ทันโลกทันธรรม
 
 
 
ตอน สัญลักษณ์สากล
 
 
     ในโลกที่ไร้พรมแดนเช่นนี้ ภาษาที่เป็นสากลนั้น จำเป็นอย่างยิ่งในการสื่อสาร แต่บางครั้งตัวภาษาเอง ความสามารถในเรื่องภาษา ไม่ว่าจะเป็นการเขียน การพูด การฟัง เป็นกำแพงในการสื่อสารเสียเอง ดังนั้นจึงเกิดสัญลักษณ์ต่างๆขึ้นมามากมาย เป็นสากล ให้คนแม้อ่านหนังสือไม่ออก ก็เข้าใจ เช่นเราเห็นสัญลักษณ์ ห้องน้ำ ก็เข้าใจแล้ว หรือว่าสัญลักษณ์ ป้ายจราจรต่างๆ การที่เราสื่อสารด้วยสัญลักษณ์อย่างนี้จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นมากขึ้นทุกวัน แต่เรื่องราวจะเป็นอย่างไร
 
กุหลาบเป็นราชินีแห่งบุพชาติทั้งมวล
    
กุหลาบเป็นราชินีแห่งบุพชาติทั้งมวล
 
     ทุกคนก็ยกย่องว่ากุหลาบเป็นราชินีแห่งบุพชาติทั้งมวล แล้วก็ยกย่องความงดงามของกุหลาบประดุจความงดงามที่สุดของสตรี ในวัฒนธรรมของชาวตะวันตกนิยมให้ดอกไม้กันในงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานเทศกาล งานรื่นเริง การขึ้นบ้านใหม่ หรือว่าได้รับการโปรโมทเลื่อนขั้น หรือแม้กระทั่งถึงรอบปีของการครบรอบนู้น รอบนี้ต่างๆ ก็ให้ดอกไม้กันเสมอ ก็เลยมีการถอดความหมาย โดยที่มองว่ากุหลาบสีแดง เป็นการสื่อ หรือแสดงความหมายของการแสดงความรัก
 
     1.สีขาวเป็นการสื่อความหมายถึงความบริสุทธิ์ ความจริงใจ แล้วก็ความสง่างาม 
     2.สีชมพู หมายถึงความประณีตแล้วก็ความสมบูรณ์ คือความเพียบพร้อมไปทุกๆด้านนั่นเอง เวลาเราให้ดอกไม้สีชมพูแก่ใคร ก็จะมีความหมายว่า เรามองเห็นเค้าว่าสมบูรณ์พร้อมทุกด้านเลย สง่างาม สมบูรณ์ ไม่มีที่ติ ถ้าเป็นกุหลาบที่หอมที่สุดคือสีเหลือง ปัจจุบันนี้
     3. กุหลาบสีเหลืองเป็นสื่อแสดงถึงมิตราภาพ แล้วก็ความห่วงใยที่เรามอบให้
     4.กุหลาบสีส้ม จะหมายถึงว่า เป็นความกระตือรือร้น และความชื่นชอบ เพราะงั้นเวลาให้กุหลาบสีส้มกับใคร เหมือนกับว่าเราแสดงออกว่า เราชื่นชมเค้าว่าเค้าเป็นคนมีไฟ มีความกระตือรือร้น มีพลัง
 
     นั่นเป็นความหมายในเรื่องของดอกไม้ ดอกกุหลาบซึ่งตอนนี้ เรากำลังเอากุหลาบมาสร้างบุญ ด้วยการเด็ดกลีบกุหลาบ แล้วก็เอาไปโปรย ต้อนรับพระธุดงค์ในโครงการพระธุดงค์ธรรมชัย ซึ่งมีพระธุดงค์ถึง 1,227 รูป เรานำสัญลักษณ์สากลเหล่านี้ มาสร้างบุญ สร้างสันติภาพ  สัญลักษณ์สากลที่เป็นสากลจริงๆ กับการเอาดอกไม้แห่งความรัก มาสร้างโลกได้อย่างไร
 
สัญลักษณ์สากลที่เป็นสากลจริงๆ กับการเอาดอกไม้แห่งความรัก
    
     เรากำลังเอากุหลาบมาสร้างบุญด้วยการนำมาดอกกุหลาบมาโปรย
ต้อนรับพระธุดงค์ในโครงการพระธุดงค์ธรรมชัยตามเส้นทางเดินธุดงค์
 
     ถ้าพูดถึงสัญลักษณ์ที่เป็นสากลจริงๆแล้ว ในความรู้สึกของอาตมานั้น เป็นความรู้สึกที่ว่าไม่ต้องอธิบายเลย คือเห็นปั๊บเข้าใจทันที แม้จะเป็นคนอยู่ขั้วโลกเหนือก็ตาม อยู่ในป่าในเขา ในป่าดงดิบก็ตาม เห็นปั๊บต้องเข้าใจ นี้จึงจะถือว่าเป็นสัญลักษณ์สากลที่แท้จริง ต่อให้สมมติเกิดมีมนุษย์ต่างดาวเข้ามาปั๊บ เห็นแล้วก็ต้องเข้าใจตรงกัน อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าสากลของจริง ถามว่าทำยังไงถึงจะได้อย่างนี้ เพราะเท่าที่เห็น แต่ละพื้นที่ แต่ละประเทศก็เข้าใจไม่ตรงกันนะ อย่างคนทิเบตจะแลบลิ้นทักทาย แต่ถ้าไปที่ประเทศอื่นแลบลิ้นนี้ก็ท่าจะแย่เหมือนกันนะ แล้วยังไงถึงจะเป็นสัญลักษณ์สากล ตอบว่าได้จริงๆ คือต้องมาจากใจ ยกตัวอย่างเช่น เห็นผู้ที่นั่งหลับตา ทำสมาธิสงบนิ่ง คือมองเห็นปั๊บ ก็สัมผัสได้ทันที ถึงความสงบเย็น
 
สมาธิสงบนิ่ง คือมองเห็นปั๊บ ก็สัมผัสได้ทันที ถึงความสงบเย็น
 
สัญลักษณ์สากลจริงๆ คือต้องมาจากใจ
 
      หรือว่าอย่างพระเจ้าอโศก ทอดพระเนตรจากช่องหน้าต่าง จากพระราชวัง เห็นสามเณรนิโคตรเดินบิณฑบาตผ่านไป ท่าทางสงบสำรวม นิ่ง เห็นปั๊บเกิดความเลื่อมใส ศรัทธา ว่า โอ หนทางที่สามเณรน้อยนี้กำลังเดินไป เป็นทางนำไปสู่ความสงบ นำไปสู่ความร่มเย็นเป็นสุขได้จริง อาตมาเองเคยมีประสบการณ์ครั้งหนึ่ง ไปประเทศจีน ไปที่อู่ไถซาน เป็นเขาที่มีวัดอยู่เยอะมาก พอไปที่นั่นปั๊บ ปรากฏว่า ไปพักที่โรงแรม เพราะที่เมืองจีน วัดเค้าไม่สะดวกให้เราพักอย่างนั้น ไปพักกับหมู่คณะที่ไป ไปเยือนกับสมาคมพุทธจีน เค้านำไป ปรากฏว่า ลงมาที่เคาน์เตอร์เพราะว่าจะเอาถุงเท้าเพราะอากาศมันหนาว จะเอามาซัก มีไกด์คนจีนพอมาถึงปั๊บ เค้าบอกว่า ขอโทษนะ สิ่งที่เราเองนุ่งห่มอยู่นี่คืออะไรเหรอ เราก็บอกว่าจีวร
 
     เหตุการณ์นี้เกิดเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ปี 2535 เค้าบอกว่า แล้วทำไมถึงนุ่งห่มอย่างนี้ ก็บอกว่าเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เค้าบอกเค้าเห็นแล้วเค้ายังไม่รู้จัก เพราะตอนนั้นประเทศจีนเพิ่งเปิดประเทศไม่นาน  ถ้าเป็นตอนนี้คนจีนรู้จักเพิ่มขึ้นมากแล้ว แต่เค้าบอกว่าเค้ารู้สึกอย่างหนึ่งว่า พอเห็นแล้ว ทำไมมีความรู้สึกสบายใจจังเลย จึงตัดสินใจยอมเสียมารยาทเข้ามาถาม แล้วเราเองกำลังเอาหมวกเอาจีวร มาซัก เพราะใช้มาหลายวันแล้วนี้นะ เค้าบอกเค้าจะขออาสาเอาไปซักได้ไหม บอกไม่เป็นไร คุณโยม ขอบคุณมาก ให้ทางเจ้าหน้าที่ ซักรีบเค้าไปจัดการดีกว่า คือเค้ามีความศรัทธาเกิดขึ้น ถึงขนาดปวารณาตัวอย่างนี้เลย เพราะสัมผัสได้ถึงสัญลักษณ์สากลคือการปฏิบัติธรรมของพระภิกษุที่นำมาซึ่งความสงบเย็น
 
     เพราะฉะนั้นสัญลักษณ์สากลที่แท้จริงต้องมาจากภายใน อย่างนี้  นี้คือในฝ่ายของผู้ที่แสดงออกนะ ในฝ่ายของพระภิกษุ แล้วถามว่าฝ่ายของโยมละ อะไรที่เป็นสัญลักษณ์สากล อาตมาคิดว่าความเคารพในพระรัตนตรัยที่เราเองแสดงออกด้วยความศรัทธา เป็นสิ่งที่คนสัมผัสได้ สมมติว่าเราเห็นคนที่กำลังพนมมือ แล้วแสดงความเคารพต่อพระรัตนตรัยอย่างอ่อนน้อม กำลังกราบ กำลังไหว้ เราสัมผัสได้ไหมเอ่ยว่าเค้ากำลังทำอะไรอยู่ พอคนเห็นปั๊บ แม้ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ก็สัมผัสได้ทันทีถึงอากัปกิริยาของอ่อนน้อมว่า โอ...กำลังแสดงความเคารพ ความเทิดทูนในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่
 
ในครั้งพุทธกาลเคยมีเหตุเกิดขึ้น ในช่วงที่พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
     ในครั้งพุทธกาล
 
       ในครั้งพุทธกาลเคยมีเหตุเกิดขึ้น ในช่วงที่พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้นำเหล่าภิกษุสงฆ์สาวกกว่า 500 รูป เดินทางไปโปรดชาวเมืองไพศาลีเมื่อครั้งที่เมืองแห่งนี้ ได้ประสบพบเจอกับภัยร้ายแรงถึง 3 อย่างในเวลาไล่เลี่ยกัน

เมืองไพศาลีเกิดภาวะทุพภิกขภัยจนทำให้ชาวเมืองต่างพากันล้มตายกันเป็นจำนวนมากเพราะความหิว
 
     เมืองไพศาลีเกิดภาวะทุพภิกขภัยจนทำให้
ชาวเมืองต่างพากันล้มตายกันเป็นจำนวนมากเพราะความหิว

เรื่องก็มีอยู่ว่า ในสมัยหนึ่งเมืองไพศาลี ซึ่งอยู่ในแคว้นวัชชี ได้เกิดภาวะทุพภิกขภัย จนเป็นเหตุทำให้พวกชาวเมืองต่างพากันล้มตายกันเป็นจำนวนมากเพราะความหิว และด้วยกลิ่นซากศพของพวกชาวเมืองที่ถูกทิ้งไว้ในเมืองแห่งนี้ จึงทำให้พวกอมนุษย์ได้เฮโลพากันเข้ามาอยู่ในเมืองไพศาลี ภายหลังจากที่พวกอมนุษย์ได้เข้ามาอยู่ในเมืองแล้ว พวกอมนุษย์ก็ได้ทำร้ายพวกชาวเมืองจนทำให้พวกชาวเมืองได้ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก เมื่อมีคนตายมากเข้าๆ ซากศพของพวกชาวเมืองจึงกลายเป็นบ่อเกิดของโรคระบาดร้ายแรง ซึ่งก็คือ อหิวาตกโรค
 
 
ชาวเมืองบางส่วนคิดว่าภัยทั้งหลายเกิดจากมนุษย์เสื่อมจากศีลธรรม 
บางส่วนคิดว่าถ้าพวกเรากระทำการบวงสรวงหรือพลีกรรมภัยทั้งหลายก็น่าจะสงบลง

     เมื่อภัยร้ายแรงทั้ง 3 อย่างเกิดขึ้นในเมืองไพศาลีแล้ว ชาวเมืองทั้งหลายจึงได้ประชุมกันเพื่อหาวิธีการแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ โดยชาวเมืองบางส่วนก็คิดว่า ภัยทั้งหลายเกิดจากมนุษย์เสื่อมจากศีลธรรม บางส่วนก็คิดว่าถ้าพวกเรากระทำการบวงสรวงหรือพลีกรรมแล้ว ภัยทั้งหลายก็น่าจะสงบลง แต่เมื่อพวกชาวเมืองเหล่านั้นทำการบวงสรวงและพลีกรรมแล้ว ภัยทั้งหลายก็ยังไม่สงบดังที่คิดเอาไว้

ชาวเมืองที่เป็นสัมมาทิฏฐิได้กล่าวว่าพระองค์เสด็จมาในที่นี้แล้ว

ชาวเมืองที่เป็นสัมมาทิฏฐิได้กล่าวว่าพระองค์เสด็จมาในที่นี้แล้ว 
ภัยทั้งหลายเหล่านี้ก็คงจะสงบลงเป็นแน่

     จนในที่สุดพวกชาวเมืองที่เป็นสัมมาทิฏฐิก็ได้กล่าวกันในทำนองที่ว่า “พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลกแล้ว พระองค์ทรงมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก และทรงแสดงธรรมเพื่อประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย เมื่อพระองค์เสด็จมาในที่นี้แล้ว ภัยทั้งหลายเหล่านี้ก็คงจะสงบลงเป็นแน่ ” ด้วยเหตุนี้เอง พวกชาวเมืองไพศาลีจึงได้เดินทางจากแคว้นของตน ไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วัดเวฬุวันมหาวิหาร เพื่อจะกราบบังคมทูลเชิญพระพุทธองค์เสด็จมาโปรดชาวเมืองไพศาลี เมื่อพระพุทธองค์ทรงฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองไพศาลีแล้ว พระพุทธองค์ก็ทรงรับอาราธนาที่จะเสด็จเดินทางไปยังเมืองไพศาลี พร้อมกับเหล่าพระภิกษุสงฆ์กว่า 500 รูป 

พระเจ้าพิมพิสารทรงมีรับสั่งให้ปรับพื้นที่ใช้เป็นเส้นทางเสด็จให้สม่ำเสมอ

พระเจ้าพิมพิสารทรงมีรับสั่งให้ปรับพื้นที่ใช้เป็นเส้นทางเสด็จให้สม่ำเสมอ
 
     และสร้างวิหารซึ่งใช้เป็นที่ประทับในทุกๆ 1 โยชน์และก่อนที่พระพุทธองค์และคณะสงฆ์กว่า 500 รูปจะเสด็จเดินทางจากวัดเวฬุวันมหาวิหาร ไปยังเมืองไพศาลีนั้น พระเจ้าพิมพิสารก็ทรงมีรับสั่งให้ปรับพื้นที่ซึ่งจะใช้เป็นเส้นทางเสด็จให้สม่ำเสมอ และสั่งให้สร้างวิหารซึ่งใช้เป็นที่ประทับในทุกๆ 1 โยชน์ 
 
เมื่อถึงวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จเดินทาง
 
เมื่อถึงวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จเดินทาง 
พระเจ้าพิมพิสารก็ทรงรับสั่งให้ตั้งขบวนรับเสด็จในทุกๆ 1 โยชน์
 
     เมื่อถึงวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จเดินทางไปพร้อมกับพระภิกษุสงฆ์สาวกกว่า 500 รูป พระเจ้าพิมพิสารก็ทรงรับสั่งให้ตั้งขบวนรับเสด็จในทุกๆ 1 โยชน์ เพื่อบูชาธรรมแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและคณะสงฆ์กว่า 500 รูปด้วยดอกไม้และของหอม โดยจัดให้มีการโปรยดอกไม้ 5 สีในระหว่างเส้นทางที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จผ่าน แล้วก็ทรงรับสั่งให้จัดขบวนธงชัย, ธงแผ่นผ้าและต้นกล้วย รวมถึงให้กั้นเศวตฉัตร 2 คันซ้อนกันแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และให้กั้นเศวตฉัตร 1 คันแด่พระภิกษุสงฆ์สาวกแต่ละรูป เมื่อขบวนเสด็จเดินจนครบ 1 โยชน์ พระเจ้าพิมพิสารก็ทรงอาราธนาให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและคณะสงฆ์กว่า 500 รูป ประทับอยู่ในวิหารและถวายมหาทานด้วยความเคารพ 
 
พระเจ้าพิมพิสารตามส่งเสด็จโดยการลุยลงไปในน้ำจนระดับน้ำลึกประมาณพระศอ
 
พระเจ้าพิมพิสารตามส่งเสด็จโดยการลุยลงไปในน้ำจนระดับน้ำลึกประมาณพระศอ

     เมื่อขบวนเสด็จของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและคณะสงฆ์กว่า 500 รูปเดินทางมาถึงฝั่งของแม่น้ำคงคา พระเจ้าพิมพิสารก็ทรงรับสั่งให้ขนานเรือ 2 ลำและสั่งให้ทำพลับพลา ซึ่งประดับประดาไปด้วยพวงดอกไม้และปูลาดอาสนะอันประณีตงดงาม จากนั้นพระเจ้าพิมพิสารก็จะตามส่งเสด็จโดยการลุยลงไปในน้ำจนระดับน้ำลึกประมาณพระศอ เมื่อขบวนเสด็จของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและคณะสงฆ์กว่า500 รูป เดินทางเข้าสู่เขตของเมืองไพศาลีแคว้นวัชชีแล้ว คณะของเจ้าลิจฉวีทั้งหลาย ก็จะทรงมารอรับเสด็จด้วยการลุยลงไปในน้ำที่ลึกประมาณพระศอ เช่นเดียวกัน หลังจากนั้น คณะของเจ้าลิจฉวีทั้งหลายก็จะทรงนำเรือเข้าสู่ฝั่ง
 
ทันทีที่พระพุทธองค์ทรงเหยียบฝั่งของแคว้นวัชชีมหาเมฆก็ตั้งขึ้นฝนโบกขรพรรษ
 
ทันทีที่พระพุทธองค์ทรงเหยียบฝั่งของแคว้นวัชชีมหาเมฆก็ตั้งขึ้น
ฝนโบกขรพรรษ ก็พลันตกลงมาพัดพาเอาซากศพทั้งหมดไหลลงสู่แม่น้ำคงคา

     และในทันทีที่พระพุทธองค์ทรงเหยียบฝั่งของแคว้นวัชชี มหาเมฆก็ตั้งขึ้น ฝนโบกขรพรรษ ก็พลันตกลงมา แล้วน้ำก็ได้พัดพาเอาซากศพทั้งหมดไหลลงสู่แม่น้ำคงคา ซึ่งก็ทำให้พื้นที่ภายในเมืองไพศาลีสะอาดสะอ้านขึ้นมาในทันที เมื่อคณะของเจ้าลิจฉวีทั้งหลายได้เห็นเหตุอัศจรรย์เช่นนั้น คณะของเจ้าลิจฉวีจึงได้ถวายการสักการะแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและคณะสงฆ์เพิ่มมากกว่าที่พระเจ้าพิมพิสาร ได้ทรงกระทำถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็น 2 เท่า
 
ทันทีที่ท้าวสักกะเทวราชและเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่มาถึง  
 
ทันทีที่ท้าวสักกะเทวราชและเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่มาถึง 
พวกอมนุษย์ต่างก็ได้พากันอพยพหนีกันแบบจ้าล่ะหวั่น

     ซึ่งการเสด็จเข้าไปสู่เมืองไพศาลีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและคณะสงฆ์กว่า 500 รูปนั้น ก็ทำให้ท้าวสักกะเทวราชและหมู่เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่อดใจไม่ไหวได้ลงมาตามเสด็จไปด้วย และในทันทีที่ท้าวสักกะเทวราชและเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่มาถึง พวกอมนุษย์ที่เข้ามาสิงอยู่ภายในเมืองต่างก็ได้พากันอพยพหนีกันแบบจ้าล่ะหวั่น 
 

พระพุทธองค์ทรงรับสั่งให้พระอานนท์เรียนรัตนสูตร

 
พระพุทธองค์ทรงรับสั่งให้พระอานนท์เรียนรัตนสูตร 
แล้วพรมน้ำพระพุทธมนต์ในระหว่างกำแพงเมืองทั้ง 3 ชั้น
 
     เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับยืนอยู่ที่บริเวณประตูเมืองไพศาลีแล้ว พระพุทธองค์ก็ทรงรับสั่งให้พระอานนท์เรียนรัตนสูตร จากนั้นก็ทรงรับสั่งให้พระอานนท์ไปกับคณะเจ้าลิจฉวีเพื่อทำพระปริตร แล้วพรมน้ำพระพุทธมนต์ในระหว่างกำแพงเมืองทั้ง 3 ชั้น หลังจากที่พระอานนท์เรียนรัตนสูตรและรับเอาบาตรศิลาจากพระพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้ว พระอานนท์ก็ได้ระลึกถึงพระพุทธคุณ แล้วก็ได้ทำพระปริตรในระหว่างกำแพงทั้ง 3 ชั้น ในทันทีที่พระอานนท์เริ่มกล่าวคาถาว่า “ ยานีธะ ภูตานิ ” หยาดน้ำพระพุทธมนต์ที่พระอานนท์ได้ประพรมลงไป ก็ได้เป็นเหมือนเทริดเงิน หรือชฎาปลายแหลม ที่พุ่งขึ้นไปบนอากาศแล้วก็ตกลงมาโดนตัวของพวกชาวเมืองที่ล้มป่วยด้วยโรคอหิวาตกโรค 

น้ำพระพุทธมนต์ที่พระอานนท์ประพรมลงไปได้พุ่งขึ้นไปบนอากาศ

น้ำพระพุทธมนต์ที่พระอานนท์ประพรมลงไปได้พุ่งขึ้นไปบนอากาศ
แล้วก็ตกลงมาโดนตัวพวกอมนุษย์ที่ยังไม่ยอมหนี
 
     และในทันใดนั้นเอง พวกชาวเมืองที่ล้มป่วยต่างก็หายจากอหิวาตกโรคในทันที และเมื่อพระอานนท์ได้กล่าวไปจนถึงบท “ ยังกิญจิ ” น้ำพระพุทธมนต์ที่พระอานนท์ประพรมลงไป ก็ได้พุ่งขึ้นไปบนอากาศแล้วก็ตกลงมาโดนตัวพวกอมนุษย์ที่ยังไม่ยอมหนี ซึ่งส่วนใหญ่จะหลบอยู่ตามกองหยากเยื่อและฝาเรือน ทันทีที่หยาดน้ำพระพุทธมนต์สัมผัสโดนตัวพวกอมนุษย์เหล่านี้ พวกอมนุษย์ที่ยังเหลืออยู่ต่างก็ทนไม่ไหวและได้พาหนีออกจากเมืองกันไปจนหมด 
 
อำนาจฤทธิ์ของพญานาค บันดารให้เกิดดอกปทุม 5 สี เต็มแม่น้ำคงคาเลย
 
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลงชาวเมืองไพศาลีกว่า 84,000 คนก็ได้มีดวงตาเห็นธรรม

     ภายหลังจากที่พวกอมนุษย์ได้หนีกันไปหมดแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงรัตนสูตรด้วยพระองค์เอง และเมื่อพระธรรมเทศนาจบลงชาวเมืองไพศาลีกว่า 84,000 คนก็ได้มีดวงตาเห็นธรรม ในครั้งนั้น พญานาคในนาคพิภพเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดบอกว่า มนุษย์ยังถวายการสักการะแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างนี้ เราต้องทำบ้าง แล้วใช้อำนาจฤทธิ์ของพญานาค บันดาลให้เกิดดอกปทุม 5 สี เต็มแม่น้ำคงคาเลย รับเสด็จพระพุทธเจ้า อาราธนาพระพุทธเจ้าให้ไปโปรดที่นาคพิภพ พระพุทธเจ้าไปประทับที่นาคพิภพ 1 คืนแสดงธรรมโปรดพญานาค แล้วเสด็จกลับมา พญานาคเนรมิตเรือขึ้นมาเต็มเลย รอรับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าฉลองศรัทธา ด้วยการเนรมิตพระพุทธเจ้าและ พระอรหันตสาวกไปประทับในเรือทุกลำ แล้วเสด็จจนถึงแม่น้ำคงคาอีกฝั่งหนึ่ง
 
     ฝ่ายเทวดา ทั้งภุมเทวา รุกขเทวา อากาสเทวา เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ชั้นดาวดึงส์ ยามา ดุสิต ไล่มาจนถึงชั้นพรหมทั้งหมด เห็นเหตุการณ์ ทั้งหมดบอกว่า นาคยังบูชาอย่างนี้ มนุษย์บูชาอย่างนี้ เราต้องบูชาบ้าง ภาษาสากลเกิดแล้วนะ นาคด้วย เทวดาด้วย พรหมด้วย ก็มาถวายการต้อนรับพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า เศวตฉัตรเอย ธงชัย ธงแผ่นผ้า เครื่องประดับเครื่องหอมทั้งหลาย เรียงรายตั้งแต่นาคพิภพ บนโลกมนุษย์ แล้วก็สวรรค์ทุกชั้น จนถึงชั้นพรหม ตลอดทั้งจักรวาล เหมือนเป็นห้องเดียวกัน คือเรียงรายตลอดด้วยเครื่องสักการะ ไม่มีช่องว่างในระหว่างเลย ถึงขนาดนั้น การต้อนรับสักการะสมาคมอันยิ่งใหญ่อย่างนี้ เกิดขึ้นในครั้งพุทธกาลเพียง 3 ครั้ง ครั้งแรกเกิดในวิมุตติ ปาฏิหารย์ พระพุทธเจ้าแสดงวิมุตติ ปาฏิหารย์ ครั้งที่ 2 ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดเทพบุตรพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
 
ครั้งที่ 2 ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดเทพบุตรพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
 
     พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดเทพบุตรพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
 
     แล้วพอออกพรรษาก็เสด็จลงมาจากดาวดึงส์ลงมาที่เมืองมนุษย์ที่ชานเมืองสังกัสสนครมีเทวดา พรหม มาส่งเสด็จเต็มเลย ชาวเมืองก็มารอรับกันมากมายมหาศาลจึงเกิดเป็นประเพณีตักบาตรเทโว  แล้วครั้งที่ 3 คือตอนที่พระองค์ไปโปรดที่เมืองไพศาลีนี้นี่เอง ฝ่ายพระเจ้าพิมพิศาลก็มารอรับ ลุยน้ำมารับที่คอเหมือนเก่า แล้วก็ส่งเสด็จพระพุทธเจ้าจนกลับเวฬุวนาราม กลับมาถึงกรุงราชคฤห์แล้วรุ่งเช้าพระภิกษุก็ไปบิณฑบาต กลับมาฉันภัตตาหารเสร็จก็นั่งสนทนากันในโรงธรรมสภา ว่า โอโห ... อำนาจพุทธานุภาพน่าอัศจรรย์ มนุษย์เตรียมการรับเสด็จขนาดนี้ ทั้งปราบแผ่นดินให้เรียบ ไม่มีหนาม ไม่มีตอ เกลี่ยทราย โปรยดอกไม้ ตั้งธงชัย ธงแผ่นผ้า เครื่องคาว ของหอม ทุกอย่างเพียบพร้อม ทั้ง 2 ฝั่ง นาคต้อนรับอย่างนี้ เทวดาต้อนรับอย่างนี้ พรหม ต้อนรับอย่างนี้ น่าอัศจรรย์เหลือเกิน กำลังคุยกันอยู่พระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมาพอดี ก็ตรัสถามว่า“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอคุยอะไรกันอยู่รึ” ภิกษุก็เล่าให้ฟัง พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสว่า”ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นด้วยพุทธานุภาพ แต่เกิดขึ้นด้วยบุญมีประมาณน้อย ที่เราตถาคตทำแล้วในอดีต” 
 
พระองค์ก็ระลึกชาติมาเล่าให้ฟัง
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงระลึกชาติหนหลัง
 
      ทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดเพราะพุทธานุภาพ แต่เกิดเพราะบุญที่พระองค์สั่งสมเอาไว้ในอดีต มีประมาณน้อย แต่ให้ผลใหญ่ขนาดนี้ ถามว่าบุญอะไรเอ่ย พระองค์ก็ระลึกชาติมาเล่าให้ฟัง ว่าในอดีต พระองค์เกิดเป็นพราหมณ์ ชื่อว่าสังกพราหมณ์ ยุคนั้นไม่มีพระพุทธศาสานา ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีบุตรชายชื่อว่าสุสีมมาณพ พอบุตรชายอายุได้ 16 ขวบ ต้องการไปร่ำเรียนมนต์ไตรเพท สังกพราหมณ์ก็พาไปฝากพราหมณ์ที่เป็นเพื่อนในเมือง พอเรียนเสร็จเรียนเร็วมาก แทงตลอดจนหมดเลย เลยบอกอาจารย์ว่ามนต์ทั้งหมดที่อาจารย์สอนมา เข้าใจหมดแล้ว เห็นเหตุในเบื้องต้น และในท่ามกลาง  แต่มองไม่เห็นที่สุดว่าจะไปจบตรงไหน วัฏฏสงสารนี้ อาจารย์บอกเราเองก็รู้แค่นี้สอนให้เธอมากกว่านี้ไม่ได้
 
     สุสีมมาณพก็ถามว่า แล้วใครละจะสอนได้ อาจารย์บอก ฤาษีในป่าอิสิปตนอาจจะสอนได้ สุสีมมาณพก็เลยลาพราหมณ์อาจารย์ไปหาฤาษี จริงๆฤาษีที่ว่าก็คือพระปัจเจกพุทธเจ้านั่นเอง อยู่กันในป่าอิสิปตนเยอะเลย ไปกราบปั๊บ บอกขอเรียนมนต์ที่ทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ พระปัจเจกพุทธเจ้าบอกว่า มนต์นี้ไม่สอนแก่คฤหัสถ์จะสอนแต่บรรพชิตนักบวชเท่านั้น สุสีมมาณพก็บวช แต่พระปัจเจกพุทธเจ้าปกติตรัสรู้เอง แต่ไม่สอนใครนะ ยุคนั้นพระพุทธศาสนาไม่มี เพราะไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พระปัจเจกพุทธเจ้ามี ตรัสรู้แล้วไม่สอนใคร ท่านก็แนะแต่เพียงเรื่องการนุ่ง การห่ม กิริยามารยาท
 
พระปัจเจกพุทธเจ้าแนะเรื่องการนุ่ง การห่ม กิริยามารยาท
 
     พระปัจเจกพุทธเจ้ามี ทรงแนะเรื่องการนุ่ง การห่ม และกิริยามารยาท
 
     แล้วสุสีมมาณพ ต้องอาศัยการสังเกตการปฏิบัติของพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วปฏิบัติตามด้วยตนเอง แต่ด้วยความที่สร้างบุญเอาไว้เยอะ บุญบารมีเต็มเปี่ยม สุดท้ายบรรลุธรรมเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเหมือนกัน แต่วิบากกรรมในอดีตก็ตามมาทัน ทำให้อยู่ได้ไม่นานก็ละสังขารไป ปรินิพพาน เข้านิพพานไป ฝ่ายสังกพราหมณ์คิดถึงลูกชายก็มาเที่ยวตามถามหา มาถึงปั๊บเจอพระปัจเจกพุทธเจ้าที่มีพระชนม์อยู่ ก็พอสุสีมมาณพ ที่เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว นิพพานแล้วก็ทำพิธีเผา เอาพระธาตุบรรจุในเจดีย์ก่อเอาไว้
 
    พอสังกพราหมณ์มาถามหาลูกชายปั๊บ เค้าบอกว่าท่านนิพพานแล้ว อัฏฐิอยู่ในเจดีย์นั้น สังกพราหมณ์ฟังแล้วเสียใจมาก คิดถึงลูก ไปถึงเจดีย์ของพระปัจเจกพุทธเจ้าลูกชาย ก็ร้องไห้ อาลัยอาวรณ์ คิดถึงลูก แล้วก็ถอนหญ้ารอบเจดีย์ พระพุทธเจ้าบอกว่า ด้วยอานิสงค์ถอนหญ้ารอบเจดีย์นี้ บุญนั้นแหละทำให้มนุษย์ทั้ง 2 ฝั่งแม่น้ำคงคา ปราบถนนให้เตียนเลย ตอไม่ให้มี หนามไม่ให้มี แล้วก็เกลี่ยทรายรอบเจดีย์ บุญนี้เองที่มนุษย์เกลี่ยทรายรอรับ ทั้งฝั่งแคว้นมคธและไพศาลีด้วย แล้วก็เอาดอกไม้ป่ามาบูชาเจดีย์ แค่ดอกไม้ป่า มาบูชาด้วยความศรัทธา อาลัยรักลูกชาย บุญนี้ทำให้ชาวเมืองทั้ง 2 ฝั่งเอาดอกไม้ 5 สี มาโปรยรับ พญานาคบันดารทำให้เกิดดอกปทุม 5 สี เทวดา พรหมทุกชั้นฟ้า
 
ชาวเมืองทั้ง 2 ฝั่งเอาดอกไม้ 5 สี มาโปรยรับ พญานาคบันดารทำให้เกิดดอกปทุม 5 สี เทวดา พรหมทุกชั้นฟ้า
    
ชาวเมืองทั้ง 2 ฝั่งเอาดอกไม้ 5 สี มาโปรยรับ พญานาคบันดารทำให้เกิดดอกปทุม 5 สี
เทวดา พรหมทุกชั้นฟ้าบูชาจนห้องจักรวาล เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
  
     บูชาจนห้องจักรวาล เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ด้วยอานิสงส์ดอกไม้ป่าบูชาเจดีย์ แล้วก็เอาผ้าสาฎก คือผ้าห่มตัวนี้แหละ หาไม้ไผ่ มาปักๆขึ้นมา เป็นธงบูชาเจดีย์ ทำให้ชาวเมือง นาค เทวดา พรหม เอาธงชัยธงแผ่นผ้ามาเรียงรายรอต้อนรับจนไม่มีที่ว่างตลอดห้องจักรวาลเลย เอาน้ำเต้ามาพรม รอบๆเจดีย์ บูชาเจดีย์ อานิสงค์นี้เอง ทำให้ฝนโบกขรพรรษตกลงมาเลย พอพระพุทธเจ้าประทับเมืองไพศาลีปั๊บฝนโบกขรพรรษพัดเอาสิ่งไม่ดีออกไปเลย เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดด้วยพุทธานุภาพ แต่เกิดด้วยบุญมีประมาณน้อย แต่เกิดเพราะบุญที่พระองค์ทำไว้ในอดีตตอนเกิดเป็นสังกพราหมณ์ อย่างนี้ เราเห็นไหมเอ่ย การบูชาที่ถูกเนื้อนาบุญ ให้อานิสงส์เรามากมายขนาดไหน เค้าบอกว่านับประมาณไม่ถ้วนเลย เป็นสัญลักษณ์สากลที่แท้จริง คณะพระธุดงค์ธรรมชัย 1,127 รูป
 
คณะพระธุดงค์ธรรมชัย 1127 รูป ที่กำลังจาริกไปอย่างนี้ ท่านตั้งใจปฏิบัติเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
 
คณะพระธุดงค์ธรรมชัย 1,127 รูป ที่ท่านปฏิบัติเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
ตั้งใจถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา สืบอายุพระพุทธศาสนา
    
     ที่กำลังจาริกไปอย่างนี้ ท่านตั้งใจปฏิบัติเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ตั้งใจถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา สืบอายุพระพุทธศาสนา ก่อนจะเดินธุดงค์ก็ตั้งใจปฏิบัติธรรมดีมาอย่างเต็มที่ แล้วจาริกมาตามเส้นทางมหาปูชนียาจารย์  ดำเนินรอยตามปฏิปทาของพระเดชพระคุณหลวงปู่ พระมงคลเทพมุนี สด จนฺทสโร พระผู้ปราบมาร เรามาถวายการต้อนรับให้กับท่าน เอาดอกกุหลาบมาโปรยรับท่าน เอาน้ำมาประพรมที่เท้าท่าน
 
เรามาถวายการต้อนรับให้กับท่าน เอาดอกกุหลาบมาโปรยรับท่าน
    
ถวายการต้อนรับพระธุดงค์ด้วยการเอาดอกกุหลาบมาโปรยรับพระธุดงค์ 1,127 รูป
   
     เมื่อถึงจุดหมายปรายทาง ฝ่ายชายทำการนวดเฟ้น ฝ่ายหญิงก็ส่งน้ำ ส่งกำลังใจ ดูแลภัตตาหาร ทุกอย่างบุญจะเกิดกับเรามากขนาดไหน ไม่ใช่พระธุดงค์ 1 รูปนะ แต่ 1,127 รูป แล้วพระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านคลุมบุญให้ด้วย พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย ท่านคลุมบุญให้ด้วย เพราะนี่คือการเดินธุดงค์สถาปนาเส้นทางมหาปูชนียาจารย์ สิ่งดีๆจะเกิดขึ้นกับเรามากมาย

ประเทศไทยจะได้สว่างไสวด้วยธรรมะแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ประเทศไทยจะสว่างไสวด้วยธรรมะแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
     แล้วสรรพภัยพิบัติอัปมงคลจะได้หมดไปจากแผ่นดินไทย จากนี้ไปประเทศไทยจะได้สว่างไสวด้วยธรรมะแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการที่พวกเราทุกคนอยู่ในบุญ มีธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ตั้งใจปฏิบัติตามแบบอย่างบัณฑิตทั้งหลายในกาลก่อน ที่ถวายการบูชาแก่บุคคลที่ควรบูชา สิ่งที่เราทำนี้จะเป็นสัญลักษณ์สากลที่ถ่ายทอดไปทั้งประเทศแล้วทั้งโลก ผ่านทีวีดาวเทียม ผ่านอินเทอร์เน็ต ทำให้คนทั้งโลกได้เห็นแล้วเกิดปีติเลื่อมใสศรัทธาขึ้นมาด้วย เห็นปั๊บ ไม่ว่าศาสนาไหน เชื้อชาติไหน เห็นปุ๊บ ไม่ต้องอธิบายเค้าก็เข้าใจแล้ว โอ...หมู่ชนหมู่ใหญ่นี้กำลังถวายการบูชา กำลังแสดงความนอบน้อมต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่มีคุณธรรมสูงยิ่งเห็นสัญลักษณ์สากลนี้เค้าเข้าใจเลย
 
จาริกเดินธุดงค์ตามเส้นทางแห่งการถือกำเนิดด้วยกายมนุษย์ของท่าน
 
     ธุดงค์ธรรมชัยครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์สากล
 
     แล้วเค้าก็จะได้เข้ามาศึกษาว่า เอะ...หลักรายละเอียดเป็นยังไง หลวงปู่คือใคร สำคัญยังไง มีคุณธรรมมากเพียงใด  ทำไมพระธุดงค์ 1,000 กว่ารูป จึงมาจาริกเดินธุดงค์ตามเส้นทางแห่งการถือกำเนิดด้วยกายมนุษย์ของท่าน ที่ที่ท่านบวช ที่ที่ท่านบรรลุธรรม ที่ที่ท่านสอนธรรมะ ที่ที่ท่านตั้งใจปฏิบัติวิชชาธรรมกาย แล้วมาถึงสถานที่แห่งการสืบสานวิชชาธรรมกายคือที่วัดพระธรรมกาย เค้าก็จะมาศึกษาและเข้าใจ เพราะฉะนั้น ธุดงค์ธรรมชัยครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์สากล ทั้งฝ่ายพระ ทั้งฝ่ายโยม ถวายการต้อนรับที่ดึงใจชาวโลกให้หันมาสู่ธรรมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นพวกเราทุกคนทราบทั้งหมดแล้ว อย่าอยู่เฉย อย่าเป็นผู้ชม แต่จงเป็นผู้ที่มีส่วนแห่งการสร้างบุญใหญ่ครั้งนี้เทอญ
 
รับชมวิดีโอ
 
[[videodmc==41468]]
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/top_of_week/ทันโลกทันธรรม-สัญลักษณ์สากล.html
เมื่อ 28 มีนาคม 2567 22:26
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv