ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มโหสถบัณฑิต   ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี  ตอนที่ 36

 
        จากตอนที่แล้ว พระเจ้าวิเทหราชทรงปักพระทัยมั่นในอันที่จะรับมโหสถบัณฑิตเข้ามาในราชสำนักให้ได้ ไม่ทรงใส่พระทัยคำทูลทัดทานของท่านเสนกะอีก วันต่อมา จึงทรงรับสั่งให้พวกราชวัลลภเข้าเฝ้า แล้วแจ้งพระราชประสงค์ที่จะเสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนม้าพระที่นั่ง  เหล่าราชวัลลภผู้ใกล้ชิดรับพระบรมราชโองการแล้ว ก็เร่งจัดเตรียมขบวนม้าถวาย จากนั้นท้าวเธอก็ประทับม้าพระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินมุ่งสู่ปาจีนยวมัชฌคามไปโดยมิได้ทรงรั้งรอสิ่งใด

        ขณะนั้น ท่านอาจารย์เสนกะและสหายปุโรหิตทั้งสาม กำลังปรึกษากันถึงเรื่องว่าจะกีดกันมิให้รับตัวมโหสถเข้ามาอย่างไรดี สักครู่ท่านเสนกะก็ได้ยินเสียงพนักงานกรมวังส่งเสียงโหวกเหวกมาแต่ไกล เข้ามาแจ้งข่าวว่า  พระราชาเสด็จไปบ้านปาจีนยวมัชฌคามแล้ว

ปุโรหิตทั้งหมดได้ฟังข่าวนั้นแล้ว ก็ตื่นตะลึงไปตามๆกัน โดยเฉพาะท่านเสนกะนั้นแทบจะหัวใจวาย เพราะไม่คิดว่า พระราชาจะทรงตัดสินพระหฤทัยรีบด่วนเช่นนั้นรีบถามว่า “ท่านว่าอะไรนะ...พระราชาเสด็จไปแล้วอย่างนั้นหรือ”
 
พนักงานกรมวังจึงถามด้วยความแปลกใจว่า “ทำไมพวกท่านต้องตกใจถึงขนาดนั้นด้วย”  ท่านอาจารย์เสนกะกลับได้สติ จึงรีบบอกเหตุผลอย่างอื่นเพื่อกลบเกลื่อนว่า “เราไม่คิดว่าพระองค์จะตัดสินพระทัยเร่งด่วนอย่างนี้เท่านั้นเอง ถ้ามีข่าวคืบหน้าใดๆ ก็จงช่วยมาบอกเราด้วยก็แล้วกัน”
 
        กล่าวถึงพระเจ้าวิเทหราช ซึ่งกำลังเสด็จทรงม้ามงคลอัสดรไปรับตัวมโหสถด้วยพระราชหฤทัยที่มุ่งมั่น แต่ทันใดนั้นเอง ก็บังเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ทรงคาดคิดมาก่อน
 
        ขณะที่พระองค์ทรงควบม้าพระที่นั่งไปได้เพียงทอดเดียวเท่านั้น กีบเท้าของม้ามงคลอัสดรก็ถลำลึกลงไปในระหว่างระแหงดิน กระแทกเข้ากับก้อนหินอย่างจัง จนกีบเท้าม้าแตก มีแผลตกเลือด เป็นเหตุให้ม้าพระที่นั่งได้รับบาดเจ็บสาหัส จนไม่อาจจะวิ่งต่อไปได้อีก

เมื่อท้าวเธอทรงประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ทรงรู้สึกเสียพระทัยไม่น้อย ที่จำต้องทรงยุติการเสด็จพระราชดำเนินไว้เพียงนั้น แล้วเสด็จกลับคืนสู่พระนครด้วยพระอาการที่ทรงทอดถอนพระราชหฤทัย

        ลำดับนั้น อาจารย์เสนกะและสหายปุโรหิต เมื่อได้ทราบข่าวด่วนจากพนักงานกรมวังว่า พระราชาทรงเสด็จกลับมาแล้ว ทั้งที่ยังไปไม่ถึงปาจีนยวมัชฌคาม ก็ยิ่งบังเกิดความฉงนใจ ใคร่จะรู้ว่ามีเหตุการณ์อันใดเกิดขึ้น ท้าวเธอถึงได้เสด็จกลับมาเร็วนัก  แต่ในขณะเดียวกันก็พากันดีอกดีใจอยู่ที่ไม่น้อย ที่อย่างน้อยๆ ก็มีเหตุให้สามารถประวิงเวลาพระองค์ไว้ได้อีกชั่วระยะหนึ่ง 
 
เหล่าปุโรหิตทั้งสี่ต่างก็ไม่รอช้า รีบขอเข้าเฝ้าพระราชาในทันที ครั้นกราบถวายบังคมแล้ว  อาจารย์เสนกะจึงทูลถามพระองค์ด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า  “ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระบาททราบมาว่า พระองค์เสด็จไปบ้านปาจีนยวมัชฌคาม  เพื่อจะรับตัวมโหสถบัณฑิตเข้ามาหรือพระเจ้าข้า”

        ท้าวเธอทรงรับว่า “ถูกแล้วท่านอาจารย์ เราไปมาแล้ว แต่ก็หาได้ไปถึงบ้านปาจีนยวมัชฌคามตามที่ประสงค์ไม่...”

        “เกิดอะไรขึ้นหรือ พระเจ้าข้า” อาจารย์เสนกะรีบทูลถามอย่างฉับไว ครั้นแล้วพระองค์ก็ตรัสเล่าเรื่องอุบัติเหตุที่ทรงประสบ จนเป็นเหตุให้ต้องเสด็จกลับมา

        ครั้นได้ฟังพระราชดำรัสของท้าวเธอจบลง อาจารย์เสนกะก็นึกกระหยิ่มใจว่า “คราวนี้เป็นทีของเราบ้างละ” จึงได้คิดหาเหตุผลเพื่อสนับสนุนสิ่งที่ตนทูลไว้ในครั้งก่อน ให้น่าเชื่อถือยิ่งๆขึ้นไป ในที่สุดจึงกราบบังคมทูลด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระองค์อย่างสูงสุดว่า
 
        “ข้าแต่มหาราชผู้เป็นที่พึ่งของชาววิเทหรัฐ พระองค์ทรงพิจารณาเห็นหรือยังเล่า พระเจ้าข้า ว่าเพราะเหตุใดข้าพระบาทจึงต้องทัดทานพระองค์ไว้แต่แรก

        ...ก็ขนาดข้าพระบาททัดทานพระองค์ไว้แล้ว แต่พระองค์ก็ยังทรงด่วนเสด็จไป โดยมิได้ทรงรั้งรอ จึงมีเหตุบันดาลให้กีบเท้าของม้าพระที่นั่ง ต้องมาประสบอุบัติเหตุถึงขั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส

        ...นั่นก็หมายความว่า กาลนี้อาจจะยังมิใช่กาลอันเหมาะสม หรืออีกนัยหนึ่ง บุคคลนั้นอาจจะยังมิใช่ผู้ที่คู่ควรแก่ตำแหน่งราชบัณฑิตอย่างไรเล่า พระเจ้าข้า” 

        พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงฟังคำทูลของอาจารย์เสนกะแล้ว ก็ทรงนิ่งเฉยเสีย โดยที่มิได้ตรัสตอบสิ่งใด แต่เหตุที่ทรงนิ่งนั้น ก็มิได้หมายความว่าพระองค์จะทรงเห็นด้วยกับคำกราบบังคมทูลของอาจารย์เสนกะแต่อย่างใด   เพราะไม่ว่าอาจารย์เสนกะจะกราบทูลเช่นไร ก็คงไม่อาจเปลี่ยนพระราชหฤทัยของพระองค์ได้อีก  เพียงแต่พระองค์ยังทรงเสียพระทัยอยู่หน่อยหนึ่ง ที่พระประสงค์ของพระองค์ยังไม่ถึงที่สุดเท่านั้นเอง  

        อาจารย์เสนกะมั่นใจว่า อย่างไรเสียพระเจ้าวิเทหราชคงตกลงพระทัยรับตัวมโหสถเข้ามาอยู่ในราชสำนักอย่างแน่แท้ จึงกลับไปใคร่ครวญดูสถานการณ์อีกครั้ง  แต่แล้วก็เกิดความคิดขึ้นว่า
 
        “บัดนี้เหตุการณ์กลับผันผวนยิ่งนัก หากยังขืนยืนยันที่จะคัดค้านพระองค์ต่อไป ก็คงจะไม่เป็นที่พอพระทัยของพระองค์มากขึ้นทุกวัน เมื่อเป็นเช่นนี้ การอยู่ในราชสำนักของเราเอง ก็คงดูจะไม่สู้ปลอดภัยและเป็นสุขนัก

        ...อีกประการหนึ่ง การประกาศความในใจของตนอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ยังไม่ใช่วิธีการของผู้ชาญฉลาด อย่ากระนั้นเลย เราจักปล่อยให้เป็นไปตามสถานการณ์ไปก่อน

        ... แต่ต่อไปเมื่อมโหสถเข้ามาแล้วนั่นแหละ เราถึงจะคิดหาวิธีการอันเหมาะสมที่จะใช้จัดการกับมโหสถต่อไป”

        ครั้นแล้วก็คิดหาทางออกได้ว่า ในเมื่อมีเค้าเงื่อนแต่เดิมมาว่า กีบเท้าม้าพระที่นั่งแตก เราก็จักถือเอาเงื่อนนี้ล่ะ เป็นปริศนานำร่องให้มโหสถได้ขบคิดต่อไป คิดได้ดังนี้แล้ว ท่านเสนกะก็รอให้ผ่านไป ๒ - ๓ วัน  
 
แล้ววันหนึ่ง ขณะที่พระเจ้าวิเทหราชเสด็จออกสู่ท้องพระโรงพระที่นั่งมหาปราสาท ครั้นท้าวเธอประทับเหนือพระราชบัลลังก์แล้ว ท่านอาจารย์เสนกะจึงได้กราบถวายบังคม  แต่ยังไม่ทันจะได้กราบทูลสิ่งใด ท้าวเธอก็มีรับสั่งกับท่านเสนกะขึ้นก่อน แล้วก็ไม่ใช่เรื่องอื่นใด  แต่เป็นเรื่องที่อาจารย์เสนกะคาดการณ์เอาไว้นั่นเอง คือทรงพระปรารภถึงเรื่องที่จะรับตัวมโหสถเข้ามาสู่ราชสำนักเป็นคำรบสอง
 
        ส่วนอาจารย์เสนกะนั้นได้รอดูท่าที และเตรียมอุบายต่างๆ เพื่อเอาไว้เล่นงานมโหสถในขั้นเด็ดขาดมาเป็นอย่างดีแล้ว จึงรีบกราบทูลสนับสนุนพระราชโองการในทันที แต่ว่าอาจารย์เสนกะจะกราบทูลว่าอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป

พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita036.html
เมื่อ 3 พฤษภาคม 2567 21:51
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv