หนุ่มซาไกขอเป็นหนึ่งในแสนรูป
โครงการอุปสมบทหมู่หนึ่งแสนรูป ทุกหมู่บ้านทั่วไทย
 
    กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูงครับ
 
    ผม...ธรรมทายาทชา ศรีสายทอง อดีตดาราหน้ากล้องจากหนังเรื่อง ซาไกยูไนเต็ด ปัจจุบันเป็นธรรมทายาทวัดควนกาหลง จังหวัดสตูลครับ ผมเป็นชาวซาไกในจังหวัดสตูล เกิดในครอบครัวชาวซาไกแท้ๆที่หมู่บ้านทับท่อง อำเภอละงู จังหวัดสตูล ซึ่งปัจจุบันมีชาวซาไกอาศัยอยู่ประมาณ 30หลังคาเรือน รวมประมาณ 50คน ส่วนใหญ่เป็นเด็กๆและวัยรุ่นยุคใหม่ หรือจะเรียกว่า ซาไกโมเดิร์น ก็ได้ครับ เพราะวัยรุ่นอย่างพวกผมนุ่งกางเกงยีนส์กันมานานหลายปีแล้ว มันเท่ไม่น้อยนะครับ ที่ชาวซาไกสีผิวเข้มดำขลับ ผมหยิกอย่างกับฝอยขัดหม้อ หล่อเหมือนคุณโฮเวิร์ดที่มาจากแอฟริกาใต้ แล้วมานุ่งยีนส์สีน้ำเงิน
 
    สมัยที่เขาทำหนังเรื่อง ซาไกยูไนเต็ด ต้องใช้ชาวซาไกจากหลายหมู่บ้าน ทั้งหมู่บ้านซาไกของผม และหมู่บ้านซาไกที่ธารโต จังหวัดยะลา ตอนถ่ายหนังเรื่องนี้ ผมอยู่ในฉากปีนต้นไปไม้ซึ่งสูงประมาณ 30เมตร โดยวันนั้นผมจะใส่เสื้อสีดำ ปีนอยู่คนล่างสุดครับ ไอ้เรื่องปีนต้นไม้เพื่อความสนุกสนาน มันเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยสำหรับพวกผมครับ แต่ไอ้เรื่องปีนอย่างอื่นเพื่อลักเล็กขโมยน้อย มันเป็นเรื่องยากสำหรับพวกผมครับ เป็นสิ่งที่พวกผมไม่ทำกัน เพราะมันทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อนในภายหลัง
 
    ส่วนเรื่องเหล้าและบุหรี่นั้น ผมเคยสูบมันบ้างตอนเพื่อนชวน แต่ก็ไม่ชอบเลยครับ ชอบน้ำแดงใส่น้ำแข็งมากกว่า ส่วนเรื่องยาเสพติดทั้งหลายนั้น พวกผมยิ่งไม่เข้าใกล้ เพราะไม่รู้จักครับ วันที่ผมเข้ามาสมัครบวช
 
พระอาจารย์ที่วัดควนกาหลงถามผมว่า “เคยเสพยาเสพติดอะไรบ้างไหม”
ผมฟังท่านถามแล้วงงไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบท่านไปว่า “ผมไม่รู้จักว่ายาเสพติดมันคืออะไร” เพราะผมไม่รู้จักจริงๆครับ

    การที่หนุ่มซาไกอย่างผมได้มีโอกาสมาบวชรุ่นแสนรูปครั้งนี้ เพราะได้กัลยาณมิตรแสนดีอย่างป้าบล (กัลยาณมิตรละม้าย ไชยงาม) กับลุงไข่ (กัลยาณมิตรนพพร เพชรรัตน์) ที่ตั้งใจมาที่หมู่บ้านของผม เพื่อมาชวนญาติของผมบวชครับ แต่ญาติของผมอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง ซึ่งต้องเดินเท้าเปล่าข้ามเขาเพื่อไปหา ผมจึงอาสาไปตามให้ คืนนั้นผมเดินเท้าเปล่าเข้าป่าเพื่อไปแจ้งข่าวบวชพระแสนรูปให้ญาติของผม ระหว่างทางที่เดินไปนั้น ผมก็คิดๆไว้ว่า “เราน่าจะบวชเอาบุญให้แม่ให้พ่อสักครั้งเหมือนกันนะ”
 
    เมื่อผมเดินไปพบญาติที่พัทลุง ทำให้ทราบว่า เขาไม่พร้อมที่จะบวชเสียแล้ว ผมจึงเดินข้ามเขาลูกเดิมกลับมาสตูลเพื่อแจ้งป้าบลว่า ญาติคนที่ให้ไปตามเขาไม่บวชแล้ว ป้าบลจึงกลับไป ก่อนกลับก็บอกว่า “หากมีใครอยากบวชให้โทรศัพท์มาบอก ป้าจะมารับทันที”
 
    หลังจากป้าบลไปแล้ว ผมใช้เวลาคิดอยู่พักหนึ่ง จึงตัดสินใจว่า จะบวชตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงดู และยอมทำบาปกรรมหลายอย่างเพื่อผมและพี่น้องมาตลอด ตัดสินใจแล้วก็ได้แจ้งข่าวให้พ่อแม่และคนรอบข้างทราบโดยทั่วกัน ทุกคนก็เห็นด้วย พอเจอเฒ่าเสน ศรีสายทอง ซึ่งเป็นกำนันชาวซาไก ผมก็บอกว่า “ผมจะบวชนะ” เฒ่าเสนบอกว่า ถ้าผมบวช เฒ่าเสนก็จะตามมาบวชด้วย
 
 
    รุ่งขึ้นอีกวัน ป้าบลก็มารับผมและพาไปหานายอำเภอ คือ นายอำเภอพิสิฐ ตั้งปอง เพื่อเซ็นรับรองการบวชให้ผม เนื่องจากผมไม่มีสูจิบัตรแจ้งเกิดเหมือนคนไทยทั่วไป และผมก็ไม่รู้ว่าอายุผมเท่าไหร่ด้วย เพราะตอนวันเกิดนั้น คุณพ่อกับคุณแม่ไม่ได้ไปแจ้งให้ทางอำเภอทราบ แต่หากถามว่าผมอายุเท่าไหร่ ครบบวชจริงหรือ ก็ต้องบอกว่า ครบครับ คนรอบข้างก็คาดคะเนว่าผมน่าจะอายุประมาณ 21-24ปี นายอำเภอใจดีและดีใจมากที่ผมจะบวช ท่านชื่นชมพูดคุยเรื่องราวดีๆให้ผมและน้องฟังมากมาย
 
 
    จากนั้น ผมก็เดินทางไปที่วัดควนกาหลง พระอาจารย์และพระพี่เลี้ยงที่นี่ได้ให้การต้อนรับผมด้วยไมตรีจิตร พูดคุยด้วยความเป็นกันเอง ท่านแนะนำสิ่งต่างๆที่ควรทราบ แล้วก็ทำพิธีปลงผมให้ เมื่อถึงเวลา ญาติๆและกลุ่มของป้าบลก็มาร่วมพิธีตัดปอยผม ตอนกำลังปลงผมมันเป็นความรู้สึกที่ดีมากเหมือนเรากำลังมีชีวิตใหม่ที่บริสุทธิ์กว่าเดิม ปลงผมเสร็จแล้วก็ได้ความรู้สึกโล่งๆเบาๆบนศีรษะดีครับ
 
 
    รุ่งขึ้นอีกวัน ผมก็ได้พบกับเฒ่าเสน ที่รักษาสัญญาและเดินทางมาถึงวัดควนกาหลง แกมีท่าทางดีใจมากที่ได้เจอผมในรูปโฉมแปลกใหม่ที่ไม่มีผม ส่วนของแกก็มีทรงผมที่คล้ายๆจะเตรียมบวชมานานแล้ว ดังนั้นการปลงผมให้เฒ่าเสนจึงเป็นเรื่องไม่ยากนัก เฒ่าเสนเกิดในป่าลึกเหมือนๆกับชาวซาไกรุ่นแรกๆ มีอายุราวๆ 60ปีเศษ มีรูปร่างเล็กกะทัดรัด เป็นคนอารมณ์ดีมาก เฒ่าเสนมีความตั้งใจในการมาบวชครั้งนี้มาก พอรู้ว่าผมเดินทางมาวัดควนกาหลงแล้ว แกก็รอคอยคนมารับอย่างใจจดใจจ่อทีเดียว
 
 
    ที่ผ่านมาตลอดชีวิต เฒ่าเสนใช้ชีวิตแบบชาวซาไกแท้ๆ คือ อยู่แต่ในป่าลึกเป็นหลัก คอยหาของป่ามากินประทังชีวิต เช่น หัวมัน หัวเผือก เป็นต้น บ่อยครั้งที่ต้องล่าสัตว์เป็นอาหาร โดยใช้เครื่องมือจับสัตว์ที่เรียกกันว่า บอกตุด ซึ่งมีลักษณะเป็นกระบอกไม้ไผ่ยาวประมาณสองเมตร แล้วใช้ลูกดอกอาบยาพิษที่ทำมาจากยางไม้ชนิดหนึ่ง เล็งแล้วเป่าไปยังสัตว์ที่จะล่า เช่น หมูป่า  ค่าง มูสัง1 หมูดิน หากไม่ทำก็ไม่มีอะไรจะกิน และหลายครั้งที่ผ่านมา เมื่อหามันหาเผือกหรือล่าสัตว์ไม่ได้ ก็ไม่มีอะไรจะกินจริงๆ
 
1 อีเห็น (ปักษ์ใต้เรียก มูสัง)
 
    ชีวิตของชาวซาไกอย่างพวกผม จึงค่อนข้างลำบากไม่น้อย ที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกในยุคโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน แต่สิ่งที่ผมและเฒ่าเสนภาคภูมิใจ และได้ปรับตัวให้เข้ากับโลกได้อย่างทันท่วงที และอินเทรนด์ไม่แพ้ใครๆในโลก ก็คือการได้มาบวชในโครงการบวชพระหนึ่งแสนรูป ทุกหมู่บ้านทั่วไทยนี่แหละครับ
 
    ชีวิตความเป็นอยู่ของผมที่นี่ แตกต่างจากชีวิตชาวซาไกในป่าของผมอย่างสิ้นเชิง ต้องตื่นแต่เช้า เข้าแถว สวดมนต์ และทำกิจกรรมอีกหลายอย่างที่พระอาจารย์วางเอาไว้ ผมว่าแบบนี้มันเข้าท่าดีนะครับ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ถึงเวลาก็มีอาหารมาให้ทาน ไม่ต้องคอยหากินเองแบบเมื่อก่อน กิจกรรมที่ผมชอบที่สุดในการมาเป็นธรรมทายาท คือ การนั่งสมาธิครับ เพราะผมรู้สึกว่านั่งแล้วได้ความสงบดี ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย เวลาผมนั่งสมาธิ ผมชอบที่จะนึกลูกแก้วใสๆเอาไว้ที่กลางท้อง ตอนแรกนึกได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่นึกไปนึกมาก็เห็นขึ้นมาครับ ใจสบาย สบายใจ มากครับ
 
    อีกกิจกรรมหนึ่งที่ผมตั้งหน้าตั้งตารอคอยก็คือ การเดินธุดงค์ครับ ผมอยากเดินแบกกลด แล้วไปพักใต้ต้นไม้ใหญ่ๆที่มีลมพัดโชยร่มรื่น นั่งหลับตาสบายๆใต้ต้นไม้นั้น มันเป็นอะไรที่ผมตั้งใจไว้ตั้งแต่เด็กตอนที่เห็นพระธุดงค์ในป่าครับ
 
 
    สุดท้ายนี้ กระผมขอกราบแทบเท้าขอบพระคุณพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูง ที่จัดโครงการดีๆอย่างนี้ขึ้น ทำให้ผมและเฒ่าเสน รวมทั้งเพื่อนๆได้มีโอกาสเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนดีมากขึ้น ผมจะตั้งใจฝึกฝนอบรมตนเองและตั้งใจนั่งสมาธิ จะได้บวชเอาบุญให้กับพ่อแม่และญาติๆของผมให้เต็มที่ครับ และครั้งหน้าผมจะไปชวนคนในหมู่บ้านมาบวชให้ได้เยอะๆอย่างแน่นอนครับ
 
กราบนมัสการด้วยความเคารอย่างสูง
ธรรมทายาทชา ศรีสายทอง
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/latest_update/หนุ่มซาไกขอเป็นหนึ่งในแสนรูป.html
เมื่อ 24 พฤษภาคม 2567 03:22
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv