ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มโหสถบัณฑิต   ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี  ตอนที่ 122

   จากตอนที่แล้ว กองทัพของพระเจ้าจุลนี ได้ระดมกำลังไพร่พลเต็มอัตราศึกเข้าโจมตีมิถิลานครทุกด้าน โดยทอดสะพานข้ามคู กรูอาวุธบุกเข้าไปใกล้ประตูหอรบ แล้วพาดบันไดปีนขึ้นกำแพงเมือง แต่กลับถูกทหารของมโหสถสาดเทเปือกตมระคนด้วยกรวดทรายก้อนหิน และโคลนเลน ตกลงมาทำร้ายจนบอบช้ำแสนสาหัส

    เมื่อไม่อาจจะปีนขึ้นไปได้ จึงคิดที่จะทำลายประตูเมือง จึงพากันหนุนเนื่องเข้าหาประตูเมือง ด้วยซุงต้นใหญ่ หมายจะพังประตูเมืองให้ได้แต่แล้วก็ถูกทหารที่รอท่าอยู่บนเชิงเทินกำแพง พุ่งหอกและยิงธนูลงมาทำร้าย จนได้รับบาดเจ็บสาหัส ล้มตายกันเกลื่อนกลาด

    การเข้าตีของกองทัพพระเจ้าจุลนีในวาระแรก ก็ปิดฉากลงด้วยความพินาศย่อยยับสุดที่จะนับประมาณได้ เป็นความพินาศอย่างใหญ่หลวง

    พราหมณ์เกวัฏจึงออกอุบายกักน้ำที่มีอยู่ภายนอกเมือง มิให้ใครนำน้ำเข้าไปภายในเมืองได้ เมื่อชาวเมืองอดน้ำ ก็จะทนไม่ไหว จำต้องเปิดประตูเมืองออกมาอย่างแน่นอน พระราชาจุลนีทรงมีรับสั่งให้ทหารคอยตรวจตราให้เข้มงวด กำชับมิให้มีใครนำน้ำเข้าไปในเมืองเป็นอันขาด

    คนของมโหสถบัณฑิตที่ปะปนอยู่กับข้าราชการฝ่ายปัญจาละ ทราบอุบายของพระเจ้าจุลนี จึงได้เขียนหนังสือผูกไว้กับปลายลูกศร แล้วยิงเข้าไปในเมืองเพื่อส่งข่าวให้มโหสถทราบ
 
   เมื่อมโหสถบัณฑิตทราบอุบายนั้นแล้ว ก็รำพึงว่า “เห็นทีว่าพระเจ้าจุลนีคงจะไม่รู้จักเรา เอาเถอะเราจะแสดงให้ท้าวเธอได้ประจักษ์ว่ามิถิลานครเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ ต่อให้ถูกล้อมสักกี่ปีก็ไม่มีวันอดตาย”

    มโหสถบัณฑิตจึงให้คนนำไม้ไผ่ที่ยาว ๖๐ ศอกมาเป็นอันมาก แล้วให้ผ่าออกเป็น ๒ ซีก รานข้อปล้องออกให้หมด ขัดให้เกลี้ยงเกลา แล้วประกบกันเข้าใหม่ให้เป็นลำดังเดิม รัดด้วยหนังแล้วทาโคลนข้างบน จากนั้นจึงนำโตนดบัว (ลูกบัว) พันธุ์พิเศษจากป่าหิมพานต์เพาะลงในเลนรอบสระโบกขรณี วางไม้ไผ่ลำยาวนั้น ครอบไว้ข้างบนแล้วกรอกน้ำลงไปในลำไผ่    เพียงชั่วข้ามคืนเดียวดอกบัวนั้นก็งอกทะยานสูงขึ้นไป จนเลยปลายไม้ไผ่ประมาณ ๑ ศอก

    ครั้นได้บัวที่มีสายยาวขนาด ๖๐ ศอกตามที่ต้องการแล้ว มโหสถจึงให้ถอนสายบัวเหล่านั้นมา แล้วมอบให้ทหารที่ประจำการอยู่บนกำแพง พร้อมสั่งว่า “พวกเจ้าจงส่งสายบัวนี้ไปถวายพระเจ้าจุลนีพรหมทัต”
 
   ทหารเหล่านั้นรับสายบัวมาแล้ว ต่างก็ขดก้านบัวให้เป็นวง พลางร้องตะโกนบอก ทหารฝ่ายตรงข้ามว่า “เฮ้ย เจ้าผู้เป็นข้าบาทของพระเจ้าจุลนี ขอพวกเจ้าจงอย่าได้หิวตายเสียก่อนเลย จงรับเอาสายบัวนี้ไปกินให้อิ่มหนำเถิด”

    ว่าแล้วก็โยนสายบัวจากบนกำแพงลงไปกองอยู่ที่พื้นเป็นจำนวนมาก เท่านั้นยังไม่พอ ทหารเหล่านั้นต่างช่วยกันพาดลำไม้ไผ่วางไว้บนกำแพง ให้ปลายยื่นออกนอกกำแพง ส่วนทางโคนก็ยกให้สูงขึ้น แล้วช่วยกันตักน้ำจากสระโบกขรณีใส่ทางโคน ให้น้ำไหลออกทางปลาย ไม่ให้ขาดระยะ แล้วร้องเรียกชาวเมืองที่อยู่นอกพระนครให้มารองน้ำไปอาบและดื่มกันตามสบาย เสมือนกับว่าน้ำภายในพระนครยังมีอีกล้นเหลือ พอที่จะแบ่งปันให้คนข้างนอกได้ใช้ดื่มกินอย่างสบายๆ

    อำมาตย์ผู้สืบราชการลับผู้เป็นสหายของมโหสถ ก็รับเอาสายบัวเหล่านั้นจากทหาร แล้วนำขึ้นทูลเกล้าถวายแด่พระเจ้าจุลนี กราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์ได้ทอดพระเนตรสายบัวนี้เถิด พระพุทธเจ้าข้า”

   
พระเจ้าจุลนีทอดพระเนตรสายบัวนั้นแล้ว ก็ตรัสว่า “ท่านจงวัดดูว่าสายบัวนี้ยาวเท่าใด”
  
   อำมาตย์จึงให้ทหารช่วยกันวัด ครู่หนึ่งจึงทราบว่าสายบัวมีความยาว ๖๐ ศอก แต่เพื่อจะบอกให้ยิ่งขึ้นไปอีก จึงกราบทูลว่า “สายบัวยาวถึง ๘๐ ศอกทีเดียว พระพุทธเจ้าข้า”

    พระเจ้าจุลนีไม่เคยได้ทอดพระเนตรสายบัวที่ยาวถึงเพียงนี้มาก่อน ก็ทรงแปลกพระทัย ตรัสว่า “มีใครรู้บ้างว่า บัวเหล่านี้ขึ้นอยู่ที่ไหน”

    อำมาตย์ผู้นั้นก็ทูลมุสาพระราชาไปว่า “ขอเดชะ ครั้งหนึ่งข้าพระองค์ได้เคยเข้าไปสอดแนมภายในพระนคร เห็นสระโบกขรณีขนาดใหญ่ที่ขุดไว้ให้ชาวเมืองใช้สอย มีมหาชนลงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็นั่งเรือเก็บดอกบัวที่อยู่ริมสระ ข้าพระองค์ประมาณการณ์ว่า สายบัวที่อยู่ลึกบริเวณกลางสระ คงยาวถึง ๑๐๐ ศอกทีเดียว และเห็นจะเป็นเพราะมีน้ำเหลือเฟือนี่เอง มิน่าเล่าทหารเหล่านั้นถึงได้ขนน้ำออกมาให้คนข้างนอกได้ใช้สอยกันไม่หมดไม่สิ้นเสียที”

    พระเจ้าจุลนีสดับคำทูลนั้นแล้ว ก็ทรงขัดเคืองพระหฤทัยยิ่งนัก รับสั่งถามพราหมณ์เกวัฏว่า “จะทำอย่างไรกันต่อไป ท่านอาจารย์ ถึงอย่างไรอุบายนี้ก็คงไม่มีทางสำเร็จได้แน่ เพราะภายในพระนครยังมีน้ำอยู่อีกเหลือเฟือทีเดียว”

    พระดำรัสของพระเจ้าจุลนีทำให้พราหมณ์เกวัฏต้องคิดอุบายใหม่ เพื่อจะบีบบังคับพระเจ้าวิเทหราชทรงยอมจำนนแก่ปัญจาลนครให้จงได้

    ครั้นแล้ว พราหมณ์เกวัฏ จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ผู้สมมุติเทพ แม้ว่าชาวมิถิลาจะมีน้ำกินน้ำใช้ไปอีกนานไม่มีวันหมดสิ้น แต่หากไม่มีข้าวกินเสียแล้ว ในที่สุดก็จะพากันอดตายกันทั้งเมืองอย่างแน่นอน พระพุทธเจ้าข้า”

    พระเจ้าจุลนีจึงทรงซักถามพราหมณ์เกวัฏว่า “แล้วเราต้องทำเช่นไรล่ะ ท่านอาจารย์”
 
   “ข้อนี้ไม่ยากพระพุทธเจ้า แค่เพียงพระองค์สั่งการให้ทหารคอยสำรวจตรวจตราอย่างรอบคอบ มิให้ชาวเมืองที่อยู่นอกพระนครนำข้าวเข้าไปภายไปพระนครได้ ข้าพระองค์เชื่อว่า ภายในไม่กี่วัน อุบายนี้จะต้องเห็นผลแน่”

    พระเจ้าจุลนีทรงมีพระหฤทัยแช่มชื่น ทรงเห็นชอบตามอุบายของเกวัฏทุกประการ ครั้นตกลงดังนี้แล้ว ท้าวเธอจึงรับสั่งให้ป่าวประกาศแจ้งเหล่าทหารทราบทั่วกันว่า “นับแต่นี้ไป จงเข้มงวดกวดขันมิให้ผู้ใดนำข้าวเข้าไปในเมืองได้เป็นอันขาด”

    ความหวังของพระเจ้าจุลนีที่จะยึดมิถิลานครเริ่มมีประกายขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากกองทัพต้องเดินด้วยท้อง ดังนั้นถ้าถูกตัดเสบียงแล้ว ความอัตคัดขัดสนก็จะเกิดขึ้นในเมือง พระเจ้าวิเทหราชจะต้องยอมจำนนอย่างแน่นอน ส่วนว่ามโหสถจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไรโปรดติดตามตอนต่อไป
 
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita122.html
เมื่อ 6 พฤษภาคม 2567 00:20
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv