ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มหาชนก   ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี  ตอนที่ 16
 
 
    จากตอนที่แล้ว พระมหาชนกราชทรงยืนระลึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย แล้วเปล่งอุทานว่า  “บัณฑิตทั้งหลาย ผู้มีปกติหลีกเร้น ปราศจากเครื่องผูกคือกิเลส อยู่ที่ไหนหนอ   ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่ท่าน ใครหนอจะสามารถนำเราไปสู่สถานที่อยู่ของบัณฑิตเหล่านั้นได้”

     พระมหาชนกทรงเจริญธรรมอยู่บนปราสาท จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไป ๔ เดือน พระราชนิเวศน์ที่งดงามดุจดาวดึงส์พิภพกลับปรากฏดุจโลกันตนรก ทำให้พระองค์มีพระหฤทัยเบื่อหน่าย มุ่งตรงต่อการบรรพชา  ได้ทรงพรรณนาถึงความมั่งคั่งรุ่งเรืองของกรุงมิถิลา ซึ่งได้มาพร้อมกับภาระผูกพันที่มากมายว่า“เมื่อไรหนอ  เราจึงจะได้สละกรุงมิถิลาราชธานีแห่งนี้ ซึ่งนายช่างผู้ฉลาดได้จัดสร้างไว้อย่างดี มีประตูถนน มีกำแพงและหอคอยเป็นจำนวนมาก”

    พระมหาชนกราชทรงรำพึงรำพันอย่างนี้เป็นประจำ หลังจากที่ทรงเจริญสมณธรรมอยู่บนปราสาทแล้ว พระราชหฤทัยไม่ทรงยินดีในเบญจกามคุณอีกเลย ทรงคิดหาทางที่จะออกผนวชตลอดเวลา  แต่เนื่องจากพระองค์เป็นพระราชา การที่จะเสด็จออกผนวช  ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ  พระองค์จะต้องถูกคัดค้านจากพระอัครมเหสี จากเสนาบดีและเหล่าอำมาตย์ จากพสกนิกรและหมู่อาณาประชาราษฎร์อีกมากมาย  ดังนั้น พระองค์จึงทรงไตร่ตรองอยู่นานจนวันคืนล่วงไป

    แต่เมื่อยังทรงนึกหาทางออกไม่ได้ ก็ทรงรำพึงรำพันไปเรื่อยๆ  วันสุดท้ายพระองค์ทรงเปล่งอุทานว่า 
 
“เมื่อไรหนอ  เราจึงจะได้ปลงผม ห่มผ้ากาสายะ
ทรงผ้าสังฆาฏิที่ทำด้วยผ้าบังสุกุลที่เขาทิ้งไว้ตามถนนหนทาง อุ้มบาตร เที่ยวเดินบิณฑบาต 
 
เมื่อไรหนอ เมื่อฝนตก ๗ วัน เราจะเป็นผู้มีจีวรเปียกชุ่ม มีความเย็นกายเย็นใจเที่ยวบิณฑบาต
จะจาริกไปตามร่มไม้ ตามราวป่า ทั้งกลางวันและกลางคืน เที่ยวไปโดยไม่กังวลถึงกิจการงานใดๆ

เมื่อไรหนอ เราจึงจะได้ละความกลัวและความขลาดได้เด็ดขาด
ได้อยู่ผู้เดียวตามภูเขาและสถานที่อันสงบ จะทำจิตให้ตรง ดุจคนดีดพิณ ดีดสายทั้ง ๗ ให้เป็นที่รื่นรมย์ใจ

ความประสงค์นั้นจะสำเร็จได้เมื่อไรหนอ และเราจักตัดกามสังโยชน์ทั้งที่เป็นของมนุษย์และที่เป็นของทิพย์
เป็นผู้ไม่มีความอาลัยในโลกทั้งปวงได้เมื่อไรหนอ”
 
    พระองค์ทรงหวนรำลึกถึงต้นมะม่วง ที่มีผลดกแต่ถูกทำลายไป ทรงยกเอาต้นมะม่วงนั้นมาเป็นครู ความรู้สึกสลดใจยังฝังแน่นอยู่ในพระราชหฤทัยของพระองค์เสมอมา    แม้เวลาจะผ่านเลย ๔ เดือนไปแล้วก็ตาม  แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พระองค์ทรงสลดพระราชหฤทัย ไม่มีความอาลัยในราชสมบัติอีกแล้ว ดำริจะออกผนวชเพียงอย่างเดียว เพราะทรงเห็นว่าเพศของนักบวชเท่านั้น ประเสริฐกว่าเพศของพระราชา

    ในระหว่างนั้นพระองค์ก็ทรงพิจารณาว่า บัดนี้พระโอรสก็เติบใหญ่แล้ว สมควรที่จะครองราชสมบัติแทนเราได้แล้ว เราไม่มีห่วงกังวลอันใดอีก

    ครั้นดำริฉะนี้แล้วจึงรับสั่งราชบุรุษผู้รับใช้ใกล้ชิด เป็นความลับว่า “เจ้าจงไปหาผ้าย้อมฝาดและบาตรดินมาให้เรา และอย่าให้ใครรู้เด็ดขาด”

    ราชบุรุษก็ทำตามรับสั่งทุกประการ จากนั้นทรงโปรดให้เรียกเจ้าพนักงานภูษามาลาเข้ามาเฝ้า ให้ปลงพระเกศาและพระมัสสุ

    ทรงโปรดให้บ้านส่วยแก่นายภูษามาลาเป็นเครื่องตอบแทน  แล้วทรงอนุญาตให้เขากลับไป

    ทรงนุ่งผ้ากาสาวะผืนหนึ่ง ทรงห่มผืนหนึ่ง ทรงพาดผืนหนึ่งที่พระอังสา ทรงอุ้มประคองบาตรดินอย่างสง่างาม จากนั้น ก็เสด็จจงกรมในปราสาท เหมือนพระปัจเจกพุทธเจ้ากำลังออกเดินบิณฑบาต 

    ด้วยความที่ทรงมีปีติในบรรพชาเพศ จึงทรงเปล่งอุทานว่า  “โอ บรรพชาเป็นสุขจริงหนอ เป็นสุขอย่างยิ่ง เป็นสุขอันประเสริฐ...” 
 
     พระมหาสัตว์เจริญธรรมอยู่ในปราสาทนั้น ตลอดทั้งวัน ทรงปรารภจะเสด็จลงจากปราสาทในวันรุ่งขึ้น ทรงทำสมาธิเจริญภาวนาตลอดคืนยันรุ่ง แล้วพระองค์ก็ทรงตัดสินพระราชหฤทัยเด็ดขาดที่จะเสด็จออกจากพระราชวัง โดยไม่ต้องอำลาใคร

และในวันนั้นเอง พระนางสีวลีเทวีทรงรู้สึกหวั่นพระหฤทัยอยู่ลึกๆ  เพราะไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระราชามานานถึง ๔ เดือน  จึงตรัสเรียกสตรีคนสนิท ๗๐๐ คน เข้าพบเป็นการด่วน
 
    พระนางทรงรับสั่งว่า “พวกเราไม่ได้เห็นพระราชามานานแล้ว วันนี้พวกเราจะไปเข้าเฝ้าพระราชากัน แต่ให้ทุกคนตกแต่งด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง แสดงกิริยาอาการร่าเริง พูดด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ  และขับร้องด้วยลีลาที่งดงาม  เพื่อช่วยกันผูกใจของพระองค์ไว้”
 
    ส่วนพระเทวีก็ทรงประดับตกแต่งพระองค์อย่างสวยงามราวเทพธิดา  แล้วเสด็จก็ขึ้นปราสาทกับเหล่าสตรีทั้ง ๗๐๐ นาง 

    ในขณะที่เสด็จขึ้นบนปราสาทนั้น ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พระราชาเสด็จลงมาพอดี แต่พระเทวีก็ไม่ได้เฉลียวพระหฤทัย เห็นแต่กิริยาอาการที่สงบสำรวมเหมือนกับสมณะที่บวชมานาน ก็ทรงจำไม่ได้ 

    พระเทวีได้แต่ทรงนึกว่าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าที่มาสนทนากับพระราชาเป็นประจำ  จึงทรงหลีกทางและทรงนั่งลงพนมมือไหว้ด้วยความเคารพ จากนั้นก็เสด็จลุกเดินขึ้นไปบนปราสาท

    เมื่อเสด็จขึ้นไปถึงที่ประทับ ก็ไม่ทรงเห็นใครเลย   ทอดพระเนตรเห็นเพียงเส้นพระเกศาที่วางไว้อยู่บนพระแท่นสิริไสยาสน์ และห่อเครื่องราชาภรณ์ 
 
ทรงคาดการณ์ว่า นี้จะต้องเป็นเส้นพระเกศาของพระราชสวามี พระองค์ทรงปลงพระเกศาแล้วก็ทรงเปลี่ยนชุดเป็นบรรพชิต สละเครื่องราชาภรณ์วางไว้แล้วก็เสด็จลงจากพระราชวังไป

ก็ทรงทราบได้ว่า “บรรพชิตรูปนั้น คงไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้าเสียแล้ว จะต้องเป็นพระราชสวามีสุดที่รักของเราอย่างแน่นอน”

    เมื่อดำริดังนี้แล้ว จึงทรงร้องสั่งพวกกำนัลในทั้งหลายว่า “บรรพชิตรูปนั้น ต้องเป็นพระราชาแน่พวกเราต้องรีบไปทูลให้พระองค์เสด็จกลับ เร็วเข้าเถิด”
 
รับสั่งแล้วก็รีบเสด็จลงจากปราสาททันที  ส่วนว่าพระนางจะมีโอกาสได้พบพระราชสวามีอีกหรือไม่  โปรดติดตามตอนต่อไป....

โดย : หลวงพ่อธัมมชโย

 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahajanaka16.html
เมื่อ 17 พฤษภาคม 2567 23:44
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv