ทศชาติชาดก
เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี
ตอนที่ 133
 
 
    จากตอนที่แล้ว พราหมณ์อนุเกวัฏได้รับอาสาที่จะเป็นไส้ศึกให้กับฝ่ายมิถิลานคร และได้ฟังอุบายทุกอย่างจากมโหสถบัณฑิตจนเข้าใจอย่างละเอียด นับจากวันนั้นมา พราหมณ์อนุเกวัฏก็ได้เริ่มดำเนินการตามอุบายทันที
 
    โดยในขณะที่ทหารฝ่ายมิถิลาซึ่งรักษาการอยู่ตามป้อมและกำแพงกำลังพักทานอาหารกัน คงเหลือแต่ทหารเวรยามรักษาการณ์ตามหน้าที่ จึงได้ถือโอกาสในขณะที่เวรยามเผลอ ปรากฏตัวขึ้นที่ชายกำแพง ต่อหน้าทหารฝ่ายปัญจาละ แล้วหยิบข้าวปลาอาหารโยนไปให้แก่ทหารฝ่ายปัญจาละ พร้อมตะโกนบอกแก่ทหารฝ่ายศัตรูว่า...
 
    “เอาไปแบ่งกันกินให้อิ่มหนำสำราญเถิด ขอพวกท่านจงเฝ้าอยู่ ณ ที่นี้ไปอีกสักหน่อย รอคอยอีกเพียงสักสองสามวันเท่านั้น ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานเท่าใด ท่านก็จะสามารถเข้าตีมิถิลานครได้แน่ เพราะบัดนี้ชาวเมืองกำลังกระวนกระวายใจ เหมือนฝูงไก่ที่ถูกขังอยู่ในกรง ไม่ช้าก็จะต้องเปิดประตูเมืองอย่างแน่นอน ทีนั้นล่ะ พวกท่านจะสามารถจับพระเจ้าวิเทหราชและมโหสถได้ตามสบาย”
 
    ทหารฝ่ายมิถิลาที่ไม่รู้อุบายมาก่อน เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของพราหมณ์อนุเกวัฏ และได้เห็นอนุเกวัฏโยนเสบียงให้แก่ฝ่ายศัตรู ก็พากันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จึงต่างกรูกันเข้าไปคว้าตัวอนุเกวัฏมา ด่าทอตวาดขู่สารพัดอย่าง แล้วก็จับกุมตัวไปยังกองบัญชาการรบในที่สุด
 
    ฝ่ายมโหสถบัณฑิตเมื่อได้รับแจ้งเรื่องนี้แล้ว ก็เรียกพราหมณ์อนุเกวัฏเข้ามาไต่สวนความผิดท่ามกลางเหล่าเสนามนตรีและพลทหาร มโหสถแสร้งถามว่า...
 
“ท่านอนุเกวัฏ ท่านมีเหตุผลอย่างไร เหตุใดจึงกล้าทำเช่นนั้นเล่า”
“เหตุผลรึ” พราหมณ์อนุเกวัฏกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงกระด้าง
“ข้าพเจ้าทำสิ่งใดจะต้องมีเหตุผลด้วยหรือ ในเมื่อข้าพเจ้าพอใจจะทำ เท่านี้ก็มีเหตุผลเพียงพอแล้ว ท่านยังต้องการจะทราบอะไรอีก”
 
    มโหสถจึงแสร้งถามอีกว่า “ทำไม ท่านถึงพอใจเช่นนั้นล่ะ ก็ในเมื่อความพอใจของท่านขัดกันกับความพอใจโดยส่วนรวมของหมู่คณะ ฉะนั้นท่านควรจะพอใจในสิ่งนี้ต่อไปอีกหรือไม่ล่ะ อีกอย่างหนึ่ง ท่านก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ท่านก็ย่อมจะทราบดีมิใช่หรือว่า การกระทำเช่นนี้เป็นความผิดร้ายแรง และจะต้องถูกลงโทษสถานหนักทีเดียว”
 
    พราหมณ์อนุเกวัฏทำสีหน้าฟึดฟัด ตอบเสียงแข็งอย่างไม่สู้พอใจนักว่า “แน่ล่ะ ท่านบัณฑิต ข้าพเจ้าได้เห็นความเป็นไปในโลกมามากกว่าท่าน ย่อมจะเข้าใจอะไรๆปรุโปร่งกว่าท่าน ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้ท่านมาชี้บอกข้าพเจ้าหรอก”
 
“อหังการนัก” มโหสถเป็นฝ่ายตวาดกลับ
“ถูกล่ะท่าน ใครบ้างที่ไม่มีอหังการ ทั้งข้าพเจ้าและท่านต่างก็ปรารถนาความเป็นตัวของตัวเองกันทั้งนั้น หรือท่านว่าไม่ใช่ล่ะ” อนุเกวัฏพูดประชด สีหน้าบ่งอาการเดือดดาลเต็มทน
 
“ชะรอยท่านจะเป็นผู้มีอหังการมากไป จึงปรารถนาที่จะทำอะไรตามอำเภอใจ ดีล่ะ ถ้าเช่นนั้น เราจะช่วยลดความอหังการให้ท่านเอง” มโหสถพูดพลาง แล้วสั่งทหารให้ช่วยกันจับอนุเกวัฏคว่ำลง แล้วเฆี่ยนตีด้วยหวายจนหลังแตกเป็นริ้วรอย
 
    ครั้นแล้วจึงมีบัญชาเป็นคำสั่งเฉียบขาดว่า “เหล่าทหารทั้งหลาย พวกท่านจงกระทำตามความพอใจของพราหมณ์ผู้นี้ จงไล่เขาไปยังที่ที่เขาปรารถนาจะไป แผ่นดินมิถิลาของพวกเราไม่ต้องการมีคนอย่างอนุเกวัฏ คนเช่นนี้ควรไปอยู่ในที่อื่น เว้นเสียแต่มิถิลานคร”
 
    สิ้นเสียงมโหสถบัณฑิต พวกทหารก็พากันฉุดลากตัวพราหมณ์อนุเกวัฏออกไปจากกองบัญชาการรบอย่างไม่ปรานี จากนั้นจึงได้ทำพิธีเนรเทศตามกฎมณเฑียรบาล โดยโกนผมของอนุเกวัฏให้เป็นมุ่น ทำให้เป็นจุก 5หย่อม แล้วโรยผงอิฐลงบนกบาล เอาพวงดอกยี่โถทัดไว้ที่หู จากนั้นก็พาไปยังกำแพงเมือง ซึ่งเป็นพิธีกรรมขับไล่ผู้ทรยศต่อแผ่นดินในสมัยนั้น
 
    จากนั้นก็ตีซ้ำด้วยซีกไม้ไผ่ แล้วฉีกเสื้อผ้าให้ขาดเป็นริ้วๆ เจาะจงจะให้ทหารฝ่ายศัตรูเห็นรอยเฆี่ยนที่กลางหลัง แล้วจึงนำตัวขึ้นนั่งในสาแหรก ซึ่งทำจากหวาย มาขัดกันเป็นสี่เหลี่ยม แล้วผูกด้วยเชือกที่มุมทั้งสี่ แล้วค่อยๆโรยหย่อนลงไปนอกกำแพงเมือง พร้อมกับช่วยกันไล่ตะเพิดเสียงดังโหวกเหวกว่า...
 
    “ไปโว๊ย...ไปไกลๆ เถอะ ไอ้โจรทำลายชาติ เอ็งช่างไม่รู้คุณแผ่นดินเสียเลย พระเจ้าวิเทหราชทรงอุตส่าห์ชุบเลี้ยงมา แต่หนอยแน่ะ ดันไปปรนเปรอข้าศึกหวังจะให้ข้าศึกโจมตีบ้านเกิดเมืองนอนของตนเสียนี่ ไอ้คนเนรคุณ เชิญเอ็งไปอยู่กับพระเจ้าจุลนีโน่นเถิด”
 
    ทันทีที่พราหมณ์อนุเกวัฏถูกหย่อนลงมานอกกำแพง ทหารของพระเจ้าจุลนีแลเห็นสภาพของพราหมณ์อนุเกวัฏแล้ว ต่างก็เกิดความสงสาร เพราะเข้าใจว่าพราหมณ์อนุเกวัฏคงถูกทรมานจริงๆ
 
    ขณะที่พราหมณ์อนุเกวัฏค่อยๆ กระเย้อกระแหย่งลุกจากสาแหรก ทหารฝ่ายปัญจาละก็พากันเข้าห้อมล้อม ถามโน่นถามนี่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ พราหมณ์อนุเกวัฏไม่ตอบ แต่กลับแสดงอาการกะปลกกะเปลี้ย พูดขึ้นด้วยเสียงกระเส่าว่า “เจ้าเหนือหัวจุลนีประทับอยู่ที่ไหน ได้โปรดเถิด ช่วยพาข้าพเจ้าไปเฝ้าพระองค์โดยเร็วเถิด”
 
    แม้ทหารเหล่านั้นจะพยายามซักถามเท่าใด พราหมณ์อนุเกวัฏก็ยังไม่ยอมตอบ กล่าวแต่เพียงว่า “สิ่งใดที่เราได้ทำลงไป ผลนั้นก็กลับสนองเราแล้ว พวกท่านจะต้องถามไปไย แต่เรื่องนี้จักแจ่มแจ้งก็ต่อเมื่อเราได้เข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าจุลนีเท่านั้น ฉะนั้นพวกท่านอย่าได้รีรออยู่เลย โปรดพาเราไปเฝ้าเจ้าเหนือหัวของท่านเถิด” พวกทหารปัญจาละได้ฟังดังนั้น ต่างก็เข้าใจว่าพราหมณ์อนุเกวัฏคงขวัญเสีย หวังจะเข้าหาพระเจ้าจุลนีเพื่อขออาศัยพึ่งพิง
 
    ดังนั้น จึงไม่มีความลังเลใจ รีบพาไปเข้าเฝ้าพระเจ้าจุลนีอธิราชยังกองบัญชาการรบในทันที ส่วนว่าเมื่อพราหมณ์อนุเกวัฏได้เข้าเฝ้าพระเจ้าจุลนีแล้ว จะมีแผนการอย่างไรที่จะทำให้พระเจ้าจุลนีทรงเชื่ออย่างสนิทพระทัยว่า ตนถูกเนรเทศ โปรดติดตามตอนต่อไป
 
 
 
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita133.html
เมื่อ 6 พฤษภาคม 2567 04:37
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv