ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มโหสถบัณฑิต   ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี  ตอนที่ 10


        จากตอนที่แล้ว มโหสถบัณฑิตได้ตัดสินคดีโจรลักโค ที่กล่าวตู่เอาโคของคนอื่นมาเป็นของตนโดยทำความจริงให้ปรากฏ จนโจรต้องยอมรับความเป็นจริงท่ามกลางมหาชนว่า ตนเป็นโจรจริง   ฝูงชนที่เฝ้ามุงดูเหตุการณ์อยู่ เมื่อได้ยินคำวินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ต่างก็กลุ้มรุมกันเข้าไปทุบตีโจรด้วยความเจ็บแค้นแทนเจ้าของโค มโหสถเห็นเช่นนั้น  จึงเข้าไปขอร้องให้ชาวประชาหยุดการลงประชาทัณฑ์  แล้วก็กล่าวสอนโจรด้วยจิตเมตตาว่า  เจ้าอย่าได้ทำอย่างนี้อีก    

        พระเจ้าวิเทหราชเมื่อได้สดับคำรายงานที่มโหสถตัดสินความทั้งหมด ก็ทรงพระสรวลด้วยความยินดีในการวินิจฉัยของมโหสถบัณฑิต จึงรับสั่งถามอาจารย์เสนกะว่า  สมควรจะรับมโหสถบัณฑิตเข้ามารับราชการได้หรือยัง

        ฝ่ายท่านเสนกะเห็นพระราชาทรงชื่นชมมโหสถมาก ก็ยิ่งขุ่นเคืองใจมาก ด้วยคิดว่า ยังมิทันรับตัวมโหสถเข้ามา พระองค์ยังทรงชื่นชมโสมนัสถึงเพียงนี้ หากมโหสถได้เข้ามาเป็นราชบัณฑิตแล้ว เห็นทีว่าตนคงจะสิ้นความสำคัญเป็นแน่ จึงกราบทูลพระราชาให้ทรงยับยั้งเรื่องนั้นไว้ก่อน 

        พระเจ้าวิเทหราชจึงตรัสถามว่า มโหสถกุมารสามารถตัดสินข้อพิพาทที่ยากถึงเพียงนี้ ทำไมจึงเห็นว่ายังไม่สมควรจะรับเข้ามาอีก อาจารย์เสนกะก็กล่าวอ้างว่า เป็นคดีตู่กรรโชกทรัพย์ธรรมดาที่ไม่มีเงื่อนงำอะไรนัก อาศัยปัญญาเพียงเล็กน้อยก็อาจวินิจฉัยได้ พระราชาจึงจำต้องรับสั่งให้อำมาตย์ผู้นั้นเฝ้าสังเกตการณ์ต่อไป

        ต่อมา ในหมู่บ้านปาจีนยวมัชฌคามนั่นเอง มีสตรีนางหนึ่ง เพิ่งจะคลอดบุตรคนแรกได้เพียงไม่กี่เดือน วันหนึ่งนางทราบข่าวว่ามีการสร้างศาลาหลังใหญ่ขึ้นกลางหมู่บ้าน  ก็ปรารถนาจะไปเที่ยวชมให้เพลิดเพลินใจ นางจึงอุ้มลูกน้อยไว้แนบอก มุ่งหน้าไปยังศาลาหลังนั้น  ไม่นานนัก ก็เดินทางมาถึงศาลาที่มโหสถดำริสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์แก่มหาชน นางจึงมองหาร่มไม้เพื่อนั่งพักให้หายเหนื่อย เมื่อมองเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่ริมขอบสระ มีลำต้นใหญ่ ใบดกหนาครึ้มเต็มต้น จึงตรงรี่เข้าไปหาที่นั่งบริเวณใต้โคนไม้นั้น

        นางอุ้มลูกน้อยพลางเย้าหยอกเล่นด้วยความเอ็นดู ครั้นแลเห็นสระโบกขรณีเบื้องหน้าที่เต็มด้วยน้ำใสสะอาด จึงตรงดิ่งเข้าไปใกล้ขอบสระ    มือข้างหนึ่งประคองลูกน้อยอย่างระมัดระวัง อีกมือหนึ่งก็ค่อยๆ วักน้ำในสระ ขึ้นลูบตัวทารกน้อยพอให้เย็นสดชื่น  จากนั้นนางจึงพับผ้าทำเป็นเบาะปูให้ลูกได้นั่งใต้ร่มไม้ ส่วนตนก็ผละไปล้างหน้าด้วยความสบายอกสบายใจ

        ทันใดนั้นเอง ยักษิณีตนหนึ่งซึ่งสิงสถิตอยู่ในราวป่า ถูกความหิวบีบคั้นมานาน เฝ้ารอคอยโอกาสที่จะจับมนุษย์ผู้อ่อนแอกินเป็นอาหาร ครั้นเห็นหญิงนั้นอุ้มลูกน้อยผ่านมาทางที่อยู่ของตน ก็ปรารถนาจะกินทารกนั้นเป็นอาหาร    จึงติดตามมาจนถึงสระโบกขรณี จ้องหาโอกาสที่จะชิงทารกไปจากอ้อมอกของนาง แต่รอคอยนานเท่าใด ก็ยังไม่ได้โอกาส เพราะแม้หญิงผู้เป็นมารดาจะเดินไปล้างหน้า แต่สายตาก็ยังชำเลืองแลบุตรน้อยอยู่ตลอดเวลาด้วยความเป็นห่วง

        นางยักษิณีจึงตัดสินใจแปลงกายเป็นหญิงชาวบ้าน ทำทีเดินผ่านเข้ามาใกล้ แล้วทักทายขึ้นว่า “โอ...หนูน้อยนี่ช่างน่ารักเสียจริง”

        พลางถามหญิงผู้เป็นมารดาว่า “นี่เป็นลูกเธอหรือจ๊ะ” หญิงนั้นก็ตอบว่า “ลูกของฉันเองจ้ะ”

        “ช่างเป็นบุญของเธอนะ ที่มีบุตรน่ารักอย่างนี้”  นางยักษิณีกล่าวป้อยอ แล้วสาธยายความว่า  “ฉันเองก็เคยมีกับเขาเหมือนกันแหละจ้ะ แต่คงจะไร้วาสนา เพราะไม่ทันไรก็จำต้องพลัดพรากจากกัน ทั้งๆที่ลูกน้อยกำลังน่ารักน่าชมทีเดียว”

        “อย่าเสียใจเลยจ้ะ ถึงอย่างไร เธอก็ยังไม่เกินวัยที่จะมีลูกได้อีก มิใช่หรือจ๊ะ” หญิงนั้นกล่าวปลอบใจ

        “ก็ถูกของเธอแหละจ้ะ” นางยักษ์ตอบ “แต่ทุกวันนี้ ฉันก็จำต้องอยู่อย่างว้าเหว่ใจ” นางยักษิณีแสร้งตีสีหน้าเศร้าคล้ายเก็บกดความทุกข์ไว้ในใจ   นิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวต่อไปว่า “แหม...หนูน้อยนี่ ช่างน่ารักเหลือเกิน ผิวพรรณผุดผ่องเป็นยองใย เนื้อตัวก็อวบอูมแน่น น่าจับน่าอุ้มเสียจริง ขอฉันอุ้มหน่อยเถิดนะ ฉันจะให้แกดื่มนม ท่าจะหิวแล้วกระมัง”

        “เชิญเถิดจ้ะ” มารดาเด็กกล่าวอนุญาตด้วยความซื่อ หารู้ไม่ว่าหญิงที่นางกำลังสนทนาอยู่ด้วยมิใช่หญิงธรรมดา แท้ที่จริงเป็นยักษิณีจำแลงมา
 
        พอมารดาเด็กออกปากอนุญาตเท่านั้น นางยักษิณีก็รีบคว้าทารกด้วยมือทั้งสอง ชูทารกขึ้นจนสุดแขน เด็กน้อยเมื่อถูกยักษิณีอุ้มก็ร้องไห้งอแง เพราะร่างน้อยบอบบางเกินกว่าที่จะทานทนต่อพละกำลังของนางยักษิณีได้

        หญิงผู้เป็นมารดายังมิทันเอะใจ เพราะคิดว่าเป็นธรรมดาของลูกที่ไม่คุ้นกับมือของหญิงอื่น นางจึงแค่หันมามองดูหน่อยหนึ่ง แล้วก็ลงไปในสระน้ำล้างหน้าล้างตาต่อไป

        ยักษิณีหยอกเย้าทารกเล่นครู่หนึ่ง เห็นมารดาเด็กยังก้มหน้าก้มตาล้างหน้าอยู่ ก็รีบฉวยทารกนั้นวิ่งหนีไปโดยเร็ว

        มารดาเด็กเห็นลูกน้อยถูกชิงไปต่อหน้าต่อตา ก็ตกใจสุดขีด ไม่รอช้ารีบขึ้นจากสระแล้ววิ่งกวดตามไปอย่างไม่คิดชีวิต
 
        ในที่สุดก็คว้าผ้านุ่งของนางยักษิณีไว้ได้ พลางตวาดถามอย่างไม่เกรงใจว่า “เอ็งจะพาลูกข้าไปไหน ขอข้าอุ้ม ข้าก็ให้อุ้มเพราะเห็นใจ แล้วนี่ยังจะมาชิงลูกข้าไปอีก”
 
        “แน่ะ หญิงถ่อย ดูซิหน้าไม่อาย อยู่ๆ ก็มาตู่เอาลูกเขาเสียอย่างนั้นแหละ ลูกของเอ็งที่ไหนกัน ลูกของข้าต่างหาก” นางยักษิณีตอบสวนทันควัน

        “หน็อยแน่ะ นางขี้ตู่ จู่ๆก็มาว่าเป็นลูกของตัว แล้วยังมีหน้ามาว่าเจ้าของเขาอีก เอาลูกของข้ามานะ” มารดาเด็กเถียงไม่ลดละ

        “ข้าไม่ให้! ลูกของข้าต่างหาก ลูกของแกเสียเมื่อไหร่ล่ะ” นางยักษ์จำแลงยืนกราน
 
        ทั้งสองนางต่างทะเลาะโต้เถียงกัน ตะโกนด่าทอกันจนสุดเสียงตามประสาหญิง เดินติดตามยื้อยุดกันไปจนถึงประตูศาลา มโหสถบัณฑิตได้ยินเสียงหญิงทั้งสองทะเลาะกันมาแต่ไกล ก็ออกมาที่หน้าศาลาให้คนเรียกเข้ามา ถามว่า “เธอทั้งสองทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร”แต่หญิงทั้งสองจะกล่าวอย่างไร มโหสถบัณฑิตจะตัดสินความอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป

พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) 

บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita010.html
เมื่อ 3 พฤษภาคม 2567 05:59
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv