ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มหาชนก   ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี  ตอนที่ 18
 

        จากตอนที่แล้ว  พระเทวีได้ทูลอ้อนวอนพระโพธิสัตว์ให้เสด็จกลับ แม้จะกราบทูลอย่างไรก็ไม่ได้ผล จึงทรงคิดอุบายอันแยบยล รีบรับสั่งให้มหาอำมาตย์ไปจุดไฟเผาเรือนเก่า ศาลาเก่า ด้วยการให้พาพรรคพวกไปรวบรวมหญ้าและใบไม้นำมาสุมให้เป็นควันมากๆ
   
        เมื่อไฟไหม้จนเกิดควันพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้ว พระนางสีวลีเทวีก็รีบตามเสด็จพระโพธิสัตว์ไป  กราบทูลด้วยความตกพระทัยว่า “เสด็จพี่ เรือนคลังจำนวนมากกำลังถูกไฟไหม้ ขอพระองค์โปรดเสด็จกลับไปดับไฟเสียก่อนเถิด ดับไฟเสร็จแล้วจึงค่อยเสด็จออกผนวชภายหลังก็ได้”

        ฝ่ายพระมหาชนกผู้มีพระหฤทัยตั้งมั่นต่อการบรรพชา ได้ตรัสว่า
 
“เราไม่มีความกังวลด้วยของเหล่านั้นที่ถูกเพลิงเผาผลาญ 
แม้กรุงมิถิลาจะถูกเผา สมบัติอันใดของเรามิได้ถูกไฟไหม้  เพราะเราได้สละวางสมบัติเหล่านั้นแล้ว”
 
ครั้นตรัสอย่างนี้แล้วก็เสด็จต่อไป

        พระนางสีวลีเทวีทรงคิดหาวิธีใหม่ โดยรับสั่งให้พวกอำมาตย์ทำทีเป็นโจรจำนวนมากมาปล้นฆ่าชิงทรัพย์ของชาวบ้านบริเวณรอบๆ แล้วพระนางสีวลีก็เข้ากราบทูลสำทับลงไปว่า “เกิดโจรร้ายขึ้นแล้ว กำลังปล้นแว่นแคว้นของพระองค์   ขอพระองค์จงเสด็จกลับไปปราบโจรร้ายก่อนเถิด”

        แต่พระโพธิสัตว์เป็นผู้มีพระปัญญา ทรงดำริว่า “เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ จะไม่เกิดโจรปล้นทำลายแว่นแคว้นเด็ดขาด  เหตุการณ์นี้เห็นทีจะเป็นการกระทำของพระสีวลีเทวี”  จึงมีรับสั่งกับพระเทวีว่า  ให้เลิกทำอย่างนี้เสีย และอย่าได้ติดตามพระองค์ต่อไปอีกเลย

        พระมหาชนกได้เสด็จออกผนวชด้วยพระราชหฤทัยที่มั่นคง  แต่ก็ถูกพระนางสีวลีเทวีและเหล่านางสนมใช้อุบายอันชาญฉลาดเข้าขัดขวางพระองค์ทุกวิถีทาง เพื่อรั้งให้ทรงอยู่เสวยเบญจกามคุณในราชสมบัติต่อไป

        ดังห้วงมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาล แม้มนุษย์จะสามารถล่องเรือไปยังอีกฟากฝั่งหนึ่งได้  แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่สามารถล่องเรือไปถึงฝั่งแห่งความหลุดพ้นจากความเป็นทาสของกิเลสได้ ยังคงวนเวียนอยู่ในโอฆะคือห้วงนํ้าขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นด้วยมังสจักษุ
 

        ผู้มีปัญญาจักษุเท่านั้น จึงจะเห็นและรู้ว่า มนุษย์ทั้งหลายยังถูกผูกมัดเอาไว้ด้วยตัณหา ให้วนเวียนอยู่ในห้วงน้ำใหญ่ทั้ง ๔ คือ  กามโอฆะ ห้วงน้ำคือกาม  ภวะโอฆะ ห้วงน้ำคือภพ ทิฏฐิโอฆะ ห้วงน้ำคือทิฏฐิ และอวิชชาโอฆะ ห้วงน้ำคืออวิชชา

        โอฆะทั้ง ๔ นี้ เป็นสิ่งที่มนุษย์ว่ายข้ามได้ยากที่สุด  ผู้ที่ข้ามไปได้ก็มีเพียงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายเท่านั้น 

        ส่วนมนุษย์ เทวดา พรหมหรืออรูปพรหม ต่างก็ยังตกอยู่ในห้วงโอฆะทั้ง ๔ เหล่านี้เหมือนกันหมด  สรรพสัตว์ทั้งหลายถูกบ่วงแห่งมารคือกิเลสร้อยรัดเอาไว้ ทำให้ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพทั้งสามเรื่อยไป 

        ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
 
“ชนเหล่าใด ประพฤติตามธรรมอันพระสุคตเจ้าตรัสแล้วโดยชอบ 
ชนเหล่านั้นย่อมข้ามบ่วงมารที่ข้ามได้โดยยาก จักถึงฝั่งอันเกษม 
บัณฑิตออกจากอาลัยแล้ว อาศัยความไม่มีอาลัย
พึงละธรรมดำเสียแล้วเจริญธรรมอันขาวสะอาดขาว”
 
        บัณฑิตทั้งหลาย ท่านมองเห็นโลกตามความเป็นจริง จึงพยายามฝึกฝนอบรมตนเอง  เพื่อยกตนให้หลุดพ้นจากกรอบของอวิชชา เพื่อให้พ้นจากโอฆะทั้ง ๔ เหล่านี้

        ดังเช่นพระมหาชนกผู้เป็นพระบรมโพธิสัตว์ แม้ว่าท่านจะสามารถว่ายข้ามมหาสมุทร หลุดพ้นจากวิกฤติในชีวิตมาได้  แต่ท่านก็รู้ว่าตัวเองยังตกอยู่ในห้วงแห่งโอฆะเหล่านี้ จึงตัดสินพระราชหฤทัยที่จะออกผนวช เพื่อแสวงหาหนทางหลุดพ้นจากสังสารวัฏอย่างแน่วแน่   ซึ่งบัดนี้แม้พระองค์จะได้ทรงเพศบรรพชิตแล้ว บ่ายพระพักตร์เสด็จเข้าป่าด้วยพระหฤทัยที่ตั้งมั่น แต่พระนางสีวลีเทวีพร้อมด้วยข้าราชบริพาร กับทั้งมหาชนก็ยังคงตามเสด็จทุกฝีก้าว 

        เมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าเสด็จออกจากพระนครไปได้ระยะหนึ่ง ก็มีพระดำริว่า เราจะให้พระเทวีและมหาชนกลับในบัดนี้ จึงทรงหยุดพระดำเนิน แล้วหันมาตรัสถามผู้ที่ติดตามพระองค์มาว่า “ราชสมบัติในมิถิลานครเป็นของใคร” 
 

        เหล่าอำมาตย์ก็กราบทูลว่า “เป็นของพระองค์ พระเจ้าข้า”   “ถ้าเช่นนั้น  พวกท่านจงลงราชทัณฑ์แก่ผู้ที่ข้ามรอยที่เราจะขีดนี้” 

        ครั้นมีราชบัญชาอย่างนั้นแล้ว ก็ทรงใช้ไม้ขีดเป็นรอยเส้นขนาดใหญ่ ขวางทางเอาไว้ แล้วก็เสด็จดำเนินต่อไป  มหาชนต่างก็ยังเคารพในราชบัญชา จึงไม่กล้าข้ามหรือลบรอยขีด

        แม้พระนางสีวลีเทวีก็ไม่กล้าที่จะข้ามรอยขีดนั้นไป  ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ทรงหันพระปฤษฎางค์เสด็จไปอย่างไม่อาวรณ์ ก็ไม่สามารถจะกลั้นโศกาดูรไว้ได้ จึงกันแสงจนล้มขวางทางกลิ้งเกลือกไปมาเหมือนคนไม่มีสติ

        พระนางทรงกลิ้งเกลือกทำรอยขีดนั้นให้เลอะเลือน เมื่อล่วงเลยรอยขีดนั้นแล้ว จึงทรงลุกขึ้นเสด็จตามพระราชสวามีไป

        มหาชนเมื่อเห็นว่า รอยขีดนั้นหายไปแล้ว จึงรีบพากันตามเสด็จพระเทวีไปอีก
        ส่วนพระโพธิสัตว์ทรงบ่ายพระพักตร์มุ่งสู่หิมวันตประเทศ เสด็จไปทางทิศอุดร ฝ่ายพระนางสีวลีเทวีก็พาข้าราชบริพารตามเสด็จไปด้วย

        แม้พระโพธิสัตว์จะทรงดำเนินด้วยพระบาทเปล่าไกลถึง ๖๐ โยชน์ ก็ยังไม่ทรงสามารถให้ข้าราชบริพารกลับได้
 

        ในสมัยนั้น มีดาบสรูปหนึ่งชื่อนารทะ เป็นผู้ทรงอภิญญาสมาบัติ อาศัยอยู่ที่สุวรรณคูหาในหิมวันตประเทศ ท่านได้ใช้เวลาให้ล่วงไปด้วยสุขอันเกิดจากฌานสมาบัติ  ครั้น ๗ วันผ่านไปก็ออกจากฌาน เปล่งอุทานว่า “โอ สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ” 

        จากนั้นก็ตรวจดูสัตว์โลกด้วยทิพยจักษุว่า ในพื้นชมพูทวีป มีใครบ้างที่กำลังแสวงหาสุขเหมือนอย่างท่าน ก็เห็นพระมหาชนกผู้เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร ได้เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ แต่ไม่สามารถให้มหาชนและเหล่าข้าราชบริพาร ซึ่งมีพระนางสีวลีเทวีเป็นประมุขกลับพระนครได้ 

        เกิดความกรุณาว่า หากเราไม่เข้าไปช่วยพระองค์ ข้าราชบริพารเหล่านั้นอาจกระทำอันตรายในการประพฤติพรหมจรรย์ของพระองค์ได้  จึงดำริว่า “เราจักถวายโอวาทแด่พระองค์ เพื่อให้ทรงสมาทานมั่นในการบำเพ็ญสมณธรรม”
 

        คิดดังนี้แล้วก็เหาะไปด้วยกำลังฤทธิ์ ไปสถิตอยู่ในอากาศตรงเบื้องพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์ แล้วกล่าวว่า  “ประชุมชนนี้ส่งเสียงดังเหลือเกิน  คนเหล่านี้เป็นพวกไหนหนอ เดินทางมากับท่านผู้เป็นสมณะ  ทำเหมือนเล่นหยอกล้อกันอยู่ในบ้าน”

        พระโพธิสัตว์ได้ทอดพระเนตรพระดาบสผู้มีตบะกล้าเหาะมาสถิตอยู่เบื้องหน้า แล้วเอ่ยถามเหมือนกับจะให้พระองค์ทรงอับอายเช่นนั้น เมื่อได้สดับดังนี้แล้วพระองค์จะทรงตอบอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
 
โดย : หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahajanaka18.html
เมื่อ 17 พฤษภาคม 2567 08:22
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv