ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  สุวรรณสาม   ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี  ตอนที่ 10
 

        จากตอนที่แล้ว สุวรรณสามโพธิสัตว์ได้ออกตามหาบิดามารดา โดยมุ่งเดินไปตามทางที่ฤษีทั้งสองไป จนกระทั่งได้มาพบฤษีทั้งสองกำลังยืนหนาวสั่นอยู่  จึงวิ่งเข้าไปหา แต่ก็ถูกมารดาห้ามไว้เสียก่อนว่า  อย่ารีบเข้ามา ตรงนี้มีอันตราย  เมื่อตอนที่ฝนตก พ่อกับแม่ยืนหลบฝนอยู่ แต่จู่ๆ ดวงตาของพ่อกับแม่ก็มองไม่เห็น
 
        พระโพธิสัตว์ได้สดับเพียงเท่านี้ ก็รู้ว่า มีอสรพิษร้ายอาศัยอยู่ในจอมปลวกเป็นแน่ มันคงจะขัดเคืองท่านทั้งสอง จึงได้พ่นลมพิษออกมาทำลายดวงตาของท่าน แล้วก็รีบไปหาไม้ยาวๆ มาให้บิดามารดาจับที่ปลาย แล้วก็ได้พาบิดามารดาของตนออกมาจากบริเวณจอมปลวกแห่งนั้น    จากนั้นจึงขอตรวจดูดวงตาของท่าน ก็เห็นว่า บัดนี้ดวงตาของท่านทั้งสองบอดสนิทเสียแล้ว เกิดความสงสารขึ้นมาจับใจ ถึงกับร้องไห้  ..แต่ครั้นแล้วก็กลับหัวเราะออกมาอีก ฤษีทั้งสองเห็นอาการของบุตรผิดแปลกไปเช่นนั้นจึงถามว่า  เหตุใด เจ้าจึงร้องไห้ แล้วกลับหัวเราะเช่นนี้

        พระโพธิสัตว์ได้ตอบบิดามารดาว่า ที่ลูกร้องไห้ ก็เพราะเสียใจว่าดวงตาของท่านทั้งสองบอดเสียแล้ว ...แต่ที่หัวเราะก็ด้วยดีใจว่า เป็นโอกาสที่ลูกจะได้ปรนนิบัติดูแลพ่อกับแม่ได้เต็มที่ ขอท่านทั้งสอง โปรดวางใจเถิด นับแต่นี้ไป ลูกจะเป็นคนหาเลี้ยง จะคอยดูแลท่านทั้งสองให้ผาสุก

        เมื่อกลับถึงอาศรมแล้ว จึงนำเอาเชือกมาผูกเป็นราวจับ ผูกโยงจากอาศรม ไปยังที่พักกลางวัน ไปสู่ที่จงกรม เชื่อมโยงไปยังบรรณศาลา กระทั่งถึงสถานที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ เพื่อให้ฤษีทั้งสองจับราวเดินไปยังสถานที่ต่างๆได้โดยสะดวกและปลอดภัย 

        นับแต่นั้นมา พระโพธิสัตว์จะคอยปรนนิบัติดูแลบิดามารดาด้วยความร่าเริงเบิกบาน คราใดที่ต้องออกนอกบริเวณอาศรม แม้เพียงไปตักน้ำที่ท่าน้ำพระโพธิสัตว์ก็จะไม่ละเลย จะเข้าไปกราบลาท่านทั้งสองเพื่อมิให้เป็นห่วง     สิ่งเล็กๆ น้อยๆ อันใด หากจะเป็นเหตุให้บิดามารดาทั้งสองต้องกังวล พระโพธิสัตว์มิได้มองข้าม จะคอยถนอมน้ำใจมิให้บิดามารดาต้องกระทบกระเทือนใจเลย  ทั้งน้ำฉันน้ำใช้ มูลผลาผลนานาชนิด พระโพธิสัตว์จะจัดเตรียมไว้ให้บุพการีทั้งสองไม่เคยบกพร่อง 

        เมื่อยามอรุโณทัย พระโพธิสัตว์จะตื่นแต่เช้าตรู่ รีบลุกจากที่นอนโดยไม่อิดออด เก็บกวาดที่อยู่อาศัยของบิดามารดาจนสะอาดเรียบร้อย    จากนั้น พระโพธิสัตว์จะเข้าไปกราบเท้าบิดามารดาทั้งสอง เพื่อไปตักน้ำยังแม่
น้ำมิคสัมมตา

        ครั้นได้น้ำมา ก็จัดเตรียมน้ำฉันน้ำใช้ไว้คอยท่า แล้วจึงมาคัดสรรผลาผลที่สด  มีผลงาม และรสอร่อย จัดเรียงใส่ในภาชนะอย่างเป็นระเบียบ    แล้วบรรจงนำสิ่งของทั้งหมดน้อมเข้าไปให้บิดามารดาที่ตาบอด ให้ท่านทั้งสองได้กินและดื่มอย่างสะดวก จากนั้นจึงค่อยถึงคราวที่พระโพธิสัตว์รับประทานผลาผลต่อจากบิดามารดา   

        ครั้นให้ท่านทั้งสองคลายความหิวแล้ว ก็ให้ท่านบำเพ็ญสมณะธรรมอยู่แต่ภายในอาศรม  ส่วนพระโพธิสัตว์แวดล้อมด้วยเหล่ามฤคนานาชนิด มุ่งไปสู่ป่าเพื่อไปหาผลาผล

        ด้วยอานุภาพแห่งเมตตาธรรม ที่พระโพธิสัตว์เจริญอยู่เนืองนิตย์ ทำให้สัตว์ป่านานาชนิดทั้งเก้ง กวาง เลียงผา กระจง กระจ้อน หมู่ป่า และหมาป่า ซึ่งแต่ก่อนนั้นเคยเป็นศัตรูกันมา แต่บัดนี้ต่างละความพยาบาทเบียดเบียน ได้พากันมาแวดล้อมพระโพธิสัตว์

        แม้เหล่ากินนรกินรีผู้มีความขลาดกลัวเป็นปกติ ก็พากันละมาจากเชิงผาและเถื่อนถ้ำ มาช่วยพระโพธิสัตว์เก็บผลาผล

        ครั้นเวลาล่วงสู่ยามเย็น ได้ภักษาผลาผลเพียงพอแล้ว สุวรรณสามพระโพธิสัตว์จะกลับสู่อาศรมบท แล้วนำหม้อไปตักน้ำ นำน้ำมาต้มให้อุ่น เพื่ออาบชำระล้างร่างกายให้กับบิดามารดาทั้งสอง

        ครั้นแล้วจึงเช็ดมือเช็ดเท้าให้ท่านจนแห้งดี ก็นำกระเบื้องถ่านเพลิงมาให้ท่านผิงไออุ่น 

        จากนั้นจึงไปนำเอาผลาผลที่ตนเก็บมา บรรจงใส่ในภาชนะให้ท่านทั้งสองได้บริโภคอีกครั้ง

        พระโพธิสัตว์ปฏิบัติบำรุงบิดามารดาอย่างดีที่สุด ประหนึ่งทาสผู้ซื่อสัตย์ปรนนิบัติพระเจ้าจักรพรรดิฉะนั้น มิเคยให้ท่านทั้งสองต้องลำบากกาย ลำบากใจในเรื่องใดๆ เลยแม้แต่น้อย

        กล่าวถึงกรุงพาราณสี ในกาลนั้นได้มีมหากษัตริย์พระนามว่า ปิลยักขราช พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์หนุ่มผู้มีปรีชาสามารถยิ่ง ทรงเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธ 5 ประการ    ทั้งทรงโปรดเสวยเนื้อสัตว์ป่ามากเป็นพิเศษ ทรงติดในรสชาดจนไม่อาจยับยั้งพระองค์ให้หยุดเสวยได้ ด้วยเหตุนี้เครื่องเสวยในแต่ละมื้อจึงต้องปรุงด้วยเนื้อมฤค

        เกมกีฬาที่ทรงโปรดปรานยิ่งนักคือการล่าสัตว์ จนกระทั่งสัตว์ป่าที่มีอยู่รอบๆพระนครหายากขึ้นทุกขณะ เพราะพวกมันถูกฆ่าไม่เว้นแต่ละวัน มันจึงพากันอพยพ หนีเข้าไปในป่าลึก 

        เมื่อพ่อครัวนำความขึ้นกราบบังคมทูลว่า บัดนี้สัตว์ใหญ่ทั้งหลายได้หนีเข้าป่าลึกไปหมดแล้ว จะเหลือก็แต่สัตว์เล็กๆ จำพวกกระจง กระจ้อน กระต่าย อีเห็น และสัตว์จำพวกนก พระเจ้าปิลยักขราชได้สดับก็ทรงไม่พอพระทัย เมื่อทรงรู้ว่าพระองค์จะได้เสวยเนื้อในปริมาณที่ลดน้อยลง    เพราะความมัวเมาในรสอาหาร วันหนึ่งพระองค์จึงตัดสินพระทัยที่จะเสด็จประพาสป่าเพื่อล่าสัตว์เพียงลำพังพระองค์เดียวเท่านั้น จึงทรงมอบราชสมบัติให้พระชนนีทรงปกครองไพร่ฟ้าแทนพระองค์เป็นการชั่วคราว 

        จากนั้นพระองค์จึงผูกสอดอาวุธครบครัน แล้วเสด็จออกจากพระราชวัง บ่ายพระพักตร์มุ่งสู่หิมวันตประเทศโดยมิได้ครั่นคร้ามต่อภยันตรายนานาประการ ที่คอยอยู่ในป่าเลยแม้แต่น้อย

        พระเจ้าปิลยักขราช เสด็จรอนแรมเข้าไปในป่าลึกเพียงพระองค์เดียว เมื่อทรงหิวคราใด ก็จะทรงฆ่าสัตว์ป่า ปิ้ง ย่างแล้วเสวยเนื้อนั้นเป็นอาหาร

        วันแล้ววันเล่าที่พระองค์เสด็จท่องเที่ยวไปเพียงลำพัง ไม่ยอมเสด็จกลับสู่บ้านเมือง จนกระทั่งมาถึงแม่น้ำมิคสัมมตา ที่มีน้ำใสเย็น มีแมกไม้ร่มรื่น

        พระองค์จึงหยุดพักชั่วครู่ตรงท่าน้ำที่สุวรรณสามโพธิสัตว์มักจะลงมาตักน้ำที่ท่านี้เสมอ  ครั้นแล้วพระราชาได้ทอดพระเนตรเห็นรอยเท้าของสัตว์ป่าที่ลงมาดื่มกินน้ำที่ท่านี้จำนวนมาก จึงทรงโสมนัสพระหฤทัยยิ่งนัก ดำริที่จะทำซุ้มคอยดักยิงสัตว์อยู่ใกล้กับบริเวณนั้น 

        ครั้นแล้วจึงทรงตัดกิ่งไม้นำมาทำเป็นซุ้มกำบังพระองค์ไว้  และคอยเวลาให้สัตว์ตัวที่โชคร้ายได้เดินเข้ามาให้พระองค์ได้สังหาร แต่เส้นทางนั้นเป็นทางที่พระโพธิสัตว์จะต้องเดินผ่านลงไปตักน้ำกับสัตว์ป่าทั้งหลาย เมื่อพระราชาพบพระโพธิสัตว์ในป่าลึกเช่นนั้นเข้า จะทรงคิดและตัดสินพระทัยอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
 
โดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/suwannasam10.html
เมื่อ 26 เมษายน 2567 05:27
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv