ผลการปฏิบัติธรรม

กัลยาณมิตร เทพรักษา เหมพรหมราช

เขียนที่โรงพยาบาลเลิดสิน กรุงเทพฯ
 
 กราบนมัสการหลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่ด้วยความเคารพอย่างสูง
 
ผมชื่อ เทพรักษา เหมพรหมราช อายุ 31ปี ปัจจุบันผมเป็นแพทย์ศัลยกรรมกระดูก อยู่ที่โรงพยาบาลเลิดสิน การทำงานเป็นศัลยแพทย์เป็นงานที่ท้าทายมากครับ สมัยที่ผมเป็นนักศึกษา ผมได้ศึกษาวิชาการแพทย์จากอาจารย์ใหญ่ที่ไร้วิญญาณ หรือที่เรียกกันว่า “ศพ” ผมเรียนรู้ด้วยความเคารพ และเคยสงสัยว่า “น่าแปลกจัง ที่ร่างกายของคนเราประกอบด้วยอวัยวะทุกส่วนมาประกอบกัน”
 
หลักการแพทย์จะสอนว่า สมองเป็นตัวควบคุมให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้ แต่ก็ไม่เคยมีใครตอบว่า นอกเหนือจากสมองแล้ว ยังมีอะไรที่จะควบคุมตัวมนุษย์ให้ยังคงมีชีวิตอยู่ เพราะคนตายก็มีสมอง
 
   พระเดชพระคุณหลวงพ่อครับ...ทุกๆวัน ผมจะเจอคนไข้ที่มีสภาพแตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่ที่ผมเจอ คือ คนที่ประสบอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นเพราะเหล้าเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ บางรายไม่น่าตายก็ต้องตาย ผมเจอมาหลาย Case มากครับ จนเกิดความสงสัยว่า “เวลาเขาตายแล้ว เขาจะไปอยู่ไหน...ทำไมคนเราถึงตายในสภาพที่แตกต่างกัน และการตายในสภาพที่แตกต่างกันนี้ เขาจะไปอยู่ในที่ที่แตกต่างกันหรือไม่”
 
    จนกระทั่งปี พ.ศ.2547 ผมได้รู้จัก DMC เป็นครั้งแรก จากแนะนำของญาติ บอกว่า “เป็นรายการธรรมะผ่านดาวเทียมตลอด 24ชั่วโมง มีการสอนเรื่องกฎแห่งกรรม” ผมขอตอบตามตรงว่า “ผมงงมาก” ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ ครั้งแรกที่ผมดู DMC ทางอินเตอร์เน็ต ผมได้ยินคำว่า “พระนิพพาน” เพราะพระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกว่า “เราเกิดมาเพื่อทำพระนิพานให้แจ้ง แสวงบุญสร้างบารมี”
 
    แม้จะเป็นคำพูดเพียงประโยคสั้นๆ แต่ก็โดนใจผมมาก เพราะก่อนหน้านี้ ผมเคยเรียนมาว่า ถ้าไม่อยากไปเวียนว่ายตายเกิด ต้องไปพระนิพพานแบบพระพุทธเจ้า แต่ว่าเวลาที่ผมถามคุณครู หรือถามใคร เรื่องพระนิพพาน ก็มักจะถูกสอนว่า “เราเรียนพระพุทธศาสนา เพื่อเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ก็พอแล้ว ไม่ต้องไปหวังเรื่องนิพพานหรอก นิพพานนั้นไกลตัว”
 
    แต่เมื่อผมดู DMC ทุกคำถามที่ผมสงสัย มีคำตอบอยู่ใน DMC ทั้งสิ้น ผมคิดว่า ผมโชคดีมาก ที่ได้มารู้เรื่องกฎแห่งกรรม เพราะมนุษย์เราใช้มนุษย์อยู่โดยที่ตัวเองไม่รู้เลยว่า ยังมีกฎอีกกฎหนึ่งที่ควบคุมเราอยู่ และเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสอน ไม่มีใครนำมาเปิดเผยนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำสอนที่ผมเรียนรู้ใน DMC ไม่มีอยู่ในตำราทางการแพทย์ที่ผมเรียนมา และมีคุณค่ามากแก่การใช้ชีวิตของผมในตอนนี้ ทำให้ตั้งแต่ติด DMC ที่บ้าน ผมก็มาวัดทุกต้นเดือน และนั่งสมาธิทุกวันไม่เคยขาดเลย จนเมื่อเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่สวนป่าหิมวันต์ อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย ในรุ่นที่299 ผมตัดสินใจลางานไปปฏิบัติธรรม เพราะอยากจะไปตามหาดวงแก้วในกลางตัวของผม ที่ผมเคยเห็นตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็ก
 
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อครับ...ผมอยากจะขอสารภาพกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า ความจริงแล้ว ผมเคยมาวัดพระธรรมกายตอนอายุได้ 10ขวบ ตอนนั้นผมเรียนอยู่ ป.4 หรือประมาณ 21ปีที่ผ่านมา ผมมานั่งสมาธิที่สภาหลังคาจาก ผมจำได้ติดตาว่า วันนั้น...ผมนั่งสมาธิกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระเดชพระคุณหลวงพ่อสอนสมาธิ มีลูกแก้วอยู่ในมือ พระเดชพระคุณหลวงพ่อให้เดินลมหายใจจากฐานที่1 ไปจนถึงฐานที่7 เหนือสะดือสองนิ้วมือ พอเห็นดวงแก้วใส ก็ให้ดิ่งเข้ากลางไปเรื่อยๆ เหมือนตกจากที่สูง ตอนนั้น...ผมเห็นดวงแก้วชัดมากเลยครับ และไม่ว่าจะหลับตา...ลืมตาก็ยังเห็นอยู่ จนญาติที่มาด้วยสงสัยว่า ผมเห็นดวงแก้วได้อย่างไร เพราะยังเด็กอยู่เลย
 
     ผมเองก็ยังงงตามประสาเด็กๆว่า ทำไมคนอื่นถึงไม่เห็น ผมว่ามันง่ายนิดเดียว...แค่มองดวงแก้วสบายๆ แล้วก็นึกนิดเดียว ไม่ได้คิดอะไรก็เห็นแล้ว ในตอนนั้น ผมคิดว่าทุกคนก็คงเห็นเหมือนผม จากนั้น ผมได้ไปชวนเพื่อนๆในห้องเรียนและญาติๆของผม ทำบุญกฐินได้หนึ่งกอง ผมดีใจมากที่มีคนทำบุญกับเด็กๆอย่างผม ตอนนั้น ผมได้รับดวงแก้วจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่ศาลาดุสิต ญาติของผมได้กราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า ที่ผมเห็นดวงแก้วนั้น ใช่หรือไม่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ตอบว่า “จริง...เป็นดวงปฐมมรรค ให้รักษาไว้ให้ดี” ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดอะไรครับ เพราะคิดว่า มันเป็นเรื่องธรรมดา คงจะเห็นเหมือนกันทุกคน
 
    หลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้มาวัดอีก เพราะไม่มีคนพามา ช่วงที่ไม่ได้มาวัดตอนนั้น มีข่าวเรื่องความเข้าใจผิดเกี่ยวกับวัด ทำให้ผมเข้าใจผิดไปด้วย คิดว่า “ดวงแก้วที่ผมเห็นคงเป็นสิ่งที่ผมคิดไปเอง” ผมจึงไม่นึกถึงดวงแก้วอีก ทั้งๆที่แม้ช่วงที่มีข่าวดังกล่าว ผมก็ยังคงเห็นดวงแก้วอยู่ เท่านั้นยังไม่พอ ผมยังอธิษฐานขอให้ดวงแก้วหายไปเสียอีก แล้วก็สมความปรารถนาของผม คือ ดวงแก้วหายไปจริงๆครับ แม้ว่า ผมจะนั่งสมาธินานๆครั้งตามโอกาสในภายหลังก็ตาม แต่ก็ไม่เห็นดวงแก้วอีกเลยครับ ผมจึงงงว่า ทำไมผมจึงไม่เห็นดวงแก้วอีก
 
    ผมได้กลับมาวัดอีกครั้ง เมื่อปี พ.ศ.2541 วันนั้น...ผมเห็นเหตุการณ์อัศจรรย์ ดวงอาทิตย์หมุนได้ มีแสงเป็นสีๆ แต่ผมก็ไม่กล้าบอกใคร เพราะนึกว่า เราคงคิดไปเอง แต่มันก็น่าแปลกที่คนอื่นก็เห็นกันหลายคน และก็เห็นไม่เหมือนกันด้วย หลังจากที่ผมได้กลับมาที่วัดอีกครั้งและได้ติด DMC ทำให้ผมนั่งสมาธิบ่อยขึ้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อครับ...คราวนี้ ผมพยายามคิดถึงดวงแก้วแบบเดิม แต่นึกอย่างไรก็ไม่เห็น ผมรู้สึกแย่มาก และนั่งสมาธิด้วยความเครียดมาตลอด
 
เมื่อผมได้ไปนั่งสมาธิที่สวนป่าหิมวันต์ วันแรกผมนั่งสมาธิ โดยเริ่มจากการเพ่งมองดวงแก้วขนาดใหญ่ด้านหน้า ก่อนนั่งผมเห็นชัดมาก เพราะผมลืมตาดู แต่พอหลับตาเท่านั้น มันก็มืดเหมือนเดิม ตอนนั้น...ผมเริ่มรู้สึกท้อแท้มาก พอวันที่สอง ตอนเช้าก่อนนั่งสมาธิ พระอาจารย์ท่านสอนว่า “ให้ทำหน้าให้อ่อนกว่าวัย ทำใจให้ Innocence ไม่ต้องคิดอะไร ทำใจให้ว่างๆ” ท่านก็อธิบายไปเรื่อยๆ ผมก็รู้สึกว่า ลมหายใจนุ่ม ละมุนละไมมากขึ้น สงบขึ้น สักพัก ก็รู้สึกว่า ตัวตรงกับตำแหน่งที่นั่ง ตรงพอดี เหมือนปรับสมดุลได้ดีขึ้นมาเอง
 
จู่ๆ ผมก็เห็นดวงกลมสว่าง ขนาดประมาณไข่แดงของไข่เป็ด แล้วดวงกลมก็ค่อยๆขยายขึ้นครอบตัวผมไว้เลยครับ แล้วก็มีองค์พระขึ้นมา เรียงกันเป็นจำนวนมาก ท่านหันหน้าออกจากตัว ในกลางท้องขององค์พระมีดวงสว่างอยู่ภายใน
 
พระเดชพระคุณหลวงพ่อครับ...ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วครับว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้ ผมไม่สามารถคิดไปเองได้ หรือเพ่งจ้องเข้าไปได้ ต้องปล่อยวางให้ใจหยุดนิ่งละเอียดแล้วจะเห็นเอง...ในรอบต่อๆมา บางรอบผมเห็นเป็นดวงแก้วใสๆ หรือองค์พระใสๆหันหน้าออกจากตัวของผมก็มี มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมเห็นตัวเองกำลังนั่งสมาธิอยู่ ใส่ชุดขาว รู้สึกดูดีกว่าตัวจริงของผมเสียอีก แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร ในแต่ละรอบที่นั่งสมาธิ บางทีผมก็เห็นนิมิตต่างกันไป หรือบางทีก็ไม่เห็นเลย แต่ที่เหมือนกันทุกรอบ คือ พอเริ่มนั่งสมาธิแล้ว จะไม่ต้องลุกไปไหน ไม่ไอ ไม่จาม จนกว่าจะนั่งเสร็จ ซึ่งเป็นเช่นนี้ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย เวลานั่ง
 
    ผมจะไม่คิดไม่จินตนาการ แต่จะคอยสังเกต ไม่กำหนดว่า เราต้องเห็นนั่นเห็นนี่ เห็นอะไรก็ดูไป สนใจอย่างเดียว คือ สนใจศูนย์กลางกาย ตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อสอน และช่วงที่ไม่ได้นั่งสมาธิผมก็จะนึกถึงดวงที่ผมเห็นตลอดครับ
 
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อครับ...ตลอดช่วงเวลาที่ผมปฏิบัติธรรมที่สวนป่าหิมวันต์ ผมมีความสุขมากครับ สุขสดชื่น สงบเยือกเย็น ไร้ความกังวล สุขอย่างบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน เป็นความรู้สึกที่สดชื่นมาก เรียกได้ว่า มีความสุขเหมือนกับอยู่กันคนละโลก เมื่อเทียบกับตอนที่กลับจากสวนป่าหิมวันต์มาแล้วครับ
 
    ทุกวันนี้ ตั้งแต่กลับมาจากสวนป่าหิมวันต์ ผมก็ยังนั่งสมาธิทุกวัน ผมจะนึกถึงดวงแก้ว ตั้งแต่ตื่นนอน ซึ่งก็เห็นทุกวันครับ ผมอยากให้ทุกคนในโลกได้มาปฏิบัติธรรมเช่นเดียวกับผม จะได้มีความสุขแบบที่คาดไม่ถึงมาก่อน ก่อนไปที่สวนป่าหิมวันต์ ผมไม่คิดว่ามันจะดีขนาดนี้ ซึ่งถ้ามีวันว่างถึงหนึ่งสัปดาห์ผมก็จะไปอีกครับ แต่ถ้าหาเวลาได้เป็นเดือนผมก็คงไม่ไป แต่จะถือโอกาสไปบวชธรรมทายาทซะเลย
 
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อครับ...ผมรู้สึกผิดมากครับ ที่เคยเข้าใจผิดตามกระแสข่าว และคิดว่า ดวงแก้วที่ผมเห็นเกิดจากการที่ผมคิดไปเอง ผมกราบขอขมาพระเดชพระคุณหลวงพ่อครับ หวังว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อ คงเมตตาอโหสิกรรมให้ผมนะครับ และขอให้ผมได้มีโอกาสบวชธรรมทายาทที่วัดพระธรรมกาย และขอให้ปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงพระธรรมกายให้ได้นะครับ
 
    สุดท้ายนี้ ผมขอให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อ หายจากอาการเจ็บป่วยทั้งปวง และเป็นผู้นำในการสร้างบารมีให้ทุกคนได้ไปถึงที่สุดแห่งธรรมครับ
 
นายแพทย์ เทพรักษา เหมพรหมราช
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/world_meditation/Thailand_Tepraksa.html
เมื่อ 30 เมษายน 2567 10:20
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv