ทศชาติชาดก
เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี
ตอนที่ 144
 
 
    จากตอนที่แล้ว เมื่อพระเจ้าจุลนีเสด็จถึงห้องบรรทมแล้ว พราหมณ์เกวัฏจึงกราบทูลอุบายของตนให้ทรงทราบว่า “ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าว่า จะต้องใช้อุบายล่อหลอกพระเจ้าวิเทหราชให้มายังปัญจาลนครของเรา จากนั้นจึงค่อยปลงพระชนม์พระองค์ พร้อมกับกำจัดมโหสถเสียในที่นี่แหละ พระพุทธเจ้าข้า...
 
    เราจะใช้เหยื่อล่อ คือ กามคุณ เหยื่อในที่นี้ก็คือ พระราชธิดาปัญจาลจันทีของพระองค์ทรงพระสิริโฉมงดงามยิ่งนัก หากพระเจ้าวิเทหราชได้สดับข่าวว่า พระเจ้าจุลนีพรหมทัตแห่งปัญจาลนครมีพระราชธิดาผู้เลอโฉมราวเทพอัปสร ยากจะหาผู้ใดทั่วชมพูทวีป เหมาะสมที่จะเป็นคู่ครองของพระนาง เว้นเสียแต่พระเจ้าวิเทหราชเท่านั้น...
 
    เมื่อนั้น พระเจ้าวิเทหราชจะทรงรู้สึกเช่นไร ยิ่งได้ทราบว่าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท มุ่งหมายที่จะพระราชทานพระราชธิดาให้แด่พระเจ้าวิเทหราช เพื่อเป็นการลบล้างข้อที่เคยเป็นศัตรูคู่ศึกกันมาแต่ดั้งเดิม และเพื่อผูกสัมพันธไมตรีต่อกันด้วยความจริงใจ เหมือนสายโซ่ทองที่คล้องกระชับแน่น และอีกประการหนึ่ง พระนางปัญจาลจันทีของเรานี่สิ เป็นขัตติยาณียอดธิดากษัตริย์โดยแท้ พระเจ้าวิเทหราชจะยิ่งทรงปลาบปลื้มเพียงใด พระองค์จะทนนิ่งเฉยต่อข้อเสนอดีๆเช่นนี้ได้หรือพระพุทธเจ้าข้า”
 
    “เฉียบขาดมากท่านอาจารย์ อุบายของท่านช่างเยี่ยมยอดจริงๆ เราชักอยากจะเห็นหน้าศัตรูเร็วๆเสียแล้วล่ะ คราวนี้จะได้เห็นกันว่า วิเทหราชและมโหสถจะทำหน้าอย่างไรเมื่อตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของเรา” ท้าวเธอตรัสชมด้วยทรงพอพระทัย แต่ทว่าความลับทั้งหมดนี้ นอกจากพระเจ้าจุลนีและพราหมณ์เกวัฏแล้ว ยังมีนางนกสาลิกาที่พระองค์ทรงเลี้ยงไว้ประจำห้องพระบรรทมอยู่ตัวหนึ่ง ดังนั้นความลับทั้งหมดนี้ จึงมิใช่เป็นที่รู้กันเพียงลำพังสองคนอีกต่อไป
 
    เมื่อพระเจ้าจุลนีได้สดับอุบายนั้นแล้ว ก็มิได้ทรงรั้งรอ รีบดำเนินตามแผนการนั้นทันที จึงได้รับสั่งให้เรียกบรรดาจินตกวีจากทั่วปัญจาลนครมาเข้าเฝ้า เมื่อบรรดาจินตกวีมาเข้าเฝ้าแล้ว ก็ทรงเลือกเฟ้นหาเหล่าจินตกวีเอก ผู้เชี่ยวชาญในวรรณศิลป์หลายท่าน ที่เป็นเลิศในการประพันธ์บทกาพย์กลอน แล้วพระราชทานทรัพย์ให้เป็นอันมาก
 
    ครั้นแล้ว จึงทรงเชิญพระราชธิดาปัญจาลจันทีมายังที่ประทับ เพื่อให้กวีเหล่านั้นได้เห็นพระสรีระโฉมความงามแห่งพระวรกาย พระฉวีวรรณ และพระอิริยาบถของพระราชธิดา พร้อมกับมีกระแสรับสั่งว่า “ฉันมีความต้องการให้พวกท่าน ได้รจนาความงามของพระราชธิดาปัญจาลจันที ถ่ายทอดออกมาเป็นบทประพันธ์ที่ไพเราะจับใจ เสนาะเพราะพริ้งทั้งท่วงทีทำนอง และลีลาแห่งอักษร อย่างหาที่ติมิได้”
 
    บรรดาจินตกวี ทราบพระราชประสงค์ของพระองค์แล้ว ก็ได้ช่วยกันแต่งกาพย์ยอพระโฉมจนสำเร็จ แล้วปรับให้เป็นลำนำทำนองเพลงขับที่หยดย้อยน่าฟัง ชวนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลในพระรูปพระโฉม ดังนั้น กาพย์ยอพระสรีระโฉมของพระราชธิดาปัญจาลจันที จึงเป็นเหมือนการประมวลสิ่งที่สวยงาม และสัดส่วนที่งดงาม ของทุกสิ่งทุกส่วนเข้ามารวมกันไว้ ราวกับว่าพระนางเป็นเทพเทวี ที่เทพเจ้าผู้มีฤทธานุภาพเนรมิตมาให้เป็นมิ่งมงคลแด่ชาวปัญจาลนคร
 
    เมื่อได้ฝึกซ้อมนางนาฏิกาประจำราชสำนัก และเหล่าหญิงนักฟ้อนทั่วแคว้น ให้เรียนเพลงขับนั้นจนชำนาญแล้ว ท้าวเธอก็โปรดให้ทดลองขับลำนำยอพระโฉมขึ้นถวาย พระเจ้าจุลนีทรงสดับเพลงขับนั้นด้วยพระหฤทัย
เบิกบาน อานุภาพแห่งเพลงขับมีอำนาจตรึงพระฤดีรมย์ของพระองค์ ให้เคลิบเคลิ้มไปตามท่วงทำนองเพลง แม้บทเพลงนั้นจะถูกขับจบไปแล้ว แต่พระโสตก็ยังแว่วกังวานถึงบทเพลงนั้นอยู่ แม้แต่ในพระหฤทัยก็ยังปรากฏภาพพระราชธิดา ผู้ทรงศรีศุภลักษณ์ประทับแน่นอยู่ ถึงกับดำริในพระทัยว่า “ได้การล่ะ เราเป็นพระบิดายังเคลิบเคลิ้มถึงเพียงนี้ วิเทหราชได้ฟังเพลงขับนี้แล้ว จะไม่หวั่นไหวด้วยไฟสิเน่หาก็ให้มันรู้ไป” แล้วพระองค์ก็พระราชทานรางวัลให้แด่นางนาฏิกาเหล่านั้นอย่างจุใจ
 
    นับแต่นั้นมา พระเจ้าจุลนีจึงโปรดให้เหล่านางนาฏิกาในราชสำนัก ขับบทเพลงนั้นให้ทรงสดับอยู่เป็นประจำ จากพระราชวังหญิงเหล่านั้นก็นำไปขับร้องตามบ้านอำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่ ต่อจากนั้นก็ขยายวงกว้างออกไปทั่วทุกหนทุกแห่ง มีงานมณฑลมหรสพ จนกระทั่งแพร่หลายไปในชาวนิคม ไม่นานเท่าใดบทเพลงนั้นก็กึกก้องไปทั่วพระนคร ประชาชนชาวปัญจาละทั้งหลาย ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ เมื่อได้ฟังบทเพลงนั้นแล้ว ก็จดจำไปขับร้องกันอย่างสนุกสนานรื่นเริง จนชื่อเสียงเกียรติคุณของพระนางปัญจาลจันทีเลื่องลือระบือไกลไปทั่วแว่นแคว้น
 
    ลำดับนั้น พระเจ้าจุลนีเมื่อจะทรงประกาศชื่อเสียงของพระราชธิดาให้อุโฆษยิ่งขึ้นไปอีก ท้าวเธอจึงมีรับสั่งให้เรียกพวกขับร้องทั้งหลายมา แล้วตรัสสั่งว่า “พวกเจ้าจงพากันจับนกขนาดใหญ่มากักไว้ในกรง ครั้นถึงเวลาดึกสงัดก็จงขึ้นไปนั่งบนต้นไม้ ขับขานบทเพลงนั้นไปตลอดราตรี แต่พอใกล้รุ่งก็จงรีบผูกกระดิ่งที่คอนกเหล่านั้น แล้วปล่อยให้มันบินไป จากนั้นพวกเจ้าจึงค่อยกลับลงมา เรื่องนี้ขอให้พวกเจ้าจงปกปิดไว้เป็นความลับ อย่าให้มีใครล่วงรู้เป็นขาด” พวกนักร้องพากันน้อมรับพระราชบัญชาแล้ว ก็เริ่มดำเนินการตามนั้น
 
    ตั้งแต่นั้นมา ในยามค่ำคืนดึกสงัด เสียงขับลำนำขับขานยกยอพระสิริโฉมของพระราชธิดาปัญจาลจันที ก็ดังกังวานแว่วมาจากต้นไม้ใหญ่ในพระนคร ครั้นใกล้รุ่งก็ปรากฏคล้ายเสียงกังสดาลดังก้องไปในอากาศ แล้วเสียงนั้นก็ค่อยๆหายเงียบไป ชาวปัญจาลนครทั้งหลาย เมื่อได้ยินเสียงเพลงขับเลื่อนลอยมาแต่ไกลในยามราตรี ไพเราะเสนาะจับจิตจับใจยิ่งนัก ก็พากันพิศวง งงงวยไปตามๆกัน และครั้นรุ่งสางก็ยังได้ยินเสียงกังสดาลดังกังวานแว่วอีก จึงพากันร่ำลือต่อๆกันไปว่า...
 
    “ดูเถิดท่านทั้งหลาย ความงามแห่งพระสรีระโฉมของพระราชธิดาปัญจาลจันทีของพวกเรา ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน มิใช่แต่เพียงมนุษย์อย่างพวกเราเท่านั้นที่พากันเคลิบเคลิ้มหลงใหล แม้แต่เหล่าเทวดาจากแดนสรวง ก็ยังร่วมกันขับร้องบรรเลงลำนำเพลงนี้ จงฟังสิ เสียงในยามรุ่งนั่นเป็นเสียงทิพย์ดนตรีจากสวรรค์ชั้นฟ้าดังแว่วมาถึงภพมนุษย์ทีเดียว”
 
    แผนการของพราหมณ์เกวัฏ ที่ใช้กามคุณเป็นเหยื่อล่อให้พระเจ้าวิเทหราชและมโหสถบัณฑิตมาติดกับดักนั้น เริ่มจะปรากฏให้เห็นชัดเป็นรูปธรรมแล้ว ส่วนแผนการขั้นตอนไปนั้น จะทำอย่างไรให้กาพย์ยอพระโฉมของพระราชธิดาปัญจาลจันที เข้าไปในพระกรรณจนกระทั่งเข้าไปถึงพระหฤทัยของพระเจ้าวิเทหราช โปรดติดตามตอนต่อไป
 
 
 
 
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita144.html
เมื่อ 7 พฤษภาคม 2567 00:39
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv