ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มโหสถบัณฑิต   ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี  ตอนที่ 17


        จากตอนที่แล้ว  มโหสถบัณฑิตเมื่อเห็นชายสองคนเข้ามาในโรงวินิจฉัยคดี ก็รู้ได้ทันทีว่า ชายเข็ญใจมิใช่คนธรรมดา แต่เป็นท้าวสักกเทวราชนั้น แต่ก็ยังมีข้อแคลงใจว่า “ในเมื่อโลกมนุษย์นี้ หาใช่สถานที่รื่นรมย์ของเหล่าทวยเทพแต่อย่างใด ก็แล้วพระองค์เล่า จะเสด็จมาในที่นี้ทำไมกัน”

        มโหสถใคร่ครวญถึงเหตุแล้วก็ปักใจมั่นว่า ท้าวเธอคงมีพระประสงค์จะทรงทดสอบปัญญาของตนเป็นแน่แท้ แต่ก็ยังมิได้ประกาศความจริงให้มหาชนทราบในทันที เพราะคิดว่า  “การที่เราจะชี้ตัวว่าใครเป็นเจ้าของรถนั้นไม่ยาก แต่ควรที่จะทำให้มหาชนรู้ความจริงด้วยอุบายสักอย่างหนึ่ง”

        คิดดังนี้แล้ว  มโหสถจึงได้ชี้แจงกติกาแก่ทั้งสองฝ่ายว่า  “เราจะใช้ให้คนของเราขับรถม้าคันนี้ไป ส่วนท่านทั้งสองก็จงจับท้ายรถไว้ให้มั่น  หากว่าผู้ใดสามารถวิ่งตามรถไปได้  โดยที่ไม่ปล่อยมือเลย  แสดงว่าผู้นั้นเป็นเจ้าของรถจริง”

        กล่าวเช่นนี้แล้วก็ปล่อยรถ โดยให้ชายทั้งสองจับท้ายรถวิ่งตามไป   ชายหนุ่มผู้เจ้าของรถก็พยายามวิ่งตามรถไปจนสุดกำลังความสามารถ แต่ก็สู้แรงม้าไม่ไหว เมื่อเหนื่อยมากเข้าจึงจำใจต้องปล่อยรถนั้นไป ส่วนชายเข็ญใจกลับวิ่งจับท้ายรถนั้นได้ตลอดทาง โดยที่ไม่ได้ปล่อยมือเลย 

        มโหสถเห็นดังนั้น จึงสั่งให้นำรถกลับมายังที่เดิม  แล้วกล่าวแก่มหาชนว่า “ท่านทั้งหลายจงดูชายคนที่วิ่งตามรถไปทั้งขาไปและขากลับ  อาการเหน็ดเหนื่อยสักนิดก็ไม่ปรากฏ  เหงื่อสักหยดก็ไม่มี  ลมหายใจเข้าหายใจออกก็ไม่มี  ท่านผู้นี้คือท้าวสักกเทวราช จอมเทพแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์”
 
        เมื่อได้ยินว่า  ชายเข็ญใจที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเป็นถึงท้าวสักกเทวราช  มหาชนต่างพากันส่งเสียงดังสนั่นยิ่งกว่าเดิม “อะไรนะ ใช่ท้าวสักกเทวราช จริงๆหรือ” เสียงมหาชนต่างร้องขึ้นด้วยความตกใจ เหมือนไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเป็นไปได้ เพื่อจะคลายความกังขาของมหาชน  มโหสถจึงหันไปถามชายเข็ญใจด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า“ท่านผู้เจริญ เราใคร่ขอถามท่านว่า ท่านคือท้าวสักกเทวราช ใช่หรือไม่”

        แม้จะถูกมโหสถถามตรงๆเช่นนั้น  แต่ชายเข็ญใจก็มิได้มีอาการประหม่า ตกใจกลัว หรือมีท่าทีปิดบังซ่อนเร้นสิ่งใด แต่กลับยึดอกขึ้น ตอบมโหสถอย่างเปิดเผย ด้วยน้ำเสียงห้าวหาญว่า“ถูกต้องแล้ว พ่อมโหสถ เรานี่แหละ  ท้าวสักกเทวราช  จอมเทพแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์”

        ครั้นมหาชนได้ยินคำยืนยันจากชายเข็ญใจโดยตรงว่าเป็นท้าวสักกเทวราชจริง ก็พากันส่งเสียงฮือฮาดังสนั่นทั่วโรงวินิจฉัยคดี บ้างก็แสดงอาการตื่นเต้นยินดีเพราะพ้องกับคำที่มโหสถกล่าวแต่ต้น บ้างก็ยังไม่ปักใจเชื่อในทันที แต่ก็สงวนท่าทีรอฟังอยู่ว่ามโหสถจะถามสิ่งใดต่อไป และชายเข็ญใจจะกล่าวตอบว่าอย่างไร

        ฝ่ายมโหสถบัณฑิต แม้ว่าจะประจักษ์แจ้งแก่ใจเช่นนั้นแล้ว  แต่เพื่อจะเปลื้องความสงสัยของมหาชนให้หมดสิ้นไป จึงได้ถามต่อไปว่า  “ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นราชาแห่งเทพ  ธรรมดาโลกมนุษย์นี้  หาใช่ที่รื่นรมย์ของเหล่าทวยเทพ ผู้เช่นกับด้วยพระองค์  เพราะธรรมดากลิ่นกายมนุษย์ย่อมปรากฏเป็นกลิ่นเหม็นฟุ้งไปตลอดร้อยโยชน์  แต่เพราะเหตุใดเล่า  วันนี้พระองค์จึงทรงเสด็จมาถึงที่นี่เล่า”

        “พ่อมโหสถ ก็ท่านคิดว่าเรามาปรากฏตัวในที่นี้ ทำไมกันเล่า” ท้าวสักกเทวราชในรูปของชายเข็ญใจกลับเป็นฝ่ายย้อนถาม

        “ข้าแต่จอมเทพ พระองค์ทรงจำแลงมาในร่างของชายเข็ญใจ เพียงเพราะปรารถนาจะได้รถม้า ซึ่งมีค่าไม่ถึงเศษเสี้ยว เมื่อเทียบกับราชรถของพระองค์ ข้อนั้นไม่สมควรแก่เหตุเลย  ชะรอยพระองค์จะเสด็จมาเพื่อข้าพระองค์เป็นแน่”

        ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชก็ตรัสรับรองว่า “เป็นเช่นนั้นล่ะพ่อ  เรามาในที่นี้ ด้วยประสงค์สิ่งอื่นก็หาไม่  แต่เพราะปรารถนาที่จะยืนยันให้มหาชนได้ประจักษ์ถึงปัญญานุภาพอันยอดยิ่งของเธอ จึงได้มาปรากฏกายอยู่ ณ เบื้องหน้านี้”

        “พระองค์ผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงเทพ  หม่อมฉันกราบขอบพระทัยที่ทรงเมตตาต่อหม่อมฉันถึงเพียงนี้”  มโหสถประนมมือทั้งสอง ถวายความนอบน้อมแด่พระองค์ พลางกล่าวขึ้นว่า

        “แต่พระองค์ก็ทรงทราบมิใช่หรือ ว่าการกระทำของพระองค์ เป็นเหตุให้ชายผู้นี้ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ อย่างไรเสียเพื่อความผาสุกของปวงชน ขอพระองค์อย่าได้ทรงกระทำเช่นนี้อีกเลย”
 
        ท้าวสักกเทวราชไม่ตรัสตอบสิ่งใด เมื่อความจริงได้ปรากฏ และบัดนี้มหาชนก็ได้ทราบแล้วว่าพระองค์เป็นใคร จึงทรงกลับร่างเป็นเทพราชา ผู้สง่างามด้วยทิพย์อาภรณ์มีรัศมีเฉิดฉาย ทรงเหาะทะยานขึ้นสู่เบื้องบนแล้วไปปรากฏพระองค์อยู่กลางนภากาศ  ตรัสชื่นชมปัญญาบารมีของมโหสถบัณฑิตด้วยพระสุรเสียงก้องกังวานว่า  “พ่อมโหสถ เธอวินิจฉัยความได้ดี ทั้งเปี่ยมด้วยมหากรุณาเช่นนี้  สมแล้วที่ใครๆ ต่างเรียกว่ามหาบัณฑิต  ทั่วผืนปฐพีนี้ ผู้ที่จะมีปัญญานุภาพรุ่งเรืองยิ่งไปกว่าเธอ ไม่มีแล้ว” 

        ตรัสทิ้งท้ายเช่นนี้แล้ว พระองค์ก็เสด็จกลับคืนสู่เวชยันตปราสาท ทิพยวิมานอันโอฬารของพระองค์ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

        นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ภาษิตที่ว่า ความลับไม่มีในโลกนั้น เป็นเรื่องจริง ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ทั้งทางดีและทางชั่ว ย่อมอยู่ในสายตาของเทวดาเสมอ แม้คนบางคนอาจทำเป็นมองไม่เห็น เพราะความริษยาเข้ามาบังใจ แต่ความดีที่เราทำไว้ย่อมไม่สูญเปล่า

        เมื่อขณะทำความดี แม้เราคิดว่าคงไม่มีใครเห็น แต่ผู้ที่ทั้งรู้ทั้งเห็นเป็นคนแรกก็คือตัวเรานั่นเอง ความดีที่เราทำบ่อยๆ จะค่อยๆ สะสมเพิ่มมากขึ้นจนพัฒนาไปเป็นอุปนิสัย
 
        เมื่อเราสั่งสมต่อไป จากอุปนิสัยก็จะกลายเป็นบุคลิกภาพที่ดี ทำให้เป็นที่คบหาของบัณฑิตนักปราชญ์ ชีวิตของผู้นั้นก็จะมีแต่เจริญรุ่งเรืองต่อไปไม่มีที่สุด ไม่ตกต่ำถอยหลังเลยและผู้ที่ตั้งใจสร้างความดี ดำรงตนไว้ในฐานเป็นที่พึ่งของมหาชนนั้น ย่อมจะมีเทวดาคอยช่วยเหลือให้ประสบความความสำเร็จ ให้มีชีวิตที่เจริญสูงขึ้นไป ตามสมควรแก่วาสนาบารมีของแต่ละบุคคล อย่างที่ท้าวสักกเทวราชทรงกระทำให้ปรากฏในครั้งนี้

        มหาชนเมื่อได้ฟังพระดำรัสที่ท้าวสักกะตรัสชมเชยมโหสถจบลงแล้ว ก็ต่างพากันส่งเสียงสนั่นครื้นเครง แซ่ซ้องสาธุการต่อๆ กันไปด้วยความปีติยินดี

        มหาอำมาตย์ซึ่งคอยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ในที่นั้น ครั้นได้เห็นความอัศจรรย์ที่ไม่เคยปรากฏที่ใดมาก่อน ก็ยิ่งบังเกิดความโสมนัสยินดี จนสุดที่จะข่มปีติไว้ได้   ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะกลับสู่พระราชสำนัก เพื่อกราบบังคมทูลเรื่องนี้แด่พระเจ้าวิเทหราชด้วยตนเอง แต่ครั้นนึกถึงพระดำรัสที่พระองค์ตรัสย้ำ ให้รออยู่ในที่นี่ไปจนกว่าพระองค์จะมีรับสั่งให้กลับ
 
        เขาก็จนใจด้วยไม่อาจฝืนพระราชบัญชาของพระองค์ได้ จึงได้แต่ทำรายงานขึ้นทูลเกล้าถวายผ่านทูตคนสนิท แล้วก็เฝ้ารออยู่ในที่นั้นต่อไป ส่วนว่า พระเจ้าวิเทหราชเมื่อได้สดับเหตุการณ์อันน่าปีติประทับใจในครั้งนี้แล้วจะทรงมีดำริอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป

 
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita017.html
เมื่อ 6 พฤษภาคม 2567 14:45
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv