ทศชาติชาดก
เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี
ตอนที่ 170
 
 

    จากตอนที่แล้ว พระเจ้าจุลนีทรงรับสั่งให้พระนางสลากเทวีพระราชมารดา พระนางนันทาเทวีพระอัครมเหสี พระราชกุมารปัญจาลจันทะ และพระราชธิดาปัญจาลจันที ประทับอยู่ภายในพระตำหนักเดียวกันทั้งสี่พระองค์ ครั้นทรงหมดห่วงแล้ว พระองค์จึงเสด็จเข้าสมทบกับกองทัพใหญ่ ทันทีที่ยกกองทัพใหญ่มาถึงที่หมาย ทรงมีรับสั่งให้แม่ทัพนายกอง นำกำลังเข้าล้อมพระนครนั้นไว้อย่างแน่นหนา

    ข่าวที่พระเจ้าจุลนีจะทรงยกทัพมาล้อมพระนครนั้น มโหสถทราบมาก่อนแล้ว มโหสถบัณฑิตจึงได้เรียกทหารมา 300นาย แล้วสั่งว่า “พวกท่านจงไปจับพระราชมารดา พระมเหสี พระราชโอรสและพระราชธิดาของพระเจ้าจุลนีมา แล้วนำเสด็จมาสู่โรงใหญ่ภายในอุโมงค์ เมื่อเราไปถึงแล้ว จึงค่อยนำไปพักที่ห้องโถงใกล้ประตูอุโมงค์ใหญ่ ขออย่าให้พลาดเป็นอันขาด”

    ทหารเหล่านั้นรับคำสั่งแล้ว ก็พากันเดินทางไปตามอุโมงค์เล็ก กระทั่งมาถึงประตูกระดานไม้ซึ่งรองบันไดพระราชวังไว้ ก็ช่วยกันเปิดออก แล้วจึงกรูกันเข้าไปภายในพระตำหนัก จัดการมัดมือมัดเท้ายามเฝ้าประตูทุกจุด พร้อมกับเอาผ้ามามัดปิดปากไว้มิให้ส่งเสียง ตลอดจนนางสนมกำนัล ก่อนที่จะนำไปรวมกันไว้ในห้องมืดห้องหนึ่งในพระราชวัง จากนั้นก็เข้าไปจัดการเครื่องเสวยที่จัดไว้ถวายพระเจ้าจุลนี กินทิ้งกินขว้างจนอิ่มแปล้ แล้วก็ทำลายถ้วยโถโอชามจนแหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี แล้วจึงพากันขึ้นสู่ชั้นบนของพระมหาปราสาทเพื่อจับตัวพระนางสลากเทวี พระนางนันทาเทวี พระราชบุตร และพระราชธิดา ทั้งสี่พระองค์

    ขณะนั้น พระนางสลากเทวีทรงชวนให้พระนางนันทาเทวี พระราชบุตร พระราชธิดา มาบรรทมร่วมกับพระนางในห้องเดียวกัน เพราะทรงดำริว่า “ใครจะไปรู้ได้ว่าเหตุการณ์เบื้องหน้าจะเกิดอะไรขึ้น”
 
    ทันใดนั้น ทหารหน่วยจู่โจมตามคำสั่งของมโหสถบัณฑิต ก็ขึ้นไปเคาะประตูร้องเรียกพระนางเหมือนว่ามีธุระสำคัญเร่งด่วน พระนางสลากเทวีสดับเสียงเคาะประตูดังรัวผิดปกติ ก็ทรงดำริว่า “ข้างนอกคงจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเป็นแน่”

    พระนางทรงลุกจากพระแท่น เปิดพระทวารเสด็จออกมาตรัสถามทหารเหล่านั้นว่า “พวกเจ้ามีธุระอะไรหรือ”

    ทหารเหล่านั้นแสร้งทูลว่า “ข้าแต่พระเทวี พระราชาจุลนีทรงมอบหมายให้พวกข้าพระพุทธเจ้านำข่าวดีมาทูลให้พระนางทราบ พระเจ้าข้า”

    “ข่าวดีอะไร เจ้าจงว่าไปซิ” พระนางตรัสซัก

    “บัดนี้ พระอธิราชจุลนีฆ่าพระเจ้าวิเทหราชกับมโหสถได้แล้ว พระองค์พร้อมด้วยพระราชาทั้งหมดจึงได้นัดหมายจะดื่มฉลองชัยบานกันเพื่อประกาศความยิ่งใหญ่เหนือสกลชมพูทวีป ดังนั้น จึงได้ส่งพวกข้าพระองค์มา เพื่อนำเสด็จพระองค์พร้อมด้วยพระนางเจ้านันทาเทวีและพระราชโอรสพระราชธิดาไปสู่มณฑลพิธี เพื่อร่วมฉลองความสำเร็จในครั้งนี้ด้วยกัน พระเจ้าข้า”
 
    ถึงแม้พระนางสลากเทวี จะทรงมีปรีชาหลักแหลมเพียงใด แต่เมื่อถูกแผนลวงของมโหสถซ้อนกลเข้า พระนางก็ทรงตกหลุมพรางจนได้ พระนางสดับดังนั้น ก็ทรงเชื่อทันทีโดยไม่ทรงลังเลพระทัย รับสั่งชวนพระสุณิสาและพระนัดดาให้เสด็จไปยังมณฑลพิธีตามคำทูลเชิญของพระเจ้าจุลนีทันที

    เมื่อทหารเหล่านั้น นำเสด็จกษัตริย์ทั้งสี่พระองค์มาถึงเชิงบันได ก็ช่วยกันเปิดปากประตูอุโมงค์ แล้วทูลเชิญให้เสด็จพระดำเนินไปตามเส้นทางนั้น เมื่อเสด็จเข้าไปสู่ภายในอุโมงค์แล้ว พระนางทอดพระเนตรเห็นทางลับนั้น ก็ทรงมีพระทัยพิศวงยิ่งนัก ถึงกับทรงปรารภขึ้นว่า “เอ...ชอบกลอยู่นะ เราอยู่ที่นี่มานาน ตั้งแต่เกิดมาจนแก่ปูนนี้ ก็ยังไม่เคยลงมาตามทางนี้เลย”

    ทหารของมโหสถก็รีบทูลแก้ว่า “ข้าแต่พระแม่เจ้า อุโมงค์นี้ชื่อว่ามงคลวิถี เป็นทางลับพิเศษที่มิได้เปิดใช้ตลอดเวลานะ พระเจ้าข้า เฉพาะวันมงคลเท่านั้นจึงจะเปิดใช้สักคราวหนึ่ง ก็วันนี้นับเป็นวันมงคลโดยแท้ เจ้าเหนือหัวจุลนีจึงมีรับสั่งให้พวกข้าพระบาทนำเสด็จพระองค์โดยทางอุโมงค์นี้ พระเจ้าข้า”

    พระนางสลากเทวีทรงสดับแล้ว ก็ทรงเชื่อว่าเป็นจริงตามนั้น เพราะว่าพระนางมิได้ทรงมายุ่งเกี่ยวกับการบริหารบ้านเมือง จึงไม่ทรงทราบข้อมูลที่เกิดขึ้นในพระนคร

    ครั้นเดินไปตามอุโมงค์ได้สักหน่อยหนึ่ง ทหารเหล่านั้นก็แยกออกเป็นสองพวก พวกหนึ่งคุมกษัตริย์ทั้งสี่พระองค์ไปตามทางนั้น ส่วนอีกพวกหนึ่งได้เดินย้อนกลับไปยังพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าจุลนี งัดพระคลังซึ่งเป็นที่เก็บรัตนะนานาชนิดๆ ซึ่งประมาณค่ามิได้ แล้วขนไปตามความปรารถนา

    ในระหว่างที่เสด็จพระดำเนิน ผ่านเส้นทางอุโมงค์อันมีนามว่า มงคลวิถี ตามที่ทหารกราบทูล กษัตริย์ทั้งสี่พระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรภายในอุโมงค์ใหญ่แล้ว ก็ทรงสำคัญว่ามงคลวิถีนี้คงจะจัดไว้สำหรับพระราชาจริงๆ เพราะตลอดเส้นทางได้รับการตกแต่งประดับประดาอย่างสวยสดงดงาม ราวกับชะลอเทวสภามาแต่สรวงสวรรค์ ทุกพระองค์จึงเสด็จพระดำเนินไปตามอุโมงค์นั้นด้วยความรื่นเริงพระทัย

    เมื่อนำเสด็จไปใกล้ประตูทางออก ซึ่งอยู่ไม่ไกลฝั่งแม่น้ำคงคาเท่าใดนัก ทหารเหล่านั้นก็ทูลเชิญกษัตริย์เหล่านั้นให้ประทับพักผ่อนภายในห้องโถง ให้ทหารส่วนหนึ่งคอยเฝ้าอยู่ภายนอกห้องโถง อีกพวกหนึ่งก็นำความไปรายงานให้มโหสถบัณฑิตทราบ

    เมื่อมโหสถบัณฑิต รู้ว่าภารกิจสำคัญสำเร็จลงแล้วด้วยดี ก็พลอยโล่งใจ ขณะเดียวกัน ก็มีความปลื้มใจลึกๆว่า “บัดนี้ ความปรารถนาของเราจักถึงที่สุดแน่”

    ความเป็นผู้มีปัญญามาก ทำให้สามารถวางแผนงานตามลำดับได้เป็นขั้นเป็นตอน อีกทั้งมีความอดทนไม่ย่อท้อต้องอุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้น มุ่งหน้าทำงานด้วยปฏิภาณ มีไหวพริบ ตัดสินใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ฉับไว และอีกเพียงไม่นานความปรารถนาของมโหสถบัณฑิตที่ตั้งใจไว้ว่า จะถวายความจงรักภักดีต่อเหนือหัวยิ่งด้วยชีวิต โดยทำความปรารถนาของพระเจ้าวิเทหราชให้สำเร็จนั้นใกล้เข้ามาแล้ว
 
    ครั้นแล้ว มโหสถบัณฑิตจึงไปสู่ที่ประทับ เพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าวิเทหราช ส่วนว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
 
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita170.html
เมื่อ 30 เมษายน 2567 18:40
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv