกคนในครอบครัวได้มาสร้างบารมีกับหมู่คณะครับ
 
9. ตัวผมเองเคยสร้างบารมีร่วมกับหมู่คณะมาอย่างไร มีหน้าที่อะไรในกองทัพธรรม เคยเข้าถึงวิชชาธรรมกายหรือไม่ ผมมีผังการบวชแน่นหนาพอที่จะบวชไปได้ตลอดชีวิตหรือไม่ครับ
 
กราบนมัสการหลวงพ่อด้วยความเคารพอย่างสูง
 
ฝันในฝัน
หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะ  ตื่นขึ้นมา หาว 1 ที
แล้วก็นำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรากันนะจ๊ะ
 
1. โยมแม่ในอดีตชาติก็เป็นชาวพุทธ   เมื่อทำบุญแล้วไม่ได้อธิษฐานล้อมกรอบเอาไว้   จึงพลัดไปเกิดนอกบุญเขต   แต่บุญเก่าที่เคยทำไว้ในพระพุทธศาสนา   จึงทำให้สนใจศึกษาคำสอนในพระพุทธศาสนา   ที่สอนเกี่ยวกับเหตุและผลของการกระทำ  และสนใจทำสมาธิ
 
 
 
 
 
 
 
2. คนที่ “ติดเหล้า” แบบโยมแม่   แม้จะไม่เมามายมากนัก ,   ก็จะทำให้สติหย่อน  ยากต่อการเข้าถึงธรรมได้   และจะเป็นอุปสรรคต่อการนั่งสมาธิ   เพราะใจจะตั้งมั่นในสมาธิยาก  
 
 
3. ในกรณีทำ การุณยฆาต คือ ช่วยให้คนไข้ตายตามความเรียกร้องด้วยความสมัครใจ   ของคนไข้ที่ทุกข์ทรมานทั้งกายและใจนั้น   ก็ถือว่าเป็น “ความกรุณาที่ปนโมหะ”   จัดว่าเป็น “บาป” แต่น้อยกว่าพวกที่ฆ่าคนด้วยโทสะ   หรือด้วยเจตนาอย่างแรงกล้า
 
 
 
4. ลูกมีเศษกรรมกาเมเจ้าชู้เบาบางมากแล้ว   จึงทำให้ไปเกิดในครอบครัวที่พ่อ - แม่แยกทางกันตั้งแต่ยังเด็ก  
 
 
5. ลูกสนใจพระพุทธศาสนาตั้งแต่วัยรุ่น   เพราะ …ในอดีตลูกก็เคยบวชพระมาก่อน   บุญเก่าจึงกระตุ้นเตือนให้สนใจในพระพุทธศาสนา , ทั้งฟังธรรม , นั่งสมาธิ  และไม่เบื่อหน่ายในการฟังธรรม แถมกระหายใคร่รู้ธรรมะอีกด้วยจ่ะ! 
 
 
 
 
 
6. ลูกและเพื่อนสหธรรมิกที่ต่างชาติต่างภาษา   ได้มาบวชธรรมทายาทนานาชาติร่วมกัน  เพราะ … เคยสร้างบุญกับหมู่คณะมาเหมือนกัน   แต่หลายรูปแบบ เช่น บางคนก็เป็นแบบ “กองเสบียง” , บางคนก็เคยบวชช่วงสั้น  ,  บางคนก็บวชอุทิศชีวิตมา เช่น ตัวลูก  เป็นต้น 
 
 
 
 
 
7. พระอาจารย์ในอดีต   ท่านได้อธิษฐานข้ามชาติมาว่า   จะเผยแผ่ ธรรมะไปทั่วโลก   ดังที่เคยกล่าวมาแล้ว  , พระอาจารย์ได้เคยเป็นกัลยาณมิตรคอยประคับประคองให้ซึ่งกันและกัน ,  อีกทั้งเคยเป็นสหธรรมิกร่วมกันจ่ะ!  

 
 
 
8. โยมแม่ , โยมพ่อ , น้องชาย ก็มีสายบุญร่วมกับหมู่คณะมาจ่ะ!   แต่อาจน้อยกว่าตัวลูก   แต่สามารถชักชวนทุกคนให้มาเข้าใจหมู่คณะได้จ่ะ!  
 

 
 
 
 
9. ตัวลูกเมื่อพุทธันดรที่ผ่านมา   ได้เป็น “กุลบุตร” ออกบวชอยู่ในทีม “เผยแผ่” , ปฏิบัติธรรมะได้เข้าถึงพระธรรมกาย ,  ได้เป็นกำลังเผยแผ่ พระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกายไปได้แพร่หลายทั่วโลก, อีกทั้งมีผังการบวชตลอดชีวิตในอดีตที่หนาแน่น  เพียงพอที่จะบวชได้ตลอดชีวิตในชาตินี้   ถ้าลูกปรารถนาจ่ะ!
  
 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/casestudy/2548-07-29.html
เมื่อ 28 มีนาคม 2567 13:23
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv