ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มหาชนก   ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี  ตอนที่ 17
 
  
    จากตอนที่แล้ว พระมหาชนกโพธิสัตว์ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์  อุ้มประคองบาตรดินเสด็จจงกรมอยู่ในปราสาท เหมือนพระปัจเจกพุทธเจ้ากำลังออกเดินบิณฑบาต   ทรงเจริญธรรมอยู่ในปราสาทนั้นด้วยความปลื้มปีติ ทรงทำสมาธิเจริญภาวนาตลอดคืนยันรุ่ง แล้วในที่สุด ก็ทรงตัดสินพระหฤทัยเด็ดขาดที่จะเสด็จออกผนวช โดยไม่ต้องอำลาใคร

    ในเช้าวันนั้น พระนางสีวลีเทวีทรงหวั่นพระหฤทัยถึงพระราชสวามีว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพระองค์ จึงได้ประดับตกแต่งพระวรกายอย่างสวยงาม  แล้วเสด็จก็ขึ้นปราสาทกับเหล่าสตรีทั้ง ๗๐๐ นาง 
 
    ในขณะที่เสด็จขึ้นบนปราสาทนั้น ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พระโพธิสัตว์เสด็จลงมาพอดี แต่พระเทวีก็ไม่ได้เฉลียวพระหฤทัย เห็นแต่กิริยาอาการที่สงบสำรวมเหมือนกับสมณะที่บวชมานาน จึงจำไม่ได้

    เมื่อเสด็จขึ้นไปถึงที่ประทับ ก็ไม่ทรงเห็นใครเลย  ทอดพระเนตรเห็นเพียงเส้นพระเกศาที่วางไว้อยู่บนพระแท่นสิริไสยาสน์ เห็นห่อเครื่องราชาภรณ์  จึงเริ่มสงสัยว่า “บรรพชิตรูปนั้น คงไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้า เห็นจะเป็นพระราชสวามีสุดที่รักเป็นแน่”

     เมื่อทรงดำริดังนี้แล้ว ก็รีบเสด็จวิ่งลงจากปราสาทพร้อมกับพวกสนมนางในทันที  ไปจนทันพระโพธิสัตว์ที่หน้าพระลานหลวง  ครั้นไปถึง ก็ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ต่อหน้าพระโพธิสัตว์อย่างน่าสงสาร สยายเกศาลงเบื้องพระปฤษฎางค์ กับด้วยสตรีทุกนาง

    พระเทวีได้ทูลอ้อนวอนว่า “พระองค์ทรงละทิ้งพวกหม่อมฉัน เสด็จหนีไปแต่ผู้เดียว ทรงทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร  พวกหม่อมฉันมีความผิดอะไรหรือ พระองค์มุ่งเสด็จไปประดุจว่าปราศจากราชสมบัติเสด็จออกผนวช”

    พระโพธิสัตว์แม้จะได้ฟังถ้อยคำทัดทานอย่างไร ก็ทรงทำเหมือนไม่ได้ยินถ้อยคำของพระนาง ยังคงเสด็จดำเนินไปเรื่อยๆ โดยมีป่าหิมพานต์เป็นเป้าหมาย
 
    เช้าวันนั้น เหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ อำมาตย์ เสนาบดี ปุโรหิต ทั่วพระนครก็เกิดโกลาหลกันใหญ่  บางคนยังนุ่งห่มผ้าไม่เรียบร้อย พอได้ยินข่าวว่า พระราชาทรงออกผนวชแล้ว ก็รีบวิ่งออกมาที่หน้าพระลานหลวง
 
    เมื่อมาถึงแล้ว ต่างก็รู้สึกสับสนกันไปหมด ได้เกิดการวิพากวิจารกันไปต่างๆ นานาว่า  ต่อไปนี้ ใครจะปกครองแผ่นดิน พระราชาผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมอย่างนี้จะมีแต่ที่ไหน แทนที่จะอนุโมทนาสาธุการ กลับร้องห่มร้องไห้ไปตามๆ กัน

    พระสนมนารีทั้ง ๗๐๐ นาง ประคองแขนทั้งสองข้างกันแสง ทรงคร่ำครวญว่า  “ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมพสกนิกร  พระองค์จะละทิ้งพวกข้าพระองค์ไปทำไม  ขอได้โปรดอยู่เป็นร่มโพธิสมภารอันประเสริฐให้แก่เหล่าข้าพระบาทด้วยเถิด”

    ฝ่ายพระนางสีวลีเทวีทรงคร่ำครวญด้วยความโศกเศร้ามากที่สุด ได้พยายามกราบทูลรั้งพระราชาเอาไว้ แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ พระราชายังคงเสด็จดำเนินไปด้วยอาการปกติเหมือนพญาช้างกำลังมุ่งสู่สมรภูมิ ไม่ได้หวั่นไหวหรือสนใจในคำอ้อนอวนเลย

    พระเทวีจึงคิดอุบาย ด้วยการให้มหาอำมาตย์มาเฝ้า แล้วรับสั่งให้รีบไปจุดไฟเผาเรือนเก่า ศาลาเก่า ด้วยการให้พาพรรคพวกไปรวบรวมหญ้าและใบไม้นำมาสุมให้เป็นควันมากๆ  ทำเหมือนว่าไฟกำลังโหมหนักขึ้นเรื่อยๆ  มหาอำมาตย์ก็รีบทำตามสั่งทันที

    เมื่อพระนางสีวลีเทวีรับสั่งเสร็จแล้ว ก็รีบตามเสด็จพระราชาไป  หมอบแทบพระยุคลบาท ทำเป็นกราบทูลด้วยความตกพระทัยว่า

     “เสด็จพี่ เรือนคลังจำนวนมากกำลังถูกไฟไหม้ คลังเงิน คลังทอง คลังแก้ว คลังพัสดุสิ่งของ คลังทองแดง คลังเหล็กเป็นอันมาก มีเปลวไฟเสมอเป็นอันเดียวกันอย่างน่ากลัว  แม้อยู่คนละส่วนก็ลุกเป็นไฟทั้งหมด
 

    ขอพระองค์โปรดเสด็จกลับไปดับไฟเสียก่อน พระราชทรัพย์ของพระองค์อย่าได้ฉิบหายไปเพราะอัคคีภัยเลย ดับไฟเสร็จแล้วจึงค่อยเสด็จออกผนวชภายหลังก็ได้ จะได้ไม่ถูกครหาว่า เสด็จออกไปโดยไม่เหลียวแลพระนครที่กำลังถูกไฟไหม้”
 
 

        ฝ่ายพระมหาชนกผู้มีพระหฤทัยตั้งมั่นต่อการบรรพชา ได้ตรัสว่า
 
“ดูก่อนน้องหญิง เธอตรัสอะไรอย่างนั้น  เราไม่มีความห่วงใยด้วยของเหล่านั้นที่ถูกเพลิงเผาผลาญเลย
ใครเป็นเจ้าของ คนนั้นก็มีแต่ความเร่าร้อนอยู่เป็นนิตย์ แต่เราหามีความกังวลไม่ 
 
เมื่อกรุงมิถิลาถูกเพลิงเผาผลาญอยู่ ของอะไรๆ ของเรามิได้ถูกเผาผลาญเลย 
เพราะเราได้สละวางสมบัติเหล่านั้นทั้งหมดแล้ว”
 

    ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว พระราชาก็เสด็จออกทางประตูทิศอุดร  นางสนมกำนัลชั้นในทั้งเจ็ดร้อยก็ยังคงออกตามเสด็จไป ทูลอ้อนวอนให้เสด็จกลับไม่ขาดปาก มีน้ำตานองหน้าร่ำให้ดุจเดียวกัน

    พระนางสีวลีเทวีทรงคิดอุบายขึ้นอีกอย่างหนึ่ง ทรงรับสั่งให้พวกอำมาตย์ ทำเป็นเหมือนมีโจรจำนวนมากมาปล้นฆ่าชิงทรัพย์ของชาวบ้าน และปล้นแว่นแคว้นบริเวณรอบๆ
 
    พวกอำมาตย์ก็รีบไปจัดการตามกระแสรับสั่งโดยเร็ว  ก็มีคนจำนวนมากถืออาวุธครบมือ มีผ้าโพกศีรษะ ถืออาวุธวิ่งไปวิ่งมาตามสถานที่ต่างๆ สวมบทบาทเหมือนกับกำลังบุกปล้นชาวบ้าน แต่ก็ไม่ได้ฆ่าหรือทำร้ายใคร
        
    ฝ่ายชาวบ้านไม่รู้เรื่องอะไร ก็ตกใจกลัวจริงๆ  จึงร้องตะโกนเรียกขอความช่วยเหลือจากพระราชาว่า “ข้าแต่มหาราช พวกโจรกำลังปล้นแว่นแคว้น ขอพระองค์จงเป็นที่พึ่งแก่พวกข้าพระองค์ด้วยเถิด”

    ฝ่ายพระนางสีวลีก็กราบทูลสำทับลงไปว่า “เกิดโจรป่าขึ้นแล้ว กำลังปล้นแว่นแคว้นของพระองค์   ขอพระองค์จงเสด็จกลับเถิด แว่นแคว้นนี้อย่าพินาศเสียหายเลย ขอพระองค์ได้โปรดเสด็จกลับไปปราบโจรร้ายด้วยเถิด”

        แต่พระโพธิสัตว์เป็นผู้มีพระปัญญาเฉียบแหลม ทรงดำริว่า
 
“เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ จะไม่เกิดโจรปล้นทำลายแว่นแคว้นอย่างเด็ดขาด
เพราะเราปกครองแผ่นดินด้วยทศพิธราชธรรม ไม่เคยมีโจรร้ายเกิดขึ้นในบ้านเมือง
 
พสกนิกรทุกหมู่เหล่าต่างเกรงบารมีเรา
แต่เหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้น จะต้องเป็นการกระทำตามคำสั่งของพระสีวลีเทวีอย่างแน่นอน”
 
 

        จึงทรงมีรับสั่งกับพระเทวีว่า 
 
“เราเป็นผู้ไม่มีความกังวลแล้ว มีชีวิตอยู่เป็นสุขสบายดี
เมื่อแว่นแคว้นถูกโจรปล้น เรามิได้มีของอะไรจะให้ปล้น 

เราเป็นผู้ไม่มีความกังวล มีชีวิตอยู่เป็นสุขดีหนอ
เราจักมีปีติเป็นภักษาเหมือนเทพชั้นอาภัสสราพรหม”

    ว่าแล้วก็รับสั่งให้พระเทวีเลิกทำเช่นนั้นเสีย อย่าทำให้ชาวแว่นแคว้นต้องเสียขวัญเลย และอย่าได้ติดตามพระองค์ต่อไปอีกเลย...  ส่วนว่าพระราชเทวีจะทำตามรับสั่งนั้น หรือจะทรงคิดหาอุบายอะไรอื่นอีก พระนางจะสามารถเกลี้ยกล่อมพระราชสวามี ให้กลับไปครองราชย์ดังเดิมได้หรือไม่  โปรดติดตามตอนต่อไป
 
โดย : หลวงพ่อธัมมชโย
 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahajanaka17.html
เมื่อ 17 พฤษภาคม 2567 07:40
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv