CASE  STUDY 
อีกคนที่ห่วงใย
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ทาง DMC
 
 
กราบมนัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง

    ลูกเข้าวัดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527  และเป็นนักเรียนอนุบาลฝันในฝันฯ มาตั้งแต่เริ่มเปิดโรงเรียน ลูกโชคดีที่ได้พบคำสอนของคุณครูไม่ใหญ่เป็นเครื่องชี้นำทางให้ได้เป็นกัลยาณมิตร ตอบแทนพระคุณของบุพการีได้เป็นอย่างดี  ลูกกราบขอความกรุณาพระเดชพระคุณคุณครูไม่ใหญ่ ได้โปรดฝันในฝันเรื่องราวของบุพการีของลูกด้วยค่ะ

    เตี่ยของลูกเป็นคนไทยเชื้อสายจีน  มีพี่น้องทั้งหมด 5 คน เป็นชาย 4 คน หญิง 1 คน  เตี่ยเป็นลูกคนโต  เมื่อเตี่ยอายุได้ 7 ปี  ก๋ง (ปู่) ก็ส่งเตี่ยกับน้องชายซึ่งมีอายุ 5 ปี ให้ไปอาศัยอยู่กับญาติที่เมืองจีน  ระหว่างอยู่ที่นั่นประมาณปี พ.ศ. 2478 ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่  2 ขึ้นพอดี  ทำให้เตี่ยกับน้องต้องอยู่ห่างไกลจากบ้านเกิด  มีชีวิตด้วยความยากลำบากมาก  ต้องขุดหัวมันมาเผากินประทังชีวิต

    ฝ่ายที่เมืองไทย   คุณย่าก็เป็นห่วงเตี่ยและน้องมาก   จึงไปที่ท่าเทียบเรือทุกวัน มองหาเรือเดินทะเลที่บรรทุกคนและสินค้ามาจากเมืองจีน แล้วคอยชะเง้อมองหาเตี่ยและน้องแต่ก็ไร้วี่แวว เป็นอย่างนี้นานถึง 9 ปี ในที่สุดคุณย่าก็ตรอมใจตาย ในขณะที่เตี่ยมีอายุได้ 16 ปี

    จนกระทั่งเมื่อเตี่ยอายุได้ 19 ปี ก็กลับเมืองไทยได้เพียงลำพัง ส่วนน้องชายกลับไม่ได้ เนื่องจากเอกสารการออกจากเมืองจีน และเข้าประเทศไทยไม่เรียบร้อย น้องชายเตี่ยต้องถูกส่งไปเป็นทหารอยู่ทางตอนเหนือของจีน ทำให้ความพยายามของเตี่ยที่จะติดต่อช่วยเหลือน้องชายลำบากยิ่งขึ้น น้องชายเตี่ยจึงต้องติดอยู่ที่เมืองจีนนั่นเอง 

    ทันทีที่เตี่ยกลับมาเมืองไทยได้ เตี่ยก็ขยันทำมาหากินอย่างเต็มที่ ท่านไปทำงานเป็นลูกจ้างที่ห้างขายของ ใน จ.สุราษฎร์ธานี อยู่ถึง 9 ปี ระหว่างทำงานอยู่ที่ห้างนั้น  เตี่ยได้แต่งงานกับแม่ เมื่อเตี่ยอายุได้ 28 ปี   ช่วงนี้เตี่ยถูกกดดันจากก๋ง (ปู่) มาก คือ ก๋งมองว่าเตี่ยแต่งงานมีครอบครัวแล้ว แต่ยังตั้งตัวไม่ได้ เป็นแค่ลูกจ้างเขาเท่านั้นเอง  เตี่ยลาออกจากการเป็นลูกจ้างที่ห้าง ไปเปิดร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป แต่เนื่องจากเตี่ยไม่มีประสบการณ์ทางด้านนี้มาก่อน ประกอบกับพูดภาษาไทยไม่ชัด จึงไม่ประสบความสำเร็จ เตี่ยจึงเปลี่ยนไปทำงานเป็นผู้จัดการโรงงานเซรามิคส์ ที่ จ. ลำปาง อยู่ 4 ปี จึงออกมาเปิดร้านทำรางน้ำ ปล่องควัน  ทำช่องแอร์ตามโรงงาน  และตัดกระจก อยู่ที่กรุงเทพ ฯ เป็นเจ้าของกิจการของตนเองได้ในที่สุดค่ะ

    เตี่ยกับแม่ มีลูกด้วยกัน 4 คน เป็นหญิง 2 คน ชาย 2 คน แต่อยู่ด้วยกันประมาณ 12 ปี  เตี่ยกับแม่ก็แยกทางกัน  เนื่องจากเตี่ยเป็นคนเจ้าชู้มาก  มีภรรยาหลายคน  แล้วแม่ก็ได้ไปทำงานที่เยอรมัน ส่วนเตี่ยและลูกๆก็อยู่ที่เมืองไทย โดยเตี่ยอยู่อีกบ้านกับครอบครัวใหม่  ส่วนลูกๆอยู่กันเอง 4 คนพี่น้อง ตอนเย็นลูกๆ ทุกคนจะเดินไปทานอาหารเย็นที่บ้านเตี่ยซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน  

        ส่วนแม่  ซึ่งอยู่ที่เยอรมัน  ได้ส่งเงินค่าใช้จ่ายทุกอย่างในบ้าน  รวมทั้งค่าเทอมของลูกทั้ง 4 คน  ส่งมาให้ลูก ๆ ทุกเดือน   และแม่ก็มาเยี่ยมลูกๆที่เมืองไทยปีละครั้งทุกปี จนลูก ๆ เรียนจบปริญญาตรี  และปริญญาโท  มีงานทำกันทุกคน  ส่วนลูกทำงานที่  บริษัท  การบินไทย  จำกัด (มหาชน) แผนกต้อนรับผู้โดยสารพิเศษ  เป็นเวลา  9 ปี แต่ได้ลาออกจากงานเพื่อมาดูแลเตี่ยที่กำลังป่วยหนักในระยะสุดท้าย ...เพื่อทดแทนบุญคุณที่ท่านให้กำเนิดลูกมาค่ะ

    ปี 2543 เตี่ยอายุได้  72   ปี  ป่วยเป็นอัมพฤกษ์  เนื่องจากไขมันอุดตันเส้นเลือดในสมอง แต่ลูกพาท่านไปรักษาได้ทันท่วงทีค่ะ  ต่อมาอีก 1 ปี  เตี่ยป่วยเป็นมะเร็งในลำไส้ใหญ่ แต่เตี่ยไม่ยอมผ่าตัด ใช้วิธีรับประทานยา อาหารที่มีประโยชน์ และหมั่นทำบุญใส่บาตรทุกเช้าไม่เคยขาดและได้ทำบุญกับวัดพระธรรมกายทุกครั้งที่ทราบข่าว     เตี่ยมีชีวิตยืนยาวมาได้อีก 2 ปี ก็มีอาการแน่นท้อง กินอาหารไม่ได้ ถ่ายไม่สะดวก  ทรมานจนนอนไม่หลับ คราวนี้เตี่ยจำเป็นต้องผ่าตัดก้อนมะเร็งที่โตขวางลำไส้ใหญ่ออก และพบว่าเซลล์มะเร็งได้แพร่กระจายไปที่ตับแล้ว

    หลังการผ่าตัด เตี่ยได้ไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง ขณะเดียวกันก็รักษาทั้งแพทย์แผนไทย แผนจีน และแพทย์ทางเลือกไปด้วย ระหว่างนั้นลูกๆ ก็ช่วยสร้างบุญให้เตี่ย เช่น ลูกสาวคนโต สร้างพระธรรมกายประจำตัวให้ และตั้งกองกฐิน 60 ปีพระราชฯ,  ลูกชายคนโตได้บวชพระรุ่น 60 ปี พระราชฯ , ลูกชายคนที่ 2 ก็ได้บวชพระธรรมทายาทให้เตี่ย , ส่วนตัวลูกได้พาเตี่ยมาทำบุญ และร่วมงานของวัดพระธรรมกายแทบทุกโอกาส ถึงกระนั้นเซลล์มะเร็งก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกระจายไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย  เตี่ยจึงเดินไม่ค่อยไหว แต่ท่านก็ยังมาร่วมงานวันวิสาขบูชา ปี 2547 โดยลูกช่วยกันประคอง ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่เตี่ยได้มาร่วมงานที่วัดพระธรรมกายค่ะ

ช่วงที่เตี่ยป่วยไม่มีภรรยาคนใดอยู่กับเตี่ยเลย  แม้จะมีลูกๆ คอยเฝ้าดูแลเตี่ยอยู่แล้วก็ตาม   เตี่ยเรียกร้องให้แม่ของลูก (ซึ่งกลับมาอยู่เมืองไทยแล้ว) มาเฝ้าเตี่ย  เมื่อแม่ทราบข่าวก็ไม่ขัดข้อง ได้กลับมาดูแลปรนนิบัติเตี่ยตามที่เตี่ยร้องขอ โดยมิได้ติดใจเรื่องเก่าๆอีกเลย  

หลังจากนั้น เตี่ยก็ทรุดหนักจนลุกนั่งไม่ไหว แม่จะนิมนต์พระเข้าไปรับบาตรในบ้าน ส่วนลูกก็พยุงและประคองมือเตี่ยให้ใส่บาตร นอกจากนี้คุณแม่และลูกๆ ยังติดจานดาวธรรมให้เตี่ยดู ซึ่งเตี่ยก็พยายามจะดู แม้ว่าร่างกายจะไม่ค่อยไหวแล้วก็ตามเพราะว่า DMC ช่องนี้ช่องเดียวให้คุณมากกว่าที่คุณเห็น

    วันหนึ่งตอนหัวค่ำ เตี่ยเริ่มได้ยินเสียงผู้ชายคุยกันที่บ้าน ทั้งๆที่ไม่มีผู้ชายอยู่ในเวลานั้น เตี่ยเห็นผู้ชายมาเรียกให้ไปด้วยกัน ลูกบอกเตี่ยว่า อย่าไปนะ! ถ้าไม่ใช่พระมาเรียก บางครั้งก็บอกว่าเห็นเจ้าชายมาเลเซียมาหา และบอกด้วยว่าเจ้าชายมาเลเซียเคยเป็นเจ้าของบ้านที่เตี่ยนอนป่วยอยู่

    หัวค่ำของวันที่ 30 ก.ค.47 หลังจากเตี่ยฟังเทปทำวัตรเย็นซึ่งลูกเปิดให้ฟังเป็นประจำจนจบแล้ว ลูกได้นำอธิษฐานและส่งเตี่ยเข้านอน แต่เตี่ยพูดกับลูกว่า “พรุ่งนี้เตี่ยจะไป” ลูกใจเสีย คิดว่าท่านเพ้อ จึงถามว่า “เตี่ยพูดอะไรออกมา รู้ตัวไหม” ท่านตอบว่า “ รู้! มันต้องเป็นอย่างนี้ล่ะ มันเป็นธรรมชาติ ”

    รุ่งขึ้นช่วงบ่ายเตี่ยเริ่มหายใจไม่ค่อยออก และถ่ายออกมาเป็นลิ่มเลือด สีคล้ำข้น และเหนียวคล้ายยางมะตอย ลูกเรียกรถพยาบาลมารับเตี่ย ท่านอ่อนเพลียและเสียเลือด จึงมีการให้น้ำเกลือ และออกซิเจน  ท่านง่วงมาก แต่ไม่หลับ เวลาประมาณ  20.00 น. ลูกจึงปรึกษาหมอ และหมอได้สั่งยานอนหลับ แล้วเตี่ยก็หลับลงเมื่อเวลาประมาณ 21.30 น. จากนั้นความดันของเตี่ยก็เริ่มลดลง คลื่นหัวใจก็แผ่วลง ลูกเปิดเทปทำวัตรเย็นให้เตี่ยฟัง พอจบปุ๊บ เตี่ยก็หายใจเข้าอย่างสงบ 3 ครั้ง และจากไปในเวลาเที่ยงคืน  ตรงกับวันที่เตี่ยบอกไว้ล่วงหน้า 1 คืน จริงๆ 

    ส่วนแม่ของลูกนั้น ทันทีที่เลิกกับเตี่ย แม่ก็เดินทางไปพักอยู่กับลูกสาวของเพื่อนแม่ที่เยอรมันได้ประมาณเดือนกว่าๆ จากนั้นก็ย้ายไปอยู่กับเพื่อนหญิงชาวไทยได้ 2 สัปดาห์ เพื่อนก็แนะนำแม่ให้ไปดูแลผู้ป่วยชายคนหนึ่ง ซึ่งมีอายุน้อยกว่าแม่ 8 ปี เขาป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายลีบ  แม่ทำงานได้ดีจนผ่านการทดลองงาน   มารดาของผู้ป่วยชายนั้นจึงได้เสนอสัญญากับแม่ว่า ถ้าแม่รับดูแลลูกชายของเขาจนตลอดชีวิต  แม่ก็จะได้จดทะเบียนสมรสกับลูกชายเขา เพื่อให้แม่ได้สิทธิในการทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายในเยอรมัน และแม่จะได้รับส่วนแบ่งเงินบำนาญของลูกชายเขาทุกๆ เดือน อีกครึ่งหนึ่งด้วย แม่ตกลง  จึงทำหนังสือสัญญากันไว้ค่ะ

    แม่ดูแลผู้ป่วยชายนั้นอยู่ 6 ปี จนกระทั่งผู้ป่วยเห็นใจ และเห็นว่าไม่เป็นธรรมกับแม่เลย ที่แม่จะต้องถูกผูกมัดด้วยสัญญาดังกล่าวจนกว่าตัวเขาจะเสียชีวิต เขาจึงประกาศหาคู่ให้แม่ทางหนังสือพิมพ์ ตั้งแต่นั้นมาแม่จึงใช้ชีวิตคู่อยู่กับสามีชาวเยอรมัน แต่มิได้จดทะเบียนสมรสกัน ระหว่างนั้นแม่ยังคงดูแลผู้ป่วยชายคนนั้นเหมือนเดิมค่ะ

    ต่อมาแพทย์ได้แนะนำมารดาของผู้ป่วยชายนั้นว่า ถ้าผู้ป่วยอยู่ในเมืองหนาวต่อไป จะทำให้เสียชีวิตเร็วขึ้น เนื่องจากเลือดไม่สามารถไหลเวียนไปทั่วร่างกายได้ จึงควรให้ผู้ป่วยไปอยู่ในเขตร้อน ดังนั้นแม่จึงช่วยให้ผู้ป่วยชายนั้นได้มาพักที่บ้านของแม่ในกรุงเทพฯ โดยแม่ได้จ้างแม่บ้านคนไทยที่อยู่ในเยอรมัน ให้กลับมาดูแลผู้ป่วยแทน ส่วนแม่ก็ยังเป็นห่วงเป็นใยเสมอจึงกลับมาเยี่ยมผู้ป่วยทุกๆ ปีๆ ละครั้ง เป็นเวลานานถึง 19 ปี    แม่ได้อยู่กับสามีชาวเยอรมัน จนบั้นปลายชีวิตแม่อายุได้ประมาณ 58 - 59 ปี แม่จึงกลับมาอยู่เมืองไทยพร้อมสามี โดยซื้อบ้านใหม่หลังหนึ่ง แต่สามีของแม่มาอยู่ได้ประมาณ 5 ปี ก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ รวมเวลาที่แม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับสามีชาวเยอรมันนานถึง 20 กว่าปี หลังจากสามีแม่เสียชีวิตไปประมาณ 1 ปี ผู้ป่วยชายที่แม่เคยดูแลจึงเสียชีวิต 

คำถาม

1.    วิบากกรรมใดที่บีบคั้นก๋ง ให้ส่งเตี่ยกับน้องชายไปอยู่ที่เมืองจีน  ซึ่งอยู่ในช่วงของสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดีด้วยคะ

2.    คุณย่าทำกรรมใดไว้ จึงพลัดพรากจากลูกชายผู้เยาว์วัยพร้อมกันถึง 2 คน และท่านเสียชีวิตเพราะตรอมใจตายจริงหรือไม่ ตายแล้วไปไหนคะ

3.    เตี่ยทำกรรมอะไรคะ จึงมีแต่ความพลัดพรากจากหมู่ญาติ   , เตี่ยและน้องชายมีกรรมต่างกันอย่างไร จึงทำให้น้องชายเตี่ยไม่ได้กลับมาพบพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย ดังเช่นเตี่ยคะ

4.    วิบากกรรมใดที่ทำให้เตี่ยเกือบเป็นอัมพฤกษ์ และเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่คะ 

5.    จริงหรือไม่คะ ที่เตี่ยได้ยินเสียงผู้ชายคุยกัน เสียงนั้นคือเสียงใคร

6.    ทำไมเตี่ยจึงบอกว่าเห็นเจ้าชายมาเลเซียมาหา  และเจ้าชายมาเลเซียเคยเป็นเจ้าของบ้านที่เตี่ยนอนป่วยอยู่จริงหรือคะ  ถ้าจริง   เขาเหล่านั้นเป็นใครคะ

7.    เตี่ยรู้วันตายล่วงหน้า 1 วัน ได้อย่างไรคะ   เตี่ยตายเพราะถึงวาระของเตี่ยเอง หรือเป็นเพราะยานอนหลับ ถ้าเป็นกรณีหลังลูกจะบาปไหมคะ เพราะหมอสั่งยานอนหลับเนื่องจากลูกไปปรึกษาเองค่ะ

8.    ช่วง 3 เฮือก เตี่ยอยู่ในบุญไหมคะ ตายแล้วไปไหน  เตี่ยได้มาเวียนประทักษิณรอบมหาธรรมกายเจดีย์ ตามที่ลูกๆได้ซักซ้อมกับเตี่ยไว้ไหมคะ   เตี่ยฝากบอกอะไรถึงแม่และลูกๆไหมคะ

9.    กรรมใดที่ทำให้ผู้ป่วยชายคนนั้นป่วยด้วยโรคกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายลีบ และเหตุใดแม่จึงต้องมาดูแลและเยี่ยมเยียนเขาตลอดชีวิต   เขาตายแล้วเขาไปไหนคะ

10.    สามีชาวเยอรมันของแม่ทำกรรมอะไรมา จึงเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่   ตายแล้วไปไหนคะ   แม่มีความผูกพันอย่างไรในอดีตกับชาวเยอรมันคนนี้คะ

11.    ด้วยความกตัญญูที่ลูกเต็มใจลาออกจากงาน  เพื่อดูแลเตี่ยที่ป่วยหนัก และต้องการดูแลแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นอย่างดี  ลูกจะได้รับผลบุญอย่างไรคะ 

12.    เตี่ย  แม่ ตัวลูก และพี่ๆทั้งสาม สร้างบารมีมากับหมู่คณะอย่างไรคะ ลูกมีบุญพอที่จะส่งผลให้เป็นเจ้าของกิจการ ‘รีสอร์ท’ ซึ่งส่วนหนึ่งลูกอยากให้เป็นสถานปฏิบัติธรรมเผยแผ่วิชชาธรรมกาย   ลูกจะสมหวังไหมค่ะ 

ลูกขอกราบขอบพระคุณคุณครูไม่ใหญ่อย่างหาที่สุดมิได้ค่ะ
 

ฝันในฝัน
 
หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะ  ตื่นขึ้นมา หาว 1 ที 
แล้วก็นำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรากันนะจ๊ะ

1.    เตี่ยกับน้องชายถูก “ก๋ง” ส่งให้ไปอยู่เมืองจีนในช่วงสงครามโลกครั้งที่  2   เพราะ.....กรรมในอดีต   เตี่ยกับน้องเคยอนุโมทนาบาปและสนับสนุนเงินทางอ้อมให้แก่เมืองของตน   ที่ส่งทหารไปทำสงครามกับอีกเมืองหนึ่ง   มาส่งผลให้ก๋งส่งไปอยู่ในเมืองที่มีภาวะสงครามจ่ะ !

 
2.    “คุณย่า” พลัดพรากจากลูกชายตั้งแต่ยังเยาว์วัย  2  คน เพราะ.....ในอดีตสมัยย่าเป็นผู้ชาย   ท่านได้เป็นเจ้าหน้าที่คอยเกณฑ์ทหาร     ส่งชายหนุ่มไปเป็นทหารและออกรบในสงครามเป็นจำนวนมาก     ทำให้พลัดพรากจากครอบครัวมาส่งผลจ่ะ !     ท่าน “ตรอมใจตาย” จริง ๆ จ่ะ !
 

 
3.    เตี่ยต้องพลัดพรากจากหมู่ญาติ   เพราะ.....เป็นกรรมในอดีตที่อนุโมทนาบาปและสนับสนุนทางอ้อม  ที่ทำให้คนพลัดพรากทั้งจากเป็น - จากตายดังกล่าว   มาส่งผลจ่ะ !
 

 
4.    “เตี่ย” เกือบเป็น “อัมพฤกษ์” และเกือบเสียชีวิตด้วย “มะเร็งในลำไส้ใหญ่”   เพราะ.....กรรมในอดีตและปัจจุบัน   ได้ฆ่าสัตว์เล็กสัตว์น้อย   สัตว์ใหญ่  เช่น  วัว  ควาย  ในสมัยที่ท่านเกิดในสังคมเกษตรกรรม     และในปัจจุบันก็ฆ่าสัตว์ทำอาหาร  เช่น  ปลา , เป็ด , ไก่  เป็นต้น   มารวมส่งผลจ่ะ !

 
5.    “เตี่ย” บอกว่า   ได้ยินเสียงผู้ชายคุยกันนั้น   ก็เป็น “เรื่องจริง”   เป็นภุมมเทวาแถวนั้น     และเตี่ยก็ใกล้จะละโลกแล้ว   จึงได้ยินเสียงและเห็นได้จ่ะ !

 
6.    “เตี่ย” บอกว่า   เห็น “เจ้าชายมาเลเซีย” มาหา   และบอกว่าเป็นเจ้าของบ้านที่เตี่ยนอนป่วยอยู่นั้น   ก็เป็นเรื่องของการ “เพ้อ” เพราะพิษไข้จ่ะ !

 
7.    “เตี่ย” รู้วันตายล่วงหน้าได้  1  วันนั้น   เพราะบุญในช่วงท้ายที่ทำ   จึงทำให้มีสติและรู้ตัวได้    
 
 
8.    “เตี่ย” ตายแล้ว   ด้วยใจที่อยู่ในบุญ   ได้ตายแบบหลับแล้วตื่นขึ้นกลางวิมานทองของ “ดาวดึงส์” เฟส  3   เพราะมีกำลังบุญเท่านี้     จึงไม่ได้มาทำตามหลักวิชชาที่ลูกได้แนะนำจ่ะ !  
 
 
 
9.    “ผู้ป่วยชายคนนั้น” ป่วยเป็น “โรคกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายลีบ”   เพราะ.....กรรมในอดีตได้เป็น “ขุนนาง” ได้สั่งลงโทษ “ทาส” ที่ทำผิดให้  มัดแขน  ,  มัดขา  และปล่อยให้นอนตายอยู่ตรงนั้น   มาส่งผลจ่ะ !
 


 
10.    “สามีชาวเยอรมันของแม่” เสียชีวิตด้วย “โรคมะเร็งในลำไส้”   เพราะ.....ในอดีตได้เป็นเจ้าของ “ฟาร์มปศุสัตว์”   แล้วได้ส่งสัตว์ให้เขาเอาไปฆ่าและฆ่าขายด้วย   มารวมส่งผลจ่ะ !
 

 
11.    ลูกเต็มใจลาออกจากงาน   เพื่อมาดูแล “เตี่ย” ที่ป่วยหนัก , และต้องการมาดูแลแม่ที่มีชีวิตอยู่อย่างเต็มที่นั้น   จะมีอานิสงส์ 
 
12.    เตี่ย , แม่ , ตัวลูกและพี่ ๆ ทั้งสามคน   เคยสร้างบารมีกับหมู่คณะมาโดยเป็น “กองเสบียง” จ่ะ !     
 



บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/casestudy/2549-04-25.html
เมื่อ 27 เมษายน 2567 01:14
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv