อยู่ในธรรมเพราะกัลยาณมิตร
 
 
 
     คนที่เกิดมาบนโลกนี้ ล้วนปรารถนาที่จะดำรงชีวิตอย่างมีความสุข อยากมีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน อยากเป็นที่ยอมรับของสังคม เป็นที่รักของทุกคน ปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งที่จะอำนวยผลดีให้ นอกเหนือจากบุญเก่าที่ได้สั่งสมมาอย่างดีแล้ว คือการมีกัลยาณมิตรที่ดี ที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง กัลยาณมิตรจะเป็นผู้แนะหนทางสว่างในชีวิต ทางแห่งความสุขสมหวัง ถ้าขาดกัลยาณมิตรแล้วชีวิตจะมืดมน เพราะกัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของชีวิตอันประเสริฐ จะคอยประคับประคองให้อยู่ในเส้นทางธรรม เส้นทางแห่งบุญกุศล ชักนำให้มาสร้างบารมี มาประพฤติปฏิบัติธรรม จนกระทั่งเข้าถึงธรรมภายใน เข้าถึงพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงในชีวิต
 
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ใน สิวสูตร ว่า
 
                            "สพฺภิเรว สมาเสถ      สพฺภิ กุพฺเพถ สนฺถวํ
                             สตํ สทฺธมฺมมญฺญาย   สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ
 
     บุคคลควรสมาคมกับพวกสัตบุรุษเท่านั้น ควรทำความสนิทสนมกับพวกสัตบุรุษ บุคคลรู้ทั่วถึงพระสัทธรรมของพวกสัตบุรุษแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง"
 
     การมีมิตรดี มิตรผู้แนะประโยชน์ ย่อมนำความสุขความเจริญรุ่งเรืองมาให้ มิตรแท้หรือกัลยาณมิตรนั้น เป็นบุคคลที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อโลก ชาวโลกปรารถนาบุคคลเช่นนี้ที่จะเป็นต้นบุญต้นแบบ เป็นแสงสว่างส่องนำทางชีวิต เป็นเหมือนต้นแหล่งแห่งความสว่างที่ไปจุดความสว่างภายในใจของผู้อื่นให้เกิดขึ้น จนมีดวงปัญญาสว่าง บริสุทธิ์ ที่จะช่วยให้หลุดพ้นจากบาปอกุศลทั้งมวล หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลายไปสู่อายตนนิพพานที่ไม่มีความเศร้าโศกสิ้นกาลนาน มีแต่ความสุขล้วนๆ เป็นที่ที่ไม่มีความทุกข์เจือปนอยู่ การได้สมาคมกับกัลยาณมิตรจึงเป็นสุขทุกเมื่อ
 
     กัลยาณมิตรเป็นผู้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจากร้ายให้กลายเป็นดี จากชีวิตที่ผิดพลาดล้มเหลวให้ประสบความสำเร็จได้ จากที่เคยระทมทุกข์ให้พบกับความสุขที่แท้จริง กัลยาณมิตรคือมิตรแท้ที่ยิ่งใหญ่ ที่มองการณ์ไกลไปถึงประโยชน์ในสัมปรายภพ กระทั่งช่วยส่งเสริมสนับสนุนจนถึงภพชาติสุดท้ายให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ดังเช่นเรื่องในอดีตชาติของพระอานนท์ ที่ท่านได้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นยอดกัลยาณมิตร แนะนำประคับประคองตลอดมาจนถึงภพชาติสุดท้ายได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ในอดีตชาติ ท่านก็มีชีวิตที่ผิดพลาดมาก่อน จึงทำให้เผลอไปก่อบาปกรรม ก่อความเดือดร้อนให้เกิดกับมหาชน เพราะความเป็นผู้นำที่มีอคติความลำเอียง
 
     * ในอดีตกาล พระอานนท์เกิดเป็นพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี ได้ปกครองไพร่ฟ้าประชาชนโดยไร้ความยุติธรรม ขาดความเมตตาปรานี เบียดเบียนราษฎรให้ได้รับความเดือดร้อนทั่วทุกหัวระแหง เมื่อปุโรหิตซึ่งก็คืออดีตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เห็นพระเจ้าพาราณสีไม่ทรงดำรงอยู่ในทศพิธราชธรรม จึงคิดหาอุบายทูลแนะนำพระองค์อยู่เสมอ โดยยกเรื่องขึ้นเปรียบเทียบอุปมาอุปมัยให้ฟัง เพื่อจะให้ได้พระสติ
 
     วันหนึ่ง ปุโรหิตเดินไปเห็นเรือนหลวงเก่า ที่ถูกทอดทิ้งอยู่ในพระราชอุทยาน จึงให้นายช่างยกเครื่องบนสวมสลักกลอนไว้ เมื่อพระเจ้าพาราณสีเสด็จประพาสพระราชอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นเรือนหลังนั้น จึงเสด็จเข้าไปใกล้ๆ ทรงเห็นไม้ที่ประกอบกันข้างบนที่เรียกว่าอกไก่ไม่แน่นหนา ก็ทรงกลัวว่าจะตกลงมาถูกพระองค์ จึงรีบเสด็จออกไปข้างนอก ดำริว่า ช่อฟ้าและกลอนนี้อาศัยอะไรจึงตั้งอยู่ได้ แล้วจึงตรัสถามปุโรหิตผู้มีปัญญาว่า “ช่อฟ้าที่สำเร็จด้วยแก่นไม้สีเสียดไม่มีกระพี้ติดแม้แต่นิดเดียว ตั้งอยู่ได้เพราะอาศัยอะไร”
 
     ปุโรหิตกราบทูลว่า “ตั้งอยู่ได้ด้วยกลอนทั้ง ๑๐ กลอน ซึ่งล้วนแต่ทำด้วยไม้แก่นมีความแข็งแรงหากระพี้มิได้ ตั้งอยู่อย่างเรียบร้อยไม่คลอนแคลน เมื่อกลอนตั้งอยู่มั่นคงแล้วก็อาจรองรับของหนักคือช่อฟ้าไว้ได้ ฉันใด เมื่อข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยมีไมตรีจิตต่อกัน ไม่แตกร้าวจากกัน ตั้งใจทำราชการอย่างจริงๆ จังๆ ด้วยความเป็นธรรมแล้ว อิสริยยศและเอกภาพของมหากษัตริย์พระองค์นั้น ก็ย่อมดำรงอยู่ถาวร ดุจกลอนอันแข็งแกร่งเหนี่ยวรั้งช่อฟ้าไว้ได้ ฉันนั้น”
 
     เมื่อปุโรหิตกราบทูลดังนี้แล้ว พระเจ้าพาราณสีทรงเริ่มรู้สึกพระองค์ว่า กำลังถูกตักเตือน ก็หวนระลึกถึงการประพฤติผิดพลาดต่อพสกนิกรในครั้งที่ผ่านๆ มา ทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง ทรงถอนพระทัยและดำริถึงพระราชกรณียกิจบางอย่างของพระองค์ที่ยังบกพร่องอยู่ ทรงมีพระพักตร์ที่บ่งบอกถึงความกังวลพระทัยอยู่บ้าง ในขณะนั้น มีมหาอำมาตย์ผู้โปรดปรานนำผลมะนาวน้อมเข้าไปถวายพระองค์ พระองค์จึงทรงรับสั่งให้ปุโรหิตรับผลมะนาวนั้น ปุโรหิตรับผลมะนาวมาแล้วกราบทูลว่า
 
     “ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่กว่าประชาราษฎร์ ผลมะนาวนี้ คนไม่ฉลาดที่ไม่รู้จักวิธีบริโภค ก็จะทำรสเปรี้ยวของผลมะนาวนี้ให้กลายเป็นรสขมได้  ส่วนคนที่มีปัญญานำรสขมของมะนาวนี้ออกเสีย รสของผลมะนาวจักไม่ขม” เมื่อกราบทูลเช่นนี้แล้ว สังเกตดูอาการของพระราชา เห็นว่าพระราชาไม่ขุ่นมัวแต่ยังทรงนิ่งเฉยอยู่ จึงกราบทูลต่อไปว่า “บุคคลผู้ฉลาดเมื่อปอกเปลือกออกแล้วคั้นเอาน้ำมะนาว รสมะนาวย่อมไม่ขม แต่จะมีรสเปรี้ยวตามธรรมชาติ ฉันใด เมื่อพระมหากษัตริย์พระองค์ใด ทรงมั่นอยู่ในความเมตตากรุณา ไม่เบียดเบียนไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ให้ได้รับความเดือดร้อน โดยให้ความเป็นธรรมแล้ว ประชาราษฎร์ย่อมมีความจงรักภักดี ตั้งอยู่ในพระโอวาท บ้านเมืองย่อมสงบสุขมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ พระมหากษัตริย์พระองค์นั้น ก็จะพลอยได้รับความสุขเกษมเปรมปรีดิ์ มีความมั่งคั่งสมบูรณ์ไปด้วย ฉันนั้น”
 
     เมื่อพระเจ้าพาราณสีสดับถ้อยวาทีของปุโรหิตแล้ว ทรงคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อทรงมีพระทัยชุ่มชื่นขึ้น จึงเสด็จไปประพาสสระโบกขรณีที่อยู่ในอาณาบริเวณพระราชอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นดอกปทุมซึ่งกำลังเบ่งบาน มีสีดังพระอาทิตย์แรกอุทัย จึงตรัสถามปุโรหิตว่า “ท่านมหาบัณฑิตปุโรหิต ดอกปทุมเกิดอยู่ในน้ำ แต่เหตุไรน้ำจึงไม่ติด”
 
     ปุโรหิตทูลตอบว่า “ดอกบัวซึ่งเกิดอยู่ในน้ำมีรากอันขาวบริสุทธิ์ มีธรรมชาติอยู่เหนือน้ำ เมื่อผุดขึ้นมาพ้นน้ำต้องแสงพระอาทิตย์อุทัยแล้ว ก็ไม่แปดเปื้อนด้วยเปือกตม ฉันใด เมื่อพระราชาพระองค์ใด ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม อันเป็นธรรมของผู้ปกครองมาแต่โบราณกาล ไม่ลุอำนาจแก่อคติความลำเอียง มีพระทัยสะอาดปราศจากทุจริตทางพระกาย และพระวาจา ทรงมั่นอยู่ในความเป็นกลางดุจตราชู ทรงพิพากษาคดีตามบทอย่างเที่ยงธรรมอันมีมาในตัวบทกฎระเบียบทั้งเก่าและใหม่ ที่บัณฑิตนักปราชญ์ทั้งหลายได้รักษาไว้และสืบทอดต่อๆ กันมา ไม่ทรงเห็นแก่ลาภสักการะคำสรรเสริญเยินยอ เมื่อนั้นบาปกรรมก็ไม่แปดเปื้อนในพระราชาพระองค์นั้น ฉันนั้น”
 
     พระเจ้าพาราณสีทรงสดับคำของปุโรหิตดังนี้แล้ว ทรงมีพระสติบริบูรณ์ มีพระทัยชื่นบาน ทรงพอพระทัยในคำของบัณฑิตยอดกัลยาณมิตร จึงดำรงมั่นอยู่ในทศพิธราชธรรม ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม และอยู่ในโอวาทของท่านปุโรหิตโพธิสัตว์ตลอดมา ทรงบำเพ็ญกุศลมีทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น จนตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ แล้วเสด็จไปสู่เทวโลกเมื่อคราวสิ้นอายุขัย
 
     ไม่ว่าบุคคลจะเป็นใหญ่เป็นโตขนาดไหน ก็ยังจำเป็นต้องมีกัลยาณมิตร โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานใหญ่ งานเพื่อประโยชน์สุขแก่มวลมนุษยชาติ ยิ่งต้องมีความสุขุมรอบคอบในการคิด การพูดและการกระทำ เพราะจะมีผลต่อส่วนรวมอย่างมหาศาล โลกจะขาดกัลยาณมิตรผู้ทรงธรรมไม่ได้ ถ้าโลกขาดกัลยาณมิตร ก็เหมือนคนนัยน์ตามืดบอดที่เดินหลงทางในที่มืด นอกจากจะหาทางออกไม่พบแล้ว ยังเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อชีวิต
 
     เราเป็นนักสร้างบารมี ต้องมั่นอยู่ในกุศลธรรม ต้องประพฤติตัวให้เป็นต้นบุญต้นแบบของชาวโลก ชาวโลกยังขาดต้นแบบในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องสมบูรณ์ เราจะต้องก้าวออกไปแนะนำสิ่งที่ดีมีประโยชน์ต่อเขา ให้เขารู้ว่า เกิดมาทำไม อะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต แล้วแนะนำให้เขาสร้างบารมีให้เป็น อย่างน้อยให้รู้จักวิธีการให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาอย่างถูกหลักวิชชา หากทำได้เช่นนี้ มวลมนุษยชาติจะมีจิตใจที่ชื่นบานผ่องใส เมื่อใจผ่องใสไม่เศร้าหมอง ย่อมได้รับความสุขทันทีในปัจจุบันนี้ สิ่งที่ดีมีสิริมงคลก็จะบังเกิดขึ้น ครั้นละโลกไปแล้ว ย่อมมีสุคติภูมิเป็นที่ไป ชีวิตจะปลอดภัยทั้งในโลกนี้และโลกหน้าอย่างแน่นอน

 
พระธรรมเทศนาโดย: หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)  
 
* ปัญญาสชาดก
 
 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/dhamma_for_people/อยู่ในธรรมเพราะกัลยาณมิตร.html
เมื่อ 12 พฤษภาคม 2567 10:03
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv