โลกปัจจุบันเป็นโลกแห่งความเครียด
สมาชิกทุกคนในครอบครัวหนึ่ง ๆต่างก็มีความเครียดในวิถีทางของตนเอง
เช่นผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวต่างก็กังวลว่าแต่ละเดือนจะหาเงินที่ไหน
มาเลี้ยงดูลูกเมียให้พอเพียง
ไม่ว่าค่าอาหาร ค่าเล่าเรียน ค่าน้ำค่าไฟ ความมั่นคงของการงานที่ทำอยู่
รวมทั้งการหาสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิต
ผู้เป็นบุตรหลานก็ต้องเครียดกับการศึกษาเป็นหลักว่าจะสอบผ่านหรือไม่
สอบได้คะแนนดีหรือไม่ จะสอบเอนท์ติดหรือไม่
บรรยากาศความเป็นไปของบ้านเมือง ของสังคม
โดยเฉพาะของไทยเราเอง
เมื่อได้ฟังข่าว
อ่านข่าวจากโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ก็ยิ่งเพิ่มความเครียดขึ้นมาทุกวัน
สรุปแล้วทุก ๆ อาชีพล้วนแต่มีความเครียดในชีวิตทั้งสิ้น
เพียงแต่อาจมีปริมาณมากน้อยแตกต่างกันเท่านั้น
1.
การควบคุมการหายใจ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ค้นพบแล้วว่า
การควบคุมการหายใจจะช่วยแก้ไขปัญหาความเครียดได้เป็นอย่างมาก
แพทย์แนะนำให้ทุกคนหายใจเข้าลึก ๆ และหายใจออกช้า ๆ
จะทำให้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างหัวสมองกับ
หัวใจดำเนินไปด้วยดียิ่งขึ้น
ทุกครั้งที่คนหายใจออก
สมองจะส่งสัญญาณผ่านเส้นประสาทให้กล้ามเนื้อหัวใจผ่อนคลายลง
ในขณะที่การหายใจเข้าจะทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น
และจังหวะของการหายใจที่ว่านี้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มีมาแต่ดึกดำบรรพ์แล้วในการที่จะช่วยรักษา
หัวใจของมนุษย์เราให้คงทนอยู่ได้ด้วยดี
วิวัฒนาการของมนุษย์ได้ช่วยสร้างกลไกทางเคมีในสมอง
ซึ่งจะช่วยตัดวงจรความเครียดอยู่แล้ว
แต่ในโลกปัจจุบันซึ่งท่านต้องมีความพร้อมและถูกเรียกตัวได้ตลอดเวลานี้
ก็ยิ่งทำให้มีความจำเป็นที่ท่านจะต้องละทิ้งสิ่งที่ทำอยู่เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอให้ได้
ร้ายไปยิ่งกว่านั้น คนเรามักจะเลือกวิธีแก้ไขความเครียดในทางผิด ๆ เช่น
การดูโทรทัศน์
การไม่ออกกำลังกายหรือ
การทานอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ เป็นต้น
นอกจากนั้นการใช้เครื่องมือทันสมัยใหม่ ๆ บางชนิด เช่น โทรศัพท์มือถือ
เครื่องส่งเอกสารและอีเมลเคลื่อนที่
ต่างก็เป็นสิ่งที่ทำให้คนเราปลีกตัวออกมาจากงานได้ยากขึ้น
สมัยก่อนนี้นักวิจัยสรุปไว้ว่าความเครียดมีบ่อเกิดจากปริมาณงานและการที่ไม่สามารถควบคุมงานได้เป็นสำคัญ
แต่ปัจจุบันนี้นักวิจัยเห็นว่าการที่ต้องตัดสินใจทำอะไรในสิ่งที่ตนไม่เชื่อหรือรับไม่ได้ก็เป็นสาเหตุที่สำคัญยิ่งอีกประการหนึ่ง
2.
ความเครียดสามารถเปลี่ยนแปลงส่วนประกอบทางเคมีในเลือด
ปัจจุบันนี้
มนุษย์เรารู้จักถึงการหลั่งของสารอะดรีนาลีน (Adrenaline)
ในร่างกายในขณะที่เรากำลังตื่นเต้น
หรือกำลังจะแข่งขันกีฬา
หรือขณะที่กำลังเผชิญภัยต่าง ๆ
ซึ่งช่วยทำให้เรามีความตื่นตัวกระฉับกระเฉงยิ่งขึ้น
แต่บัดนี้นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบวิธีการทำงานของสารอีกตัวหนึ่งที่เรียกว่า
คอร์ติซอล (Cortisol)
ซึ่งก่อตัวได้ ช้ากว่าอะดรีนาลีนแต่อยู่ในเลือดได้นานกว่า
นักวิทยาศาสตร์ได้พบแล้วว่า การมีคอร์ติซอลในเลือดมากหรือน้อยเกินไป
ต่างก็ไม่มีผลดีต่อร่างกายทั้งสิ้นและยังมีความเกี่ยวข้องกับความเครียด
รวมทั้งการหมดสภาพ
(burnout) เช่นความอ่อนเพลีย การหมดความอยากต่าง ๆ
ซึ่งล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องด้วยกันทั้งสิ้น
3.
ไม่มีทางที่เราจะหลีกเลี่ยงความเครียดได้ แม้กระทั่งการตื่นนอนก็
เป็นการทำให้ร่างกายทำงานหนักอย่างหนึ่ง
หลายชั่วโมงก่อนตื่น
สมองส่วนที่เรียก ว่า hypothalamus
จะส่งสัญญาณไปยังต่อมอะดรีนาลีนซึ่งอยู่ที่เหนือไต ให้เริ่ม
ผลิตคอร์ติซอลซึ่งเป็นตัวสัญญาณปลุกให้ตื่นจากการหลับ
และเมื่อตื่นแล้วปริมาณ คอร์ติซอลก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
จนกระทั่งมีผลให้
hypothalamus ที่สมองเริ่มหยุดส่งสัญญาณ จากนั้นส่วนอื่น ๆ
ของสมองก็จะค่อย ๆ
เริ่มเข้ามาทำหน้าที่ตามปกติของตนขณะที่ต่อมอะดรีนาลีนก็เริ่มลดการผลิตคอร์ติซอลลง
คอร์ติซอลวัดได้จากน้ำลายและแพทย์พบว่าคอร์ติซอลจะมีปริมาณสูงสุดหลังจากตื่นแล้วหลายชั่วโมง
แต่หลังจากนั้นก็จะค่อย ๆ ลดลง แต่หากท่านเป็นคนที่มีความเครียดมาก
จำนวนคอร์ติซอลจะสูงตลอดวัน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ hypothalamus
ของคนที่มีความเครียดสูงไม่สามารถปิดสวิตช์การผลิตคอร์ติซอลได้
สำหรับผู้ที่ป่วยขั้นหมดสภาพ (burnout) นั้น
จะมีการผลิตคอร์ติซอลจำนวนต่ำทั้งวัน
ดังนั้นการมีคอร์ติซอลสูงหรือต่ำมากไปจึงไม่เป็นผลดีต่อร่างกายทั้งคู่
และทั้งหมดนี้เป็นการย้ำเตือนให้เราอย่าลืมว่า
เมื่อตื่นนอนใหม่ ๆ นั้น
ไม่ควรจะรีบลุกจากเตียงมาทำอะไร ๆ โดยทันที
แต่ควรนอนเล่นสักพักก่อนลุกขึ้นมาโดยเฉพาะผู้มีโรคหัวใจเพราะอาการเส้นโลหิตสมองอุดตันส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นในช่วง
6-8 โมงเช้านี้
4. ความเครียดทำให้แก่เร็ว
นักวิทยาศาสตร์สงสัยมานานแล้วว่าความเครียดส่งผลในทางลบต่อระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์
แต่ก็ไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ได้จนเมื่อสองปีที่แล้ว
เมื่อนักวิจัยที่มหาวิทยาลัย California at San Francisco
ได้ค้นพบว่าในเซลล์เม็ดเลือดขาวของมารดาที่มีความกดดันสูงเนื่องจากบุตรมีความ
บกพร่องทางสมองหรือเป็นออทิสติกหรือความพิการอย่างอื่น
จะมีเซลล์ที่เรียกว่า telomeres สั้นกว่ามารดาทั่ว ๆ ไป
และทำให้มารดาเหล่านี้แก่กว่าสตรีอื่น ๆ ในรุ่นราวคราวเดียวกันถึงราว 9-17
ปีทีเดียว
5. ความเชื่อมั่นในตนเองช่วยแก้ไขความเครียดได้
ได้เคยมีการทดลองในเยอรมนีเมื่อปี ค.ศ. 1995 ให้ชาย 20
คนตกอยู่ในสภาวะความเครียดโดยจัดให้มีการสัมภาษณ์รับสมัครงานและต้องตอบคำถามทางเลขคณิตต่อหน้าคนแปลกหน้า
ซึ่งถ้าตอบผิดก็จะถูกแก้ไข ณ ที่นั้นด้วย ปรากฏว่าในวันแรกปริมาณคอร์ติซอลของผู้ถูกทดสอบขึ้นสูงมากและลดต่ำลงในวันที่สอง
แต่ก็ยังมี 7
คนที่คอร์ติซอล สูงในวันที่ 4 เท่ากับวันแรก จวบจนถึงวันที่ 5
ทั้งหมดจึงไม่ปรากฏอาการเครียดใด ๆ
ซึ่งแสดงว่าประสบการณ์ช่วยให้ชายเหล่านี้เรียนรู้ได้ว่าสถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายถึงปานนั้น
ล่าสุดนักวิจัยที่แคนาดาค้นพบว่า ส่วนในสมองที่เรียกว่า hippocampus
ซึ่งมีขนาดประมาณนิ้วมือของบุคคลที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองน้อย
จะมีขนาดเล็กกว่าของบุคคลโดยทั่วไป
และมีปัญหามากกว่าในการที่จะหยุดยั้งการผลิตคอร์ติซอล
6. วิธีการช่วยลดความเครียด
6.1
หายใจลึก ๆ และช้า ๆ เช่นเดียวกับการหายใจในวิปัสสนาหรือกรรมฐาน
จะช่วยให้หัวใจผ่อนคลาย ลดความดันของโลหิตและช่วยกำจัดของเสียจากเลือดด้วย
6.2
การเดินทางไปพักผ่อนเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมได้ดี
และจากการศึกษาล่าสุด
จะช่วยให้ท่านสามารถมีปฏิกิริยาโต้ตอบได้ดีขึ้นถึงร้อยละ 82
หากท่านใช้เวลาไปพักผ่อนอย่างน้อยสองอาทิตย์โดยไม่เช็กอีเมลเลย
6.3
พยายามหาเพื่อนใหม่ ๆ ที่สามารถพูดเปิดใจกันได้ให้มากขึ้น
ผลการสำรวจคนอเมริกันปีที่แล้ว
ปรากฏว่าแต่ละคนจะมีเพื่อนสนิทเช่นนี้เพียงสองคนเท่านั้น
6.4 ออกกำลังโดยสม่ำเสมอ จะช่วยปกป้องการทำงานของหัวใจ และช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น
6.5 ทานผลไม้และผักให้มาก ๆ
6.6 อย่านอนดึก
6.7
ทำสิ่งที่ชอบ คนที่ได้ทำงานในสิ่งที่ตนเชื่อและชอบจะมีความเครียดน้อย
และหากงานที่ท่านทำอยู่ไม่เป็นเช่นนั้น
ก็ให้หางานอดิเรกหรืองานเพื่อชุมชนทำเพิ่มเติม.