ชาดก 500 ชาติ
เกฬิสีลชาดก-ชาดกว่าด้วยปัญญาสำคัญกว่าร่างกาย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารในสมัยพุทธกาลเมื่อครั้งที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันทรงปรารภพระลกุณฏกภัททิยะเถระ ตรัสพระธรรมเทศนาดังนี้ลกุณฏกภัททิยเถระเป็นผู้มีชื่อเสียงในพระพุทธศาสนา มีเสียงเพราะเป็นผู้แสดงธรรมไพเราะ เป็นพระมหาขีนาบรรลุปฏิสัมภิทาแต่ด้วยความตัวเล็กพระลกุณฏกภัททิยเถระเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในพระพุทธศาสนาถึงการแสดงธรรมที่มีเสียงไพเราะยิ่งเตี้ยกว่าพระรูปอื่นในหมู่พระมหาเถระ 80 องค์ คล้ายสามเณรถูกล้อเลียนอยู่บ่อยครั้ง “ จะไปไหนหรือท่านสามเณร ” “ ข้าอุปสมบทแล้ว
เป็นภิกษุไม่ใช่สามเณร ” “ ใครจะไปรู้ล่ะก็ท่านตัวเล็กมะขามข้อเดียวแบบนี้พวกเราคิดว่าท่านเป็นเณรซะอีก ฮ่ะ ฮ่าๆๆๆ ”
พระลกุณฏกภัททิยเถระเป็นผู้ที่มีรูปร่างเล็กผู้ใดเห็นก็คิดว่าเป็นสามเณรวันหนึ่งหลังจากพระลกุณฏกภัททิยะเถระเข้าเฝ้าพระศาสดาแล้ว ก็ยืนอยู่ที่ซุ้มประตู พระเชตวันวิหาร ภิกษุชาวชนบทประมาณสามสิบรูป
เดินทางมาเพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ เมื่อมาถึงพระเชตวันเห็นพระเถระที่ซุ้มวิหารจึงพากันจับพระเถระที่ชายจีวรบ้าง
ภิกษุชาวชนบทได้เดินทางเข้าเฝ้าพระศาสดายังพระเชตวันมหาวิหารที่มือบ้าง ที่ศีรษะ ที่จมูก ที่หูเขย่าด้วยสำคัญว่าท่านเป็นสามเณร ทำด้วยคะนองมือ “ เจ้าเณรน้อยมานี่สิ ” “ เร็วเข้ารีบมา นี่แน่ะ ไหน ๆ เจ้าเณรนี่
มันหน้าแก่จังเลย ” “ ไหน ๆ ถอดจีวรดูก็รู้ว่าแก่หรือเด็ก ” “ ปล่อยข้านะ อย่ามายุ่งกับข้า ”
พระชนบทได้แกล้งพระลกุณฏกภัททิยเถระเพราะคิดว่าเป็นสามเณรน้อยเมื่อแกล้งพระลกุณฏกภัททิยเถระจนหนำใจแล้ว ภิกษุเหล่านั้นก็พากันไปเข้าเฝ้าพระศาสดา เมื่อพระศาสดาทรงกระทำปฏิสันถาร
ด้วยพระดำรัสอันไพเราะแล้ว ภิกษุเหล่านั้นจึงทูลถามถึงลกุณฏกภัททิยะเถระ ผู้มีชื่อด้านแสดงธรรมไพเราะ
พระชนบทได้แกล้งจับศีรษะพระลกุณฏกภัททิยเถระเพราะคิดว่าเป็นสามเณรน้อย“ ข้าแต่พระศาสดาได้ยินว่ามีพระเถระองค์หนึ่งชื่อพระลกุณฏกภัททิยะเถระ เป็นสาวกของพระองค์แสดงธรรมได้ไพเราะไม่ทราบว่าพระเถระ
รูปนั้นน่ะอยู่ที่ไหนพระเจ้าค่ะ ” “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายพวกเธอประสงค์จะเห็นหรือ ” “ พระเจ้าค่ะ พวกเราได้ยินชื่อเสียงของท่านมานาน
พระชนบทได้แกล้งจับหูพระลกุณฏกภัททิยเถระเพราะคิดว่าเป็นสามเณรน้อยจึงอยากพบสักครั้ง ” “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่พวกเธอเห็นที่ซุ้มประตูแล้วพวกเธอกลั่นแกล้งด้วยความคะนองภิกษุรูปนั้นแหละคือพระลกุณฏกภัททิยะ”
ภิกษุที่มาเข้าเฝ้าพระศาสดาเหล่านั้นเมื่อรู้ว่าสามเณรที่ตนเพิ่งรุมแกล้งนั้นคือ ลกุณฏกภัททิยะเถระ ก็ตกใจด้วยไม่คิดว่าพระเถระที่ได้ชื่อว่า
เหล่าภิกษุได้พากันเข้าเฝ้าองค์พระศาสดา ณ พระเชตวันมหาวิหารแสดงธรรมไพเราะนั้น จะมีรูปร่างต่ำตื้นเช่นนั้น ภิกษุทั้งหลายจึงทูลถามพระศาสดาถึงสาเหตุที่ทำให้พระลกุณฏกภัททิยะเถระเป็นเช่นนั้น “ เณรที่เราเห็น
นั้นคือ ลกุณฏกภัททิยะเถระหรอกหรือนี่ ” “ ข้าแต่พระองค์ ลกุณฏกภัททิยะเถระที่ได้ชื่อว่าแสดงธรรมได้ไพเราะจึงมีรูปร่างเช่นนั้นเล่าพระเจ้าค่ะ ”ภิกษุชาวชนบทแจ้งความประสงค์ต้องการที่จะพบพระลกุณฏกภัททิยเถระต่อองค์พระศาสดา“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายที่เป็นเช่นนั้นเพราะอาศัยกรรมที่ตนได้ทำไว้ ” เมื่อภิกษุเหล่านั้นทูลอาราธนาพระศาสดาจึงทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่าในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นท้าวสักกะเทวราช
ภิกษุชาวชนบทต่างก็พากันตกใจที่พวกตนได้เผลอกลั่นแกล้งพระลกุณฏกภัททิยเถระ ณ ซุ้มประตูพระวิหารในกาลนั้นใคร ๆ ก็ไม่อาจให้พระเจ้าพรหมทัตได้ทรงเห็นช้าง ม้า หรือโคที่แก่ชรา ด้วยพระองค์ชอบเล่นสนุกหากได้ทรงทอดพระเนตร
เห็นสัตว์แก่ชราเหล่านั้นก็จะรับสั่งให้พวกมนุษย์ต้อนไล่แข่งกัน “ นั่นมันม้าแก่นี่ พวกเจ้าจงเอาม้าแก่ตัวนั้นมาวิ่งให้เราดูสิ ” “ พระเจ้าค่ะ ”
พระศาสดาทรงตรัสเล่า เกฬิสีลชาดก ให้แก่เหล่าภิกษุสงฆ์ได้รับฟัง“ ข้าแก่ขนาดนี้จะเอาแรงที่ไหนมาวิ่ง เจ้าพระราชานี่ช่างใจร้ายนัก ” “ เอ้า วิ่งเลย ๆ เร็ว ๆ เข้าสิ วิ่งให้ว่องเลย ” การกระทำของพระเจ้าพระเจ้าพรหมทัต
นั้นสร้างความทรมานแก่สัตว์เหล่านั้นเป็นอันมากและไม่เพียงแต่สัตว์แก่เท่านั้นแม้แต่เกวียนเก่าก็ทรงรับสั่งให้นำมาวิ่งแข่งกันจนพัง
พระเจ้าพรหมทัตทรงครองราชสมบัติ ณ กรุงพาราณสี“ เกวียนเก่า ๆ พวกนี้น่าจะวิ่งได้ดีนะ พวกเจ้าเอามาวิ่งแข่งกันให้มันพังไปเลย ” แม้แต่สตรีแก่ก็รับสั่งให้เรียกมากระแทกที่ท้องให้ล้มลงแล้วจับ
ให้ลุกขี้นให้ขับร้องเพลง เห็นชายแก่ ๆ ก็ให้หกคเมนตีลังกาดุจนักเล่นกระโดด “ ฮ่า ฮ่า สนุกจริง ๆ เลย ให้คนแก่มาทำอะไรสนุก ๆ ให้ดู
พระเจ้าพรหมทัตทรงโปรดปรานการกลั่นแกล้งและทรมานสัตว์ที่แก่ไร้เรี่ยวแรงมีความสุขจริง ๆ เลย ” “ พระราชาองค์นี้ ช่างมีจิตวิปลาสนัก ” “ อือ ข้าจะตายอยู่แล้วทำไมต้องทรมานคนแก่แบบนี้ ” แม้ไม่พบเห็นคนแก่คนชรา
หากทรงได้สดับข่าวว่ามีคนแก่ที่บ้านไหนก็จะรับสั่งให้เรียกตัวมาบังคับให้เล่นเช่นกัน “ ได้ข่าวว่าในหมู่บ้านมีคนแก่มากมาย
พระเจ้าพรหมทัตมีความสุขใจที่ได้ทรมานม้าแก่ๆ ให้มันวิ่งด้วยโดยไร้เรี่ยวแรงเจ้ารีบไปเอาตัวมาทำการแสดงให้ข้าดูเดี๋ยวนี้ ” พวกชาวเมืองต่างรู้สึกระอาใจกับพฤติกรรมของพระราชาด้วยไม่อยากให้บุพการีต้องลำบาก
จึงได้ส่งบิดามารดาของตนไปอยู่นอกแคว้นขาดการบบำรุงบิดามารดา “ ท่านพ่อท่านแม่ พวกเรามาส่งท่านได้เท่านี้แหละ ”
พระเจ้าพรหมทัตทรงรับสั่งให้นำเกวียนเก่าๆ มาวิ่งแข่งกัน“ ต่อไปพวกท่านต้องดูแลตัวเองแล้วนะ ” “ พวกเจ้าก็เหมือนกันแล้วแวะมาเยี่ยมพ่อบ้างนะ ” “ กรรมจริง ๆ เพราะพระราชาแท้ ๆ ทำให้พวกเรา
ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ” การเล่นสนุกของพระเจ้าพรหมทัตนั้นหาได้มีใครห้ามปรามไม่ พวกราชบริพารไม่เพียงไม่ห้ามปรามกลับพอใจในการเล่นนี้ด้วย
เกวียนเก่าพังยับหลังจากที่ทหารนำมันมาวิ่งแข่งกันเมื่อตายไปก็ไปบังเกิดในอบาย 4 ด้วยผลกรรม เทพบริษัททั้งหลายก็ลดลง ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเหล่าเทพไม่ทรงเห็นเทพบุตรเกิดใหม่
ก็ทรงตรวจดูจนรู้สาเหตุแล้วดำริว่าจะต้องสั่งสอนพระเจ้าพรหมทัตให้สมแก่ความผิด “ ฮะ ฮ่า ฮ่า สนุกจริง ๆ เลย
พระเจ้าพรหมทัตทรงบังคับให้หญิงชราร่ายร่ำให้ตนดูคนแก่ที่ว่าไม่มีประโยชน์คงไม่ใช่แล้วเพราะว่าสร้างความบันเทิงให้กับพระราชาอย่างเราได้ ฮ่ะ ฮ่า ฮ่า พวกเจ้าว่าจริงไหม ” “ จริง พระเจ้าค่ะ
คนแก่ทำงานไม่ได้ วัน ๆ เอาแต่กินกับนอนได้ทำประโยชน์บ้างก็ดี ” “ เหตุนี้เองรึ ที่ทำให้ไม่มีเทพบุตรเกิดใหม่
พระเจ้าพรหมทัตได้บังคับให้ชายชราหกคเมนตีลังให้ตนดูเห็นทีเราต้องสั่งสอนพระเจ้าพรหมทัตให้สำนึกเสียบ้าง ” ท้าวสักกะทรงแปลงเพศเป็นคนแก่บรรทุกตุ่มน้ำมัน 2 ใบ ใส่ไปในเกวียนเก่า ๆ
เทียมโคแก่สองตัวในวันมหรสพวันหนึ่ง เมื่อพระเจ้าพรหมทัตทรงช้างเสด็จผ่านท้าวสักกะก็ขับเกวียนนั่นไปที่
ชาวเมืองที่แก่ชราต่างพากันได้รับความทุกข์ทรมานจากการถูกกลั่นแกล้งจากพระราชาหน้าพระพักตร์พระเจ้าพรหมทัตทอดพระเนตรเห็นก็ตรัสให้ทหารนำเกวียนนั้นมา “ พวกเจ้าจงไปเอาเกวียนและโคแก่นั่นมาที่นี่ ” “ เกวียนไหนกัน
พระเจ้าค่ะ พวกข้าพระองค์ไม่เห็นเลย ” “ พวกเจ้าตาบอดกันหรือไง นั่นไงเอาตัวเจ้าคนแก่ที่ขี่เกวียนนั่นมาด้วย
พระเจ้าพรหมทัตมีรับสั่งให้ทหารไปจับคนชราตามบ้านเรือนต่าง ๆนั่นไง ๆ มาทางนี้แล้ว พวกเจ้ามองไม่เห็นกันหรือไง เฮ้ย นั่นเกวียนลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วพวกเจ้าไม่เห็นกันหรือไง ” ด้วยอิทธิฤทธิ์
ของท้าวสักกะจึงมีพระเจ้าพรหมทัตเท่านั้นที่ทอดพระเนตรเห็นเกวียน ทรงขับเกวียนลอยขึ้นเหนือพระเศียรของพระเจ้าพรหมทัต
บรรดาชาวเมืองต่างพากันส่งพ่อแม่ผู้แก่ชราไปอยู่นอกเมืองซึ่งห่างไกลจากพระราชาผู้ใจร้ายแล้วทุบตุ่มน้ำมันให้แตกไหลลงมาราดรดเปราะเปื้อนทั่วพระวรกายสร้างความอับอายแก่พระราชาซ้ำยังขยะแขยงน้ำมันที่เหนียวเหนาะหนะยิ่งนัก
“ คนใจสกปรกเยี่ยงเจ้าต้องโดนแบบนี้ นี่แน่ะ ๆ ” “ โอ้ย สกปรกจริง ๆ ทั้งเหนียวทั้งสกปรกเปื้อนไปทั้งตัวข้าแล้วเนี่ย ”
ท้าวสักกเทวราชทรงคิดที่จะสั่งสอนพระเจ้าพรหมทัตให้สำนึกในบาปกรรมที่ได้กระทำไปจากนั้นท้าวสักกะก็ขับเกวียนหายไปในอากาศแล้วเนรมิตพระองค์เป็นท้าวสักกะดังเดิมประทับยืนอยู่บนอากาศแล้วตรัสสั่งสอนพระเจ้าพรหมทัต
“ ดูก่อนพระราชาผู้ชั่วช้า ท่านเบียดเบียนสัตว์แก่และคนชราอยู่เสมอ
ท้าวสักกเทวราชทรงแปลงกายเป็นชายชราขับเกวียนผ่านหน้าพระพักตร์ของพระเจ้าพรหมทัตชะรอยท่านจะไม่แก่บ้างเชียวหรือ ความชราจะไม่มาถึงกายของท่านหรือไร ท่านมัวแต่เห็นแก่เรื่องสนุกทำร้ายคนแก่มากมาย ทำให้ลูกหลาน
ไม่อาจเลี้ยงดูบิดามารดาของตนได้ ฉะนั้นหากท่านไม่งดการกระทำอย่างนี้
พระเจ้าพรหมทัตทรงรับสั่งให้ทหารไปจับชายชรามาให้ตนเราจอมเทพผู้เป็นใหญ่จะทำลายท่านเสียด้วยวชิราวุธ นับตั้งแต่นี้ไปท่านจงอย่าทำกรรมชั่วนี้อีกเลย ” “ หม่อมฉันกลัวแล้ว ได้โปรดอย่าทำอะไร
หม่อมฉันเลย ” ว่าแล้วท้าวสักกะก็ทรงชูวชิราวุธในพระหัตถ์ขึ้นทหารมองไม่เห็นชายชราที่พระเจ้าพรหมทัตทรงรับสั่งให้ตนนั้นไปจับตัวมาถวายเพื่อให้พระเจ้าพรหมทัตกลัว แล้วทรงตรัสสอนถึงคุณของบิดามารดา ทรงบอกผลบุญผลประโยชน์ของการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้สูงอายุชายชราได้ขับเกวียนลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วจึงเสด็จกลับไปยังวิมานของพระองค์ “ ข้าขอสาบานต่อไปข้าจะรู้จักเคารพคนแก่ไม่จับสัตว์และคนแก่มาเล่นสนุกอีกแล้ว ”ชายชราได้ทำการตีหม้อน้ำมันในเกวียนให้แตกกระจายนับแต่วันนั้นมาพระเจ้าพรหมทัตก็มิได้แม้แต่คิดจะเบียดเบียนสัตว์แก่และคนชราเอามาเล่นสนุกอีกเลย พระศาสดาตรัสชาดกจบแล้วจึงตรัสเตือน
น้ำมันในหม้อที่แตกไหลรดลงบนร่างกายของพระเจ้าพรหมทัตเหล่าสาวก “ หงส์ก็ดี นกกระเรียนก็ดี ช้างก็ดี ฟานก็ดี ย่อมกลัวราชสีทั้งนั้นจะถือเอาร่างกายเป็นประมาณมิได้ฉันใด ในหมู่มนุษย์ก็ฉันนั้นชายชราได้แปลงกายกลับเป็นท้าวสักกเทวราชดังเดิมถ้าแม้เด็กมีปัญญาก็เป็นผู้ใหญ่ได้ คนโง่ถึงร่างกายจะใหญ่โตก็เป็นผู้ใหญ่ไม่ได้ ”พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้แล้ว ทรงประกาศสัจธรรม
ท้าวสักกเทวราชได้ใช้วชิราวุธข่มขู่หมายจะลงโทษพระเจ้าพรหมทัตทรงประชุมชาดก เมื่อจบสัจจะธรรมในบรรดาภิกษุเหล่านั้นบางพวกได้เป็นพระโสดาบัน บางพวกได้เป็นพระสกทาคามี บางพวกได้เป็นพระอนาคามี
มีบางพวกได้เป็นพระอรหันต์พระเจ้าพรหมทัตได้ทรงเลิกกลั่นแกล้งคนชราและเหล่าสัตว์ทั้งหลายหลังจบสัจจะธรรมเหล่าภิกษุบางกลุ่มได้บรรลุเป็นพระอรหันต์พระราชาในครั้งนั้นได้เป็น ลกุณฏกภัททิยะส่วนท้าวสักกะ คือ เราตถาคต นี้แล
