ทศชาติชาดก
เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี
ตอนที่ 172
 
 

    จากตอนที่แล้ว พระเจ้าวิเทหราชเสด็จลุกจากพระราชบัลลังก์ ผินพระพักตร์ไปยังช่องพระแกล ทำให้พระองค์ถึงกับทรงตกพระทัย เพราะบัดนี้ได้ถูกกองทัพมหึมาล้อมกำแพงพระนครไว้แล้วโดยรอบ

    อาจารย์เสนกะจึงกราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์อย่าได้ทรงวิตกไปเลย พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ว่าคงเป็นกองพลที่ติดตามอารักขาขบวนเสด็จของพระราชธิดานั่นแหละ พระเจ้าจุลนีคงมีพระประสงค์จะถวายความคารวะ และกระทำสักการะแด่พระองค์ในฐานะพระราชอาคันตุกะให้ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติกระมัง”
 
    ซึ่งอาจารย์ที่เหลือ ก็กราบทูลเหมือนกันในทำนองนี้ ระหว่างนั้นเสียงบัญชาการรบของแม่ทัพนายกอง ก็ดังสนั่นก้องกังวานเข้าไปถึงที่ประทับของพระเจ้าวิเทหราช พระองค์ทรงสดับเสียงบัญชาการทัพนั้น ก็ทรงหวาดหวั่นพระหทัย รีบรับสั่งถามมโหสถบัณฑิตว่า “พ่อมโหสถ เธอเข้าใจว่าอย่างไร พระเจ้าจุลนีและเสนาเหล่านั้น กำลังเตรียมจะทำการอะไรกันหรือ”

    มโหสถได้ฟังพระดำรัสแล้ว จึงคิดว่า “ก่อนนี้พระราชาไม่ทรงเชื่อถ้อยคำของเราเลย เอาเถิด คราวนี้เราจะต้องข่มขู่พระองค์ให้ทรงเสียวสะดุ้งสักหน่อย พระองค์จะได้ทรงสำนึกบ้าง”
 
    จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ พระเจ้าจุลนีทรงยกทัพใหญ่มาล้อมพระนครไว้ ก็ด้วยหมายจะจับพระองค์ แล้วปลงพระชนม์เสียในวันพรุ่งนี้แหละ พระเจ้าข้า”
 
    คำกราบบังคมทูลที่สั้นๆ หนักแน่น และจริงจังของมโหสถบัณฑิต ทำให้พระเจ้าวิเทหราชนั้นทรงตกพระทัยกลัวจนแทบครองพระสติไม่อยู่ เกิดความเร่าร้อนในพระสรีระกาย จนปราณแทบจะดับลงในทันที จึงทรงครวญคร่ำรำพันไปต่างๆนานาว่า “มโหสถเอ๋ย ใจของเราเสียวสั่น สะท้านไหว เหมือนใบโพธิ์ที่ต้องลม บัดนี้ความเร่าร้อนได้เผาลนจิตใจของเราจวนเจียนจะละลาย เหมือนเบ้าหลอมทองที่ถูกสุมอยู่ในเตา ใบหน้าของเราซีดเซียว ปากก็แห้งผากราวกับถูกแดดแผดเผาในยามเที่ยงวัน โถ...ชะตาชีวิตของเราไม่น่าจะต้องมาประสบทุกข์ภัยเห็นปานนี้เลย”

    มโหสถได้ฟังดังนั้น จึงคิดว่า “ดูเถิด...พระราชาพระองค์นี้ช่างขลาดเขลานัก พระองค์ไม่ทรงเชื่อเราแต่แรก แล้วบัดนี้กลับต้องมานั่งคร่ำครวญเพราะทรงกลัวตาย ดีล่ะ…เราจักข่มพระองค์ให้ยิ่งกว่านี้ พระองค์จะได้ทรงเข็ดหลาบ และไม่ทำอย่างนี้อีก”

    คิดดังนี้แล้ว มโหสถจึงกราบทูลต่อไปว่า “ขอเดชะ พระองค์ทรงประมาทเกินไป พระเจ้าข้า พระองค์ทรงระลึกได้หรือไม่ว่า ก่อนจะเสด็จมาที่นี่ ใครเล่าที่เคยทูลห้ามพระองค์ไว้ แต่ช่างเถิด เพราะบัดนี้พระองค์ก็ยังเหลือราชบัณฑิตอยู่เคียงข้างอยู่ถึงสี่คน ฉะนั้นขอพระองค์ได้โปรดรับสั่งให้อาจารย์ทั้งสี่ผู้ฉลาดรอบคอบ หาทางป้องกันภัยที่กำลังจะมาถึงพระองค์เถิด พระพุทธเจ้าข้า”

    พระเจ้าวิเทหราชได้แต่ทรงนิ่ง สดับคำทูลของมโหสถโดยมิได้ตรัสตอบสิ่งใดเลย แต่พระพักตร์นั้นแลดูยิ่งเศร้าหมองกว่าเดิม

    มโหสถทูลต่อไปว่า “ปลากลืนกินเหยื่อที่พรานเบ็ดล่อไว้ ย่อมถูกตะขอเบ็ดเกี่ยว ต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานปานใด พระองค์ก็ฉันนั้น พระองค์เป็นผู้มัวเมาในกาม จึงทรงเห็นผิดเป็นชอบ ทรงลุ่มหลงพระราชธิดาของพระเจ้าจุลนีจนไม่ลืมหูลืมตา แม้ข้าพระองค์จะทูลทัดทานว่าอย่าเสด็จไปเลย ภยันตรายใหญ่หลวงกำลังรอคอยพระองค์อยู่ แต่พระองค์ก็ไม่ทรงเชื่อ จะทรงยับยั้งพระทัยสักนิดก็ไม่มี ก็บัดนี้เป็นอย่างไร พระองค์กลับทรงดิ้นรนหาความตายเสียเอง ไม่ต่างอะไรกับกวางหนุ่มที่เดินตามนางเนื้อเข้าไปถึงแนวธนูของพรานเนื้อ มันจะรอดพ้นลูกศรของนายพรานไปได้อย่างไร...

    อีกอย่าง พราหมณ์โฉดชั่วอย่างเกวัฏนั่น พระองค์ก็ไม่ควรผูกมิตรไมตรีด้วยเลย บัณฑิตผู้มีปัญญาย่อมจะไม่ผูกมิตรกับคนที่ไร้คุณธรรมเช่นนั้นเป็นอันขาด เพราะการคบคนเช่นนั้นรังแต่จะนำความทุกข์มาให้ เหมือนนำงูพิษมาใส่ไว้ในชายพก ก็ย่อมจะถูกงูนั้นแว้งกัดเข้าจนได้...

    ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท พระองค์ทรงหลงคารมศัตรู ทรงเห็นดีเห็นงามไปตามคำของเกวัฏชั่ว พระองค์ทรงกริ้วข้าพระองค์ถึงกับทรงพูดประชดว่า ข้าพระองค์เป็นเพียงลูกบ้านนอก รู้แต่วิธีจับคันไถและดำนา ที่ไหนจะทราบเรื่องที่เป็นมงคลของกษัตริย์

    พระองค์ทรงจำได้หรือไม่ วันนั้นพระองค์มิใช่หรือที่สั่งให้ขับไล่ข้าพระองค์ออกไปเสียจากแว่นแคว้น เพียงเพราะข้าพระองค์พูดจาไม่เป็นมงคล ขัดขวางเรื่องที่พระองค์จะได้ครองนางแก้ว แต่แล้ววันนี้เป็นอย่างไร ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ข้าพระองค์ทูลไว้ไม่มีผิด พระองค์ถูกกองทัพศัตรูล้อมไว้แล้วจริงๆ และคงไม่มีวันรอดพ้นเงื้อมมือของพระเจ้าจุลนีไปได้

    พระองค์อย่าทรงชักช้าอยู่เลย ขอจงพึ่งพาอาศัยราชบัณฑิตทั้งสี่ของพระองค์ดูเถิด เผื่อว่าจะพอมีทางรอดได้บ้าง ไฉนพระองค์จึงต้องตรัสถามข้าพระองค์ให้เสียเวลาด้วยเล่า ก็บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าไม่จำเป็นต้องกราบทูลอะไรอีกแล้ว พระพุทธเจ้าข้า”

    นี้เป็นความในใจของมโหสถบัณฑิต ที่ตั้งใจจะเตือนสติพระเจ้าวิเทหราช ซึ่งทำให้พระองค์ระลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดว่า การที่พระองค์จักทรงตัดสินพระทัยอะไรสักอย่างหนึ่งมิใช่ว่าจะมองแต่ได้อย่างเดียว แต่ให้มองลึกลงไปกว่านั้นว่ามีอะไรแอบแฝงหรือไม่ ให้มองถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าด้วย จะได้ไม่ต้องมาลำบากภายหลัง เหมือนดังที่พระองค์กำลังทรงหวาดผวาต่อมรณภัยที่จะเกิดขึ้น

    พระเจ้าวิเทหราช สดับคำทูลของมโหสถแล้ว ก็ทรงดำริว่า “คำพูดของมโหสถช่างทิ่มแทงใจเราเหลือเกิน แต่ที่เธอพูดมาทั้งหมดก็ล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น เห็นทีมโหสถคงรู้ภัยในอนาคตที่จะเกิดขึ้นแล้วเป็นแน่ ถึงได้กล่าวทับถมเราถึงเพียงนี้ แต่มโหสถจงรักภักดีต่อเราตลอดมา เขาคงไม่ปล่อยให้เราถึงกับต้องพินาศแน่ และคงได้เตรียมหาทางป้องกันทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว เราต้องลองเลียบเคียงถามเขาดู”

    พระเจ้าวิเทหราชจึงตรัสว่า “พ่อมโหสถ เรื่องที่แล้วมาแล้ว ก็ให้มันแล้วไปเถิด เธออย่าได้ทิ่มแทงกันนักเลย เธอจะตำหนิเราเหมือนทิ่มแทงด้วยเหล็กแหลมทำไมกัน หากเธอเห็นทางรอดที่จะช่วยให้เราพ้นภัยในครั้งนี้ ก็ขอให้บอกแก่เราด้วยเถิด”

    ก่อนที่มโหสถบัณฑิต จะบอกอุบายของตนให้แด่พระเจ้าวิเทหราชทรงทราบนั้น มโหสถยังมีความปรารถนาที่จะเตือนสติพระเจ้าวิเทหราชให้เข้าไปติดแน่นอยู่ในพระทัยชนิดถาวร โดยไม่ให้หลงคารมของคนชั่วอีกต่อไป มโหสถจะมีวิธีการอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
 
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita172.html
เมื่อ 7 พฤษภาคม 2567 06:50
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv