ความเดิมจากตอนที่แล้ว... ในกาลนี้เอง กล่าวคือ ช่วงรุ่งอรุณที่แสงแห่งดวงตะวันได้สาดแสงสีทองส่องอร่ามงดงามไปทั่วท้องฟ้า พระอชิตพราหมณ์บรมโพธิสัตว์ หรือพระศรีอริยเมตไตรย์ จักได้บรรลุอาสวักขยญาณ สามารถทำลายกิเลสอาสวะให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษเป็นสมุทเฉทปหาน ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ในที่สุด
สำหรับรูปร่างลักษณะของพระศรีอริยเมตไตรย์นั้น สามารถกล่าวสรุปโดยคร่าวๆได้ดังนี้ คือ พระองค์จักทรงมีลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทั้ง 32
-ประการ โดยพระวรกายของพระองค์จะสูงถึง 88
-ศอก (หรือ 44
-เมตร)
-อีกทั้งพระองค์จะทรงมีพระชนมายุถึง 80,000 ปี
ภายหลังจากที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า “พระศรีอริยเมตไตรย์”-บังเกิดขึ้นบนโลก มนุษย์ทุกคนบนโลกจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนดวงตะวันที่มีดวงเดียว ด้วยพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาแห่งปัญญาและเหตุผล (พูดง่ายๆว่า...ในช่วงนั้น ลัทธิความเชื่อต่างๆ ที่เลื่อนลอยและไม่ค่อยจะมีเหตุผล จะไม่บังเกิดขึ้นเหมือนอย่างในยุคปัจจุบัน เพราะมนุษย์ทุกคนบนโลกจะนับถือศาสนาเดียวกันนั่นก็คือ...พระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่เกิดขึ้นจากคำสอนของผู้รู้แจ้งเห็นจริง)-การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในยุคของพระศรีอริยเมตไตรย์นั้น ในความเป็นจริงแล้ว พระองค์ก็จำต้องมีทีมงานที่รู้ใจทั้งที่เป็นบรรพชิตและคฤหัสถ์ ซึ่งทำหน้าที่ประดุจพระหัตถ์ทั้งสองข้างของพระองค์ ดั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของพวกเรา
พระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า จะทรงมีพระอัครสาวกเบื้องขวาชื่อว่า “พระอโสกเถระ”-ซึ่งเป็นภิกษุผู้เป็นเลิศทางด้านดวงปัญญาที่ไม่มีพระภิกษุรูปใดมาเสมอเหมือน และมีพระอัครสาวกเบื้องซ้ายชื่อว่า “พระพรหมเทวเถระ”-ซึ่งเป็นภิกษุผู้เป็นเลิศทางด้านฤทธานุภาพหรือการแสดงฤทธิ์ที่ไม่มีพระภิกษุรูปใดมาเสมอเหมือน
นอกจากจะมีพระอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวาแล้ว พระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงมีพระอัครสาวิกาเบื้องขวาชื่อว่า “พระปทุมาเถรี”-และมีพระอัครสาวิกาเบื้องซ้ายชื่อว่า “พระสุมนาเถรี”
นอกจากพระศรีอริยเมตไตรย์ จะทรงมียอดทหารเอกแห่งกองทัพธรรมฝ่ายบรรพชิตแล้ว พระองค์ยังทรงมียอดทหารเอกแห่งกองทัพธรรมฝ่ายคฤหัสถ์อีกด้วย โดยพระองค์ทรงมีอุบาสกพุทธอุปัฏฐากที่สำคัญอยู่สองท่านด้วยกัน ท่านแรกชื่อว่า “ท่านสุทัตตคหบดี”-ส่วนท่านที่สองมีชื่อว่า “ท่านสังฆคหบดี”
ส่วนอุบาสิกาพุทธอุปัฏฐากก็มีอยู่สองท่านเช่นกัน สำหรับท่านแรกมีชื่อว่า “นางยสปวดี”-ส่วนท่านที่สองมีชื่อว่า “นางสังฆา”