ไปที่เนื้อหา


O_HO_O_HO

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 22 Aug 2005
ออฟไลน์ ใช้งานล่าสุด Jan 12 2011 01:54 PM
-----

กระทู้ที่ฉันเริ่ม

มาใช้วิทยาศาสตร์ ทางใจของคุณด้วยกัน

26 September 2007 - 02:48 PM

สวัสดีครับ หายหน้าหาตาไปนาน ไม่ค่อยได้ติดต่อกะใครที่ไหน มัวแต่ขลุกหัวอยู่กะตำรา หวังว่าจะได้ใช้ความรู้ที่เฝ้าอุตส่าห์ร่ำเรียนมาเป็นเครื่องมือในการสร้างบารมี เลยไม่ได้ค่อยเข้ามาดูว่าใครขออะไรมาในงานเขียนครั้งที่แล้ว ก็กราบขอประทานอภัยมา ณ ที่นี้นะครับ (โหสิๆๆๆนะ)

วันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองเขียนหรอกครับ พอดีบังเอิญเดินผ่านไปเจอบทความดีๆ ที่อยากฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของพี่น้องนักสร้างบารมี และหลังจากอ่านงานนี้ก็มีกิจกรรมบันเทิงเริงใจให้ท่านทั้งหลายได้ร่วม สวมวิญญาณผู้รู้ จรดปากกาทำนายว่า อะไรจะเกิดขึ้นอีกต่อไป ในอนาคต จิ้นๆๆเลยครับ

เรื่องก็มีอยู่ว่า พอดีไปอ่านบทความเรื่องคำทำนาย ๑๐ ราชการของนักเขียนท่านหนึ่ง ซึ่งยาวมากๆๆๆ แต่อ่านไปอ่านมามันส์ดี ก็เลยเอามาฝาก ประเด็นที่จะให้ท่านได้ร่วมพิจารณาก็อยู่ที่ สอง รัชการสุดท้ายอะนะครับ (ถิ่นกาขาว กับ ชาวศิวีไลซ์ อ้อ แต่ไทยมหารัฐกับจักรพรรดิราช ไม่ได้กล่าวถึงใครมีข้อมูลก็แบ่งๆมานะครับ) คำถามก็มีอยู่ว่า
เมื่อเค้าคิดว่าถิ่นกาขาว คือ อย่างนี้ๆๆ แล้วท่านคิดยังไงๆๆๆๆ????????

อ่านดูนะครับ (เตรียมใจนะครับยาวดีแต่มันส์)

(เอามาจากที่นี่ครับ :http://www.palungjit.com/board/archive/index.php/t-5792.html)



ปริศนาพยากรณ์ ๑๐ รัชกาล
***************
ตอนที่ ๑

เรื่องปริศนาพยากรณ์ ๑๐ รัชกาลนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกใหม่ ไม่ใช่เป็นเรื่อง "มงคลตื่นข่าว" หรือกระต่ายตื่นตูมแต่อย่างไร แต่เป็นเรื่องที่หลายท่านอาจจะเคยได้ยินได้ฟังมานาน จากพ่อแม่ ปู่ย่าตายายหรือคนรุ่นเก่าเล่าให้ฟัง หรือบางท่านอาจจะเคยอ่านเจอในหนังสือต่าง ๆ มาบ้างแล้วก็เป็นได้ แต่ผมเชื่อนะครับว่ายังมีอีกหลายท่านที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยอ่าน ไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือบางท่านอ่านแล้วไม่เข้าใจหรืออาจจะลืมไปแล้วก็ได้ ดังนั้นผมจึงถือโอกาสนำมาเขียนบันทึกเอาไว้ในที่นี้ เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้สดับ และใช้ปัญญาพิจารณาถึง เรื่องราวเหตุผล ความเป็นมา ความเป็นไปได้ไม่ได้อย่างไร หากข้อความที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ ผิดเพี้ยนจากข้อมูลที่ท่านเคยได้รับมา หรือ อาจจะมีสิ่งใดที่ส่งผลกระทบต่อผู้ใด ในทางที่ไม่ควรแล้ว ก็ได้โปรดให้อภัยและถือเสียว่า ทั้งหมดนี้เป็นทัศนะอันหนึ่งของผมในด้านโหราศาสตร์ และผมขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว หากจะมีกุศลผลบุญแห่งความดีอยู่บ้าง ผมขออุทิศกุศลนั้น แด่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ครูอาจารย์ ผู้ประสิทธิประสาทวิชาความรู้และผู้มีอุปการคุณทุกท่าน ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และล่วงลับไปแล้ว ตลอดทั้งดวงพระวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม กทม. ซึ่งหลายท่านเชื่อว่า "ท่านเป็นผู้กล่าวคำปริศนาพยากรณ์ ๑๐ ข้อ " นี้ด้วยเทอญ.

ก่อนที่จะได้สดับถึงหัวข้อปริศนาทั้ง ๑๐ ข้อ กระผม ใคร่ขอนำอัตตชีวประวัติโดยย่อของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ซึ่งต่อไปนี้ผมจะเรียกพระนามท่านว่า "สมเด็จโต" และเกร็ดอภินิหารบางตอนที่เกี่ยวกับการพยากรณ์โดยใช้อำนาจจิตมาให้ท่านได้อ่านกันพอสังเขป ดังนี้

สมเด็จโตท่านถือกำเนิดจากโยมมารดา ผู้มีนามว่า "งุด" ส่วนโยมบิดานั้นไม่เป็นที่ปรากฎ แต่ก็มีข้อสันนิษฐานที่น่าเชื่อถือได้ต่อมาในภายหลังว่า โยมบิดาของท่านคือ "พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ แห่งบรมราชจักรีวงศ์" ข้อสันนิษฐานนี้ไม่ใช่เดากันส่งเดชนะครับ มีหลักฐานปรากฎ เป็นลายลักษณ์อักษร และเรื่องราวบันทึกเอาไว้ด้วย เช่น รัชกาลที่ ๒ สมัยดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้า ฯ (ยังไม่ครองราชย์) ได้พระราชทานเรือกราบกัญญา หลังคากระแซง ซึ่งเป็นเรือทรงในพระองค์เจ้าให้แก่สามเณรโต นอกจากนั้นในจดหมายเหตุบัญชีน้ำฝน พระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวิริยาลงกรณ์ เล่ม ๓ หน้า ๔๔ ได้กล่าวถึงประวัติของสมเด็จ ฯ ตอนมรณภาพว่า "สมเด็จพระพุฒาจารย์ถึงชีพิตักษัย" ซึ่งเป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้กับฐานันดรชั้นพระองค์เจ้า และอีกประการหนึ่ง สมเด็จโตท่านมักจะทำอะไรแผลง ๆ ไม่เว้นแม้แต่หน้าพระที่นั่งของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๔ ถ้าเป็นพระราชาคณะรูปอื่นล่ะก็ มีหวังถูกถอดพัดยศ ถูกจับสึกและลงอาญาไปแล้ว แต่สมเด็จโต ฯ พระองค์ท่านกลับไม่ถือสาหาความ และยังเห็นดีเห็นงามในพฤติกรรมของท่าน ที่เป็นอุบายธรรมอันล้ำเลิศอีกด้วย

ในสมัยที่สมเด็จโตยังดำรงสังขารอยู่นั้น ท่านเป็นพระธรรมกถึกเอก (พระนักเทศน์) ที่มีลีลาวาทะจับใจ ประทับใจมาก เป็นที่ศรัทธาปสาทะของชนทุกเหล่า ตั้งแต่กระยาจก สามัญชน เศรษฐี เสนาบดี จนถึงพระเจ้าแผ่นดิน ท่านถือกำเนิดเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๕ ขึ้น ๑๒ ค่ำปีวอก ตรงกับวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๓๑ เวลาประมาณ ๐๖.๕๔ น. ที่บ้านท่าอิฐ ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อถือกำเนิดได้ไม่นาน เกิดภาวะฝนแล้งติดต่อกันหลายปี การทำนาไม่ได้ผล โยมมารดาของท่านจึงได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่กับยายที่บ้านไก่จ้น ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ต่อมาท่านอายุประมาณ ๗ ขวบ มารดาได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่ ตำบลบางขุนพรหม กรุงเทพฯ และได้มอบให้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณอรัญญิก (ด้วง) เจ้าอาวาสวัดอินทรวิหาร เพื่อศึกษาอักขรสมัยเมื่ออายุครบ ๑๒ ปีบริบูรณ์ ตรงกับปีวอก พ.ศ. ๒๓๔๓ ได้บรรพชาเป็นสามเณร โดยมีพระบวรวิริยะเถร (อยู่) เจ้าอาวาสวัดบางลำภูบน(วัดสังเวชวิศยารามในปัจจุบัน) เป็นพระอุปัชฌาย์ ภายหลังได้ย้ายไปอยู่วัดระฆังโมสิตาราม เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมกับ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (นาค เปรียญเอก)

สามเณรโต เป็นผู้มีความวิริยะอุตสาหะ ในการศึกษาเป็นอย่างดี มีวัตรปฏิบัติที่น่าเลื่อมใส จนปรากฎว่า "พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย" เมื่อครั้งยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ทรงโปรดปรานมาก (พระองค์ทรงทราบว่าเป็นพระโอรสเกิดจากนางงุด เพราะหลักฐานรัดประคดหนามขนุน ซึ่งเป็นเครื่องอิสริยศสำหรับแม่ทัพ ที่ได้ให้ไว้แก่โยมมารดาสามเณรโต เมื่อคราวไปราชการทัพและพบรักกับโยมมารดาของท่านที่บ้านเกิด) ได้ทรงรับเอาไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้พระราชทานเรือกราบกัญญาหลังคากระแซงให้ท่านใช้สอยตามอัธยาศัย

เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ตรงกับปีมะโรง พ.ศ.๒๓๕๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้อุปสมบทเป็นนาคหลวง ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)โดยมีสมเด็จพระสังฆราช (สุก) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ให้ฉายาว่า "พรหมรังสี"และเรียก"พระมหาโต" แต่นั้นมา


--------------------------------------------------------------------------------

ตอนที่ ๒

สามเณรโต เมื่อบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาแล้ว พระสงฆ์ทั่วไปเรียกท่านว่า "มหาโต"ด้วยเหตุที่ท่านมีความรู้แตกฉานในพระปริยัติธรรม ล่วงรู้อรรถกถาธรรมในพระไตรปิฏกอย่างแตกฉานตั้งแต่สมัยยังเป็นเณร แม้ท่านไม่เคยเข้าสอบเปรียญธรรม แต่ภูมิธรรมของท่านนั้น เป็นที่ยอมรับปรากฎเด่นชัด ตั้งแต่ตอนที่ไปศึกษาที่วัดระฆัง กับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (นาค) ก่อนที่จะย้ายไป ท่านอาจารย์วัดระฆัง ฝันไปว่า "มีช้างเผือกเชือกหนึ่ง เข้ามากินหนังสือพระไตรปิฏกในตู้ของท่านจนหมด" ซึ่งพอตื่นขึ้น ก็เกิดความมั่นใจว่า จะได้ศิษย์ที่ฉลาดหลักแหลมคนหนึ่ง และก็เป็นจริง วันรุ่งขึ้นสามเณรโตก็ถูกนำตัวมาฝาก ท่านจึงรับไว้ด้วยความยินดี

สามเณรโตเป็นช้างเผือกจริงขนาดไหน ก็ลองฟังสมเด็จพระสังฆราช (สุก) วัดมหาธาตุ ท่านตรัสถึงสามเณรโตดูก็ได้ ว่าก่อนจะเรียนหนังสือ (สมัยนั้นเขาแปลหนังสือจากคัมภีร์ภาษามคธหรือบาลีเป็นภาษาไทย) สามเณรได้ทูลสมเด็จพระสังฆราชว่า"วันนี้จะเรียนตั้งแต่บทนี้ ถึงบทนี้นะขอรับ" เสร็จแล้วเวลาเรียนก็เปิดหนังสือออกแปลจนตลอดตามที่กำหนดไว้ และทำอย่างนี้ทุกครั้ง จนสมเด็จพระสังฆราชผู้เป็นอาจารย์ว่า " ขรัวโตเขามาแปลหนังสือให้ฉันฟัง เขาไม่ได้มาเรียนหนังสือกับฉันดอก" (คำว่า "ขรัว" เป็นคำยกย่องพระผู้คงแก่เรียน มีวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัด บวชเรียนมานาน)
สมเด็จโต ท่านไม่ได้เก่งแต่ทางด้านปริยัติธรรมเท่านั้น ทางด้านปฏิบัติ และปฏิเวธ ท่านก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ใด ท่านเป็นผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็ง อดทน มั่นคง มีเมตตาจิต ตั้งใจจริง ไม่ถือโทษโกรธผู้ใดไม่ใฝ่ในลาภยศ สรรเสริญ ลาภสักการะ มักน้อย รักสันโดษ (ความพอใจ) เมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๒ ท่านทรงหนีเข้าป่า ออกธุดงค์ เจริญกรรมฐาน แสวงหาครูอาจารย์ที่เก่งทางด้านพุทธาคม เนื่องจากท่านไม่ยอมรับสมณศักดิ์ที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๓ ถวายให้

จวบจนถึงรัชกาลที่ ๔ ได้ประกาศให้หัวเมืองจับตัวพระมหาโตกลับมา เพื่อให้รับสมณศักดิ์ให้จงได้ อันที่จริงไม่มีผู้ใดจะจับท่านได้หรอกครับ เพราะท่านมีวิชาแปลงหน้า แต่ท่านสงสารพระภิกษุรูปอื่นที่มีรูปพรรณ สัณฐาน คล้ายกันกับท่าน ต้องถูกจับไปคุมขัง สอบสวน ให้ได้รับความทุกขเวทนา ท่านจึงยอมตนให้ทางบ้านเมืองจับแต่โดยดี เมื่อถูกส่งตัวไปถึงเฉพาะหน้าพระพักตร์ ล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๔ ตรัสว่า "เป็นยุคของฉันครองแผ่นดิน ท่านต้องช่วยกันบำรุงพระศาสนา" ขรัวโตจึงยอมรับสมณศักดิ์ ในตำแหน่ง "พระธรรมกิติ" พอพระราชทานสมณศักดิ์แล้ว ทรงมีพระดำรัสว่า "ในรัชกาลที่ ๓ หนี, ไม่รับสมณศักดิ์ คราวนี้รับ ทำไมไม่หนีอีกล่ะ"

สมเด็จโตถวายพระพรว่า "ก็รัชกาลที่ ๓ ไม่ได้เป็นเจ้าฟ้านี่ เป็นแต่เจ้าแผ่นดิน จึงหนีได้ (ทำนองว่าเป็นเจ้าแผ่นดิน จึงหนีขึ้นฟ้าได้) ส่วนมหาบพิตร เป็นทั้งเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน จะหนีไปข้างไหนพ้น" (อธิบายความว่า รัชกาลที่ ๓ เป็นแค่พระองค์เจ้า เพราะประสูติจากเจ้าจอม ส่วนรัชกาลที่ ๔ นั้น เป็นเจ้าฟ้าเพราะประสูติจากพระมเหสี) เป็นไงครับ ลีลาวาทะของสมเด็จท่าน ยังมีอีกมาก สนใจก็ลองหาหนังสือประวัติของท่านโดยละเอียดดู

สมเด็จโต ท่านเป็นพระเถราจารย์ที่เก่งทุกด้าน จัดเป็นอัจฉริยะบุคคลแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นก็ว่าได้ หลายท่านเชื่อว่าท่านสำเร็จ "ภูมิธรรมชั้นสูงขั้นพระอริยบุคคล" ได้อภิญญาสมาบัติ มีวิชาแปดประการ เช่น แสดงฤทธิ์ล่องหน หายตัว ,ย่นระยะทาง,รู้วาระจิต, รู้อดีต ,รู้อนาคต,รู้ภาษาสัตว์, ห้ามลมห้ามฝน ฯลฯ แต่ในบทความนี้จะขอยกตัวอย่างเกี่ยวกับคำพยากรณ์ของท่านในวาระต่าง ๆ ที่ท่านยังมีพระชนม์ชีพอยู่ และวิธีการพยากรณ์ของท่านก็ไม่ได้ใช้แบบผูกดวง หรือดูโหงวเฮ้ง แต่ท่านใช้จิตศาสตร์ หรือ "นั่งทางใน" ดู จะขอยกตัวอย่างสัก ๒ เรื่อง พอสังเขป ดังนี้

เมื่อครั้งที่ รัชกาลที่ ๔ จะเสด็จไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง ที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์นั้น พระองค์ได้ทรงคำนวณพระชาตาของพระองค์เอง (ทรงเป็นนักดาราศาสตร์และนักโหราศาสตร์ที่มีพระปรีชามาก) ว่าพระชาตาจะถึงฆาต สิ้นอายุขัยในปีนั้นด้วย วันหนึ่งจึงมีพระดำรัสถามสมเด็จโต ณ ที่ รโหฐานว่า พระองค์จะเสด็จกลับมาสวรรคตที่กรุงเทพ ฯ ทันหรือไม่ สมเด็จท่านทูลว่า จะเสด็จกลับทัน จึงเสด็จออกจากกรุงเทพ ฯ ประทับแรมอยู่ที่หว้ากอ ๙ วัน แล้วจึงกลับกรุงเทพ ฯ และเริ่มมีพระอาการประชวรไข้ป่า (มาลาเรีย) จับไข้อยู่ ๓๗ วัน จึงสวรรคต

อีกเรื่องหนึ่งในรัชกาลที่ ๕ เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชทานผ้าพระกฐินที่วัดระฆัง สมเด็จโตท่านแต่งตัวแปลกประหลาด กล่าวคือท่านห่มจีวรเหมือนปกติแต่เอาผ้าพันเท้าทั้งสองข้างเหมือนกับสวมถุงเท้า พระพุทธเจ้าหลวงท่านทรงถามถึงสาเหตุที่ทำอย่างนั้น ท่านถวายพระพระพยากรณ์ว่า "ปีหน้า จะต้องเป็นอย่างนี้" พระองค์ท่านได้สดับก็แย้มพระโอษฐ์ ไม่ได้ตรัสว่ากระไร ในปีนั้นได้เสด็จไปประพาสเมืองสิงคโปร์ เมืองบะตาเวีย และเมืองสะมารัง รวม ๓๗ วัน เมื่อเสด็จกลับมาแล้ว ก็เริ่มทรงจัดการแก้ไขเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมในราชสำนักหลายอย่าง เช่น โปรด ฯ ให้ผู้เข้าเฝ้าแต่งตัวสวมถุงเท้า รองเท้า ใส่เสื้อเปิดคอแบบฝรั่ง เวลาเสด็จประพาสก็โปรดให้แต่งตัวใส่ถุงเท้า รองเท้าเสื้อเปิดคอ และยืนเฝ้าเหมือนกับ ที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ เอาผ้าพันเท้านั้น ก็เป็นนิมิตหมายว่าปีต่อมา ข้าราชการจะต้องสวมุงเท้าเข้าเฝ้า..ก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ

ได้เล่าประวัติของสมเด็จท่านมาพอสมควร ในตอนหน้าก็จะได้ว่ากันต่อถึงคำปริศนาพยากรณ์สมเด็จ ซึ่งมีด้วยกัน ๑๐ ข้อ ซึ่งหมายถึง ๑๐ ยุค หรือ ๑๐ รัชกาล ให้ท่านได้พิจารณากัน โปรดติดตาม


--------------------------------------------------------------------------------

ตอนที่ ๓

เรื่องปริศนาพยากรณ์ ๑๐ ข้อ นั้น เป็นคำพยากรณ์แต่ละยุค แต่ละสมัยสั้น ๆ กล่าวขึ้นมาลอย ๆไม่มีคำอธิบาย แต่คนรุ่นหลังได้จดจำ นำมาพิจารณาถึงแต่ละยุคสมัย ตามหัวข้อคำพยากรณ์แล้ว เข้าเค้าเห็นเป็นเรื่องจริงจังว่า ต้องเป็นคำพยากรณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองแต่ละรัชกาลแน่นอน และพูดกันมากว่า ที่มีด้วยกัน ๑๐ ข้อนั้น น่าจะหมายความถึง "ราชวงศ์จักรีจะมีพระมหากษัตริย์แค่ ๑๐ รัชกาล" ซึ่งเป็นคำพูดคำวิจารณ์ที่อันตรายมาก เป็นสมัยก่อนล่ะก็ "หัวขาด ๗ ชั่วโคตรทีเดียว" ตัวผมผู้เขียนบทความในครั้งนี้ก็เช่นกัน นั่งคิด นอนคิด ตีลังกาคิด (ว่าเข้าไปนั่น ปากกาพาไป) วุ่นวายหลายตลบว่า เอายังไงดีหว่า ไอ้ที่จะหลีกเลี่ยงไม่เขียนคงไม่ได้ซะแล้ว เพราะเคยบอกปาว ๆ ไปแล้วว่าจะเขียน และพอเขียนแล้ว ถ้าาจะเขียนแบบคลุมเครือ เขียนแบบไม่สมบูรณ์ ไม่เต็มกำลังสติปัญญา ก็คงจะทำไม่ได้ เพราะไม่ใช่ลักษณะนิสัยส่วนตัวของผู้เขียน เอาละนะ เป็นไงก็เป็นกัน ลองมาวิจารณ์กันดูสักตั้ง อย่างดีก็คุกล่ะครับถ้าจะเจอข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือหมิ่นราชวงศ์จักรี

คำพยากรณ์ที่ว่าเป็นปริศนา คือ พูดให้คิดกันไปเอง มีด้วยกัน ๑๐ ข้อ ดังนี้

๑. มหากาฬ ๒.พาลยักษ์ ๓.รักมิตร (รักบัณฑิต) ๔. สนิทธรรม ๕. จำแขนขาด ๖.ราษฎร์โจร (ราชโจร) ๗.ชนร้องทุกข์ ๘.ยุคทมิฬ ๙. ถิ่นตาขาว(ถิ่นกาขาว) ๑๐.ชาวศิวิไลซ์

ทีนี้เราจะมาว่าคำขยาย หรือความหมาย ความเป็นไป ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นมาแล้วถึง ๙ ยุค ๙ สมัย หรือ ๙ รัชกาล กันบ้างว่าเป็นอย่างไร ส่วนรัชกาลที่ ๑๐ นั้น ยังไม่เกิด ดังนั้น คำขยายความหมาย หรือเหตุการณ์ จึงเป็นเรื่องของคำพยากรณ์ ทัศนคติ หรือข้อวิจารณ์ของแต่ละคน รวมถึงข้อวิจารณ์ของผมด้วยซึ่งต้องอาศัยกาลเวลาเท่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์

๑. มหากาฬ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงปราบดาภิเษก คือปราบกบฎที่ก่อความเดือดร้อนให้บ้านเมือง และสำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระเจ้าตากสินมหาราช ที่ทรงถูกพวกกบฎจับกุมคุมขังและยึดอำนาจ ฐานวิกลจริต (กล่าวหาว่าเป็นบ้าเสียสติ)ด้วยการนำไปประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์ และตั้งตนเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ในการนี้ทำให้ผู้ที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าตาก และผู้ที่ไม่เห็นด้วย รวมไปถึงผู้ที่เสียผลประโยชน์ เกิดแข็งข้อ ไม่ยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดี ไม่ยอมรับว่างั้นเถอะ จึงได้มีพระบรมราชโองการปราบพวกไม่เห็นด้วย หรือพวกกบฎต่อแผ่นดินใหม่ให้ราบคาบ มีการสังหารล้างโคตรกันทีเดียว ถึง ๘๒ ครัวเรือน มีการประกาศใช้กฎปราบกบถ กฎมณเทียรบาล และกฎอัยการศึก ชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟัน ซึ่งเป็นเรื่องหวาดเสียว น่ากลัวมาก เพราะบ้านเมืองที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ (คือสร้างกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงใหม่) ยังระส่ำระสาย หาความเป็นปึกแผ่นมั่นคงไม่ได้ จึงต้องทำทุกอย่างด้วยความเฉียบขาด จึงเรียกยุคนี้ว่า "ยุคมหากาฬ" หรือ"ยุคดำมืด" เนื่องจากยังไม่แน่ใจว่า "บ้านเมืองใหม่จะอยู่หรือจะไป" ยิ่งมีสงคราม ๙ ทัพ จากพวกคุณหม่องมาสั่นประสาทชาวบ้านด้วยแล้ว ใครเกิดยุคนี้ล่ะก็ ร้องได้คำเดียวว่า "กลัวแล้วจ้า" (เพราะคนไทยยังไม่หายเข็ดกลัวพม่ายังไม่เชื่อมั่นในตัวผู้นำและขุนนาง เพราะสร้างความเหลวแหลกไว้เยอะในตอนก่อนเสียกรุงศรีอยุธยา)

๒. พาลยักษ์ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นยุคแห่งความวิบัติเคราะห์ร้าย ของผู้คนในแผ่นดิน เนื่องจากเกิดอหิวาตโรค (โรคห่า โรคท้องร่วง) ในปี พ.ศ. ๒๓๖๓ โรค ได้ระบาดไปทั่วเมือง มีผู้คนล้มตายลงวันละมากๆ เพราะการแพทย์ในสมัยนั้นยังไม่เจริญ ตามสุสานวัดสำคัญต่าง ๆ เช่น วัดสระเกศ , วัดบพิตรพิมุข เต็มไปด้วยซากศพผู้เสียชีวิต ในแม่น้ำลำคลองก็ยังมีซากศพลอยขึ้นอืดกันให้เกลื่อน เป็นที่อุจาดตาส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง น่าสะอิดสะเอียนเป็นยิ่งนัก ถนนหนทางมีแต่ความเงียบสงัดวังเวง ผู้คนต่างหลบซ่อนอยู่ภายในบ้าน บางครอบครัวก็อพยพหลบหนีโรคร้ายไปอยู่เสียหัวเมือง ในการนี้ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๒ ถึงกับรับสั่งให้ทำพระราชพิธียิงปืนใหญ่รอบกำแพง พระบรมมหาราชวัง ๑ คืน (เป็นความเชื่อที่ว่า โรคห่า เกิดจากการกระทำของยักษ์มาร ภูติผีปีศาจ จึงต้องมีพิธีการสวดมนต์ ปัดรังควาน ยิงปืนใหญ่ขับไล่ ให้มันตกใจกลัวจะได้หนีไป ทำคล้ายกับพิธีสวดภาณยักษ์ หรือสวดอาฎานาฎิยปริตร นั่นแหละครับ) ทรงให้อัญเชิญพระแก้วมรกตอันศักดิ์สิทธิ์ และพระบรมธาตุออกแห่แหน เป็นการขับไล่และปลอบขวัญพลเมือง ในที่สุดโรคร้ายก็สงบ แต่กว่าจะสงบราบคาบประมาณกันว่ามีผู้เสียชีวิตถึงสามหมื่นคนทีเดียว นับว่าไม่น้อยเลยครับในสมัยนั้น

๓. รักมิตร หรือ รักบัณฑิต ในสมัยรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถมากในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการปกครอง การค้าขายกับต่างประเทศ (รัชกาลที่ ๒ ทรงสัพยอกท่านว่า"เจ้าสัว") ได้มีการเริ่มต้นเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศอันได้แก่ อังกฤษ, อเมริกา ฯลฯ โดยเริ่มต้นจากการค้านั่นเอง ดังนั้นจึงเป็นยุคที่ทรงโปรดปรานชุบเลี้ยงคนที่ตั้งใจทำราชการอย่างจริงจัง มากกว่าพวกประจบสอพลอ

๔. สนิทธรรม ในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า พระองค์ท่านทรงออกผนวชนานถึง ๒๗ พรรษา ตลอดรัชกาลที่ ๓ เลยก็ว่าได้ จะเรียกว่าบวชลี้ภัยการเมืองก็ได้ เพราะขนาดออกบวชแล้ว ยังไม่วายูกใส่ร้ายป้ายสี ว่าจะก่อการกบถเลยครับ(ดีนะครับที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๓ ท่านทรงมีน้ำพระทัยหนักแน่น เยือกเย็น ไม่หูเบา) ดังนั้นเมื่อพระองค์ท่านลาสิกขาขึ้นครองราชย์ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของข้าราชบริพารจึงทรงฝักใฝ่ใธรรม สนับสนุนการเผยแพร่จริยธรรม ตลอดจนการพระศาสนาต่างๆ พระองค์เองก็ทรงชุดขาวถือศีล ๘ อย่างเคร่งครัด ฟังธรรมทุกวันธรรมสวณะจึงเรียกยุคนี้ว่า"ยุคสนิทธรรม"


--------------------------------------------------------------------------------

ตอนที่ ๔

๕. จำแขนขาด ในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดเป็นยุคที่น่าเศร้าใจอีกยุคสมัยหนึ่ง เพราะเป็นสมัยที่พวกตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษ และฝรั่งเศส กำลังแข่งขันกรีฑาทัพเข้ายึดประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเซีย เป็นเมืองขึ้น หรือที่เรียกกันว่า "ยุคล่าอาณานิคม" เมืองสยามของไทยเรานั้น เป็นเมืองรักสงบ เปรียบเสมือนลูกแกะ ไม่มีเขี้ยวเล็บอะไรที่จะไปต่อกรกับชาติมหาอำนาจอย่างกับอังกฤษและฝรั่งเศส ประเทศเพื่อนบ้านรอบ ๆ ไทยเรา ก็โดนเขากวาดเรียบไปหมดแล้ว เหลือพี่ไทยอยู่เจ้าเดียวเท่านั้น ดังนั้นในสมัยนี้ ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส จึงบีบไทยทุกด้าน หาเรื่องทุกอย่าง ที่จะเป็นเหตุยกทัพบุกยึดประเทศให้ได้ แต่ด้วยพระปรีชาญาณแห่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง พระองค์ได้ดำเนินวิเทศโยบายอย่างรัดกุม ทรงเสด็จประพาสยุโรป ถึง ๒ หน รวมไปถึงรัสเซียมหามิตรของไทยในสมัยนั้นด้วย นับว่าเป็นผลสำเร็จอย่างดีเยี่ยมเพราะไทยเราได้เพื่อนเอาไว้เป็นไม้กันหมา ถึงกระนั้นก็เถอะ ไทยเรายังต้องยอมเสียดินแดนส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่เอาไว้ คือไม่ให้เกิดสงครามจนเราแพ้ต้องเสียเอกราช คือเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (ร.ศ ๑๑๒ หรือ พ.ศ. ๒๔๓๖) แก่ฝรั่งเศส หลังจากที่ในปี พ.ศ๒๔๓๑ ได้เสียแคว้นสิบสองจุไทย ให้มันไปแล้ว (ขออนุญาตใช้คำว่ามัน เพราะพฤติกรรมเยี่ยงอันธพาล)

ต่อมามันก็หาเรื่องอีก ได้ถอนทัพเรือไปยึดจันทบุรีเอาไว้ ไทยต้องยอมมันอีก โดยยกดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง และเมืองหลวงพระบาง ให้เจ้าเศษฝรั่งไปครอบครอง ให้ไปร้องไห้ไปล่ะครับ ให้จนกว่ามันจะพอใจหรือไม่สามารถหาเรื่องเราได้อีกแล้ว ต้องจำแขนขาดเพื่อรักษาชีวิต หรือผืนดินแผ่นใหญ่เอาไว้ให้ลูกหลานจนทุกวันนี้ (เรื่องของไอ้เศษฝรั่งนี่มันยังทำแสบ โดยวางแผนปลงพระชนม์รัชกาลที่ ๕ เมื่อคราวเสด็จประพาสบ้านเมืองของมันอย่างแยบยล เรื่องราวจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามอ่านในตอน "คำพยากรณ์หลวงปู่เอี่ยม กับ ร.๕"

ส่วนอังกฤษนั้น ค่อยยังชั่วน้อยหน่อย ไม่ถึงกับพาลหาเรื่องนัก โดยในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ ไทยเรายอมทำสัญญา ยกดินแดนหัวเมืองทางมาลายู คือ ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และปะลิส ให้อังกฤษ เพื่อแลกกับสิทธิสภาพนอกอาณาเขต หรือ อำนาจศาลกงสุล

๖. ราษฏร์โจร (ราชโจร) ในสมัยรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นยุคที่ไทยเรามีการนิยมของนอก มีการฟุ้งเฟ้อ เอาอย่าง เลียนแบบ วัฒนธรรมตะวันตก โดยเฉพาะในหมู่ข้าราชบริพาร ขุนน้ำขุนนางในราชสำนัก มีการแต่งตั้งยศถาบรรดาศักดิ์กันมากเกินไป จนแทบจะไม่มีความหมาย เป็นยุคเริ่มต้นแห่งภัยพิบัติในด้านเศรษฐกิจที่จะตามมาในยุคต่อไป การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการปล้นชาติ ปล้นแผ่นดิน ทำลายแผ่นดินทางอ้อม ในสมัยนี้มีผู้คิด#####เปลี่ยนแปลงการปกครองเหมือนกัน แต่ทำไม่สำเร็จกลายเป็นกบฎไป (กบฎ รศ.๑๓๐)

๗. ชนร้องทุกข์ ในสมัยรัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดเป็นยุคที่ผู้คนพลเมืองต้องประสบกับภาวะ "ข้าวยากหมากแพง" ผู้คนอดอยาก แร้นแค้นด้วยสภาวะเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ และผลสืบเนื่องมาจากการฟุ้งเฟ้อในรัชกาลก่อน มีการปลดข้าราชการออกเพราะไม่มีเงินเบี้ยหวัด เงินปีให้ เป็นสมัยที่เริ่มให้ประชาชนมีสิทธิ์มีเสียงร้องทุกข์ แสดงความคิดเห็นจนกระทั่งมีการกระทำที่รุนแรงถึงขั้น#####ยึดอำนาจ ให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบกษัตริย์ มาเป็นประชาธิปไตย จนในที่สุดพระองค์ต้องทรงสละราชสมบัติ และเสด็จไปสวรรคต ณ ต่างประเทศ

๘. ยุคทมิฬ ในสมัยรัชกาลที่ ๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล จัดเป็นอีกยุคหนึ่งที่ประวัติศาสตร์ชาติไทยต้องจารึกไว้ไม่มีวันลืม เพราะองค์ในหลวงอันเป็นที่รักยิ่งของเรา ทรงถูกลอบปลงพระชนม์ ถึงแก่สวรรคต แม้จนกระทั่งปัจจุบันนี้ คดีก็ยังคลุมเครือ เป็นที่วิพากย์วิจารณ์ เป็นที่กินแหนงแคลงใจของคนทั่วไปถึงสาเหตุแห่งการลอบปลงพระชนม์ และผู้บงการ บ้านเมืองในยุคที่เริ่มเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ จัดเป็นยุคที่มีการแย่งชิงอำนาจ มีการ##### รัฐประหาร เข่นฆ่าคนไทยด้วยกันเองจัดได้ว่าเป็น "ยุคทมิฬ" ยุคแห่งความ####มโหด ไร้ความปราณีและศีลธรรมอย่างแท้จริง

๙. ถิ่นตาขาว (ถิ่นกาขาว) ในยุคสมัยปัจจุบันแห่งองค์ล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระภัทรมหาราชเจ้า มีชื่อเรียกยุคนี้ว่า "ถิ่นตาขาว" ซึ่งคงจะหมายถึงพวกฝรั่งตาน้ำข้าวละกระมัง เพราะเป็นยุคที่องค์พระประมุขของเรา พร้อมด้วยองค์พระราชินี ได้เสด็จพระราชดำเนินเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะซีกโลกทางด้านตะวันตก นอกจากนั้นแล้วยังทรงต้อนรับพระราชอาคันตุกะจากประเทศต่าง ๆ ที่มาเยือนอย่างมากมายเช่นกัน ฝรั่งตาน้ำข้าวเองก็ "อะเมซิ่งไทยแลนด์" ไม่น้อย พากันมาเที่ยวเยี่ยมเยียน ไอ้ที่ติดใจสาวไทย รสอาหารแบบไทยๆ บรรยากาศแบบไทยๆ ก็ตั้งรกรากอยู่เมืองไทยซะเลย กลายเป็นถิ่นฐานของพวกเขาไปซะแล้ว เหตุนี้กระมังจึงเรียกยุคนี้ว่า "ถิ่นตาขาว" และอีกคำหนึ่งที่เพี้ยนเสียงไปเป็น "กาขาว" ล่ะ หมายความว่าอย่างไรดี ตอนแรกนะผมนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ว่า "ตา" จะเป็น "กา" ไปได้อย่างไร แต่พอมาระยะ ๕-๖ ปีให้หลังมานี้ผมึง "บางอ้อ" ไม่ใช่พี่ไทยเลี้ยงอีกาสีขาวหรอกครับ เพราะกายังไงเสีย กาขนมันก็ดำวันยังค่ำ แต่ คนไทยเราไม่เจียมบอดี้ หรือไม่เจียมตนน่ะซิครับ ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนสมัยรัชกาลที่ ๖ ไม่ผิดเพี้ยนเลยคือมีการนิยมของนอก มีการใช้จ่ายที่เกินตัว ฟุ้งเฟ้อ เห่อเหิม อยากได้อะไรเป็นต้องได้ ขนาดลงทุนเป็นหนี้เป็นสินเขาดอกเบี้ยสูงขนาดไหนก็เอา เห็นผิดเป็นชอบ เห็นดำเป็นขาว เหมือนอีกาที่ขนดำก็อยากจะทำให้มันขาว คราวนี้แจ่มชัดหรือยังว่า ทำไมเมืองไทยถึงเป็น "ถิ่นกาขาว" หรือ"ถิ่นตาขาว" ไม่รู้ลองไปถามไอ้พวกฝรั่ง " IMF " ดู แล้วจะรู้ไปถึงก้นบี้งหัวใจ


--------------------------------------------------------------------------------

ตอนที่ ๕

๑๐. ชาวศิวิไลซ์ หมายถึงยุคที่ ๑๐ หรือรัชกาลที่ ๑๐ ซึ่งยังมาไม่ถึง มีผู้ตีความกันต่าง ๆ นานาเมื่อดูจากความหมายแล้ว คำนี้มาจากภาษาอังกฤษ หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง สงบสุขร่มเย็น ดังนั้นก็เป็นอันเชื่อขนมกินกันได้เลยว่า ในรัชสมัยต่อไป ประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเราจะต้องเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า มั่นคงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ประชาชนจะอยู่ร่วมกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข หน้าชื่นตาบานกันทุกถ้วนหน้า จริงเท็จประการใด กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์

เรื่องปริศนาพยากรณ์ ๑๐ รัชกาลนี้ ในบรรดาสานุศิษย์ของพระเดชพระคุณพระราชพรหมยานเถระ (มหาวีระ ถาวโร) หรือที่รู้จักกันในนาม "หลวงพ่อฤาษีลิงดำ" ศิษย์เอกองค์หนึ่งของหลวงพ่อปานวัดบางนมโค อยุธยา ซึ่งปัจจุบันท่านได้มรณภาพไปแล้ว สรีระไม่เน่าเปื่อย บรรจุอยู่ในโลงแก้ว ณ พระวิหารวัดท่าซุงจ.อุทัยธานี คงจะได้ยินได้ฟังมาอีกแบบหนึ่งถึงที่มาของคำปริศนาพยากรณ์ กล่าวคือในสมัยที่พระคุณท่านยังดำรงสังขารอยู่ได้เล่าให้ศิษยานุศิษย์ฟังดังนี้

"ในสมัยที่อาตมา (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) อยู่กับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ปีนั้นจำได้ว่าเป็นปี พ.ศ. ๒๔๘๐ หลวงพ่อปานไม่อยู่ อาตมาเป็นนักค้นแล้วก็คว้าด้วย ท่านวางอะไรไว้ที่ไหนไม่มีใครเขากล้าหยิบ แต่อาตมาคนเดียวกล้าหยิบ สันดานมันเลว เป็นลิงนี่จะให้มันเรียบร้อยได้อย่างไร ค้นไปค้นมาในกุฏิหลวงพ่อปานแล้วก็พบสมุดข่อย เป็นคำพยากรณ์ของพระอรหันต์สมัยกรุงศรีอยุธยา พยากรณ์ไว้ตั้งแต่กรุงเทพยังไม่ปรากฏ แต่สมุดข่อยนั้นเก่า ขาดกระรุ่งกระริ่ง ข้อความก็ขาด จึงไปกราบเรียนามหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานท่านก็บอกว่า เดิมหนังสือเล่มนี้เป็นสมบัติของหลวงปู่คล้าย แต่ทว่ามันเก่าเต็มทีก็เลยจ้างเขาเขียนไว้ในสมุดข่อยอีกเล่มหนึ่ง แล้วหลวงพ่อปานก็สั่งให้ไปหยิบหนังสือเล่มนั้นจากกุฏิของท่านซึ่งซุกไว้ใต้ตู้นาฬิกา เอาผ้าสีแดงห่อไว้อย่างดีเหมือนกับจะเตรียมไว้ให้เจ้าลิงอ่าน เมื่อเปิดผ้าออกดูแล้วปรากฎว่าหนังสือเล่มนั้นดูราวกับว่าจะมีอายุสัก ๓๐ ปีเศษ ๆ ตัวหนังสืออ่านง่าย เป็นคำทำนายของหลวงพ่อใย ซึ่งเป็นพระอรหันต์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้พยากรณ์กรุงเทพมหานครซึ่งจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าและกล่าวถึงพระเจ้าแผ่นดินของกรุงเทพมหานครไว้ด้วยดังนี้

๑.มหากาฬผ่านมหายักษ์ ๒.รู้จักธรรม ๓.จำต้องคิด ๔.สนิทธรรม ๕.จำแขนขาด ๖.ราษฏร์ราชาโจร ๗.นั่งทนทุกข์ ๘.ยุคทมิฬ ๙.ถิ่นกาขาว ๑๐.ชาววิไล

รัชกาลที่ ๑ มหากาฬผ่านมหายักษ์ หมายถึง สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกผ่านพระเจ้าตากสินไม่ใช่ฆ่า ตามประวัติศาสตร์บอกว่า พระเจ้าตากสินถูกรัชกาลที่ ๑ สั่งปลงพระชนม์ โดยใส่กระสอบแล้วเอาท่อนจันทน์ทุบให้ตายนั้น อันนี้อาตมาเห็นทีจะต้องยอมรับ อาตมานะรับรองว่าคำสั่งก็ต้องเป็นคำสั่งจริง ๆ ประหารก็ต้องประหารจริง ๆ แต่ว่าคนที่ตายนั้นไม่ใช่พระเจ้าตากสิน เป็นคนอื่นเขาตายแทน แล้วพระเจ้าตากสินไปทางไหน ทำไมจึงต้องทำกันอย่างนั้น นี่เป็นเรื่องของการเมือง พระเจ้าตากสินทรงกู้ชาติสมัยที่กรุงศรีอยุธยาแตกในคราวนั้นได้ตีฟันฝ่าข้าศึกออกมา จะเอาเงินที่ไหนออกมาแล้วในระหว่างกู้ชาติ จะเอาเงินทองที่ไหนมา การบริหารประเทศต้องใช้เงิน นั่งคิดดูซิความลำบากของพระเจ้าตากสินมีเพียงใด

เรื่องนี้มันต้องมีการกู้การยืมกัน อาตมาพูดเท่านี้แหละ แต่ขอยืนยันว่าพระเจ้าตากสินไม่ได้ตาย ขอให้นักประวัติศาสตร์สืบค้นกันให้ดี แล้วจะพบจุดสำคัญของประวัติศาสตร์ จะหาว่าพระราชวงศ์จักรีเป็นกบฏต่อพระเจ้าตากสินแล้วขึ้นเถลิงราชย์ไม่ได้ เพราะเป็นพระราชประสงค์ของพระเจ้าตากสินเอง เพื่อหวังจะให้ชาติไทยอยู่รอด ทรงความเป็นชาติไทยต่อไป และเพราะอะไรพระองค์จึงไม่ทรงสละราชสมบัติเฉย ๆ นั่นเป็นเรื่องของการเมือง ทำไม่ได้ พระเจ้าตากสินมหาราชไม่ใช่เป็นกษัตริย์ที่มีความโง่ไม่รู้เท่าทันคน ถ้าพระองค์มีความโง่ไม่รู้เท่าทันคนแล้ว จะทรงกู้ชาติได้อย่างไรภายในปีเดียว ขอให้ท่านพุทธบริษัททั้งหลายช่วยกันพิจารณาด้วยปัญญาที่แท้จริง เอาระบบการเมืองเข้ามาเทียบเคียงกับความจริง แล้วจะทราบความจริงต่อไปในวันข้างหน้า เอากันแค่นี้ก็พอ

รัชกาลที่ ๒ รู้จักธรรม ให้พระสงฆ์ทั้งหลายค้นคว้าพระธรรมวินัยกันใหญ่ รัชกาลที่ ๓จำต้องคิด พระองค์ทรงคิดหนัก ก่อนจะสวรรคตทรงมีลายพระหัตถ์ ถึงรัชกาลที่ ๔ ว่า ถ้าฉันตาย ฉันไม่ตั้งรัชทายาท เมื่อฉันตายแล้วลูกของฉันถ้าไม่ให้รับราชการ ก็ให้ลงโทษเพียงแค่เนรเทศ อย่าให้ถึง กับต้องฆ่าแกงกันเลย รัชกาลที่ ๔ สนิทธรรม ทรงผนวชถึง ๒๗ พรรษาและทรงเชี่ยวชาญด้านธรรมะ รัชกาลที่ ๕ จำแขนขาด เสียดินแดนให้แก่พวกฝรั่งเศสและอังกฤษ

รัชกาลที่ ๖ ราษฏรราชาโจร ชาวบ้านหาว่าพระองค์เป็นโจร เอาเงินในท้องพระคลังไปใช้เสียหมด (สร้างเมืองจำลอง ดุสิตธานี, สร้างพระราชวังสนามจันทร์ นครปฐม) ความจริงพระองค์ทำเช่นนั้น เพราะต้องการให้คนไทยรู้จักคำว่าประชาธิปไตย โดยพระองค์ท่านทำทุกอย่างเพื่อให้คนทั้งหลายเห็นว่ากษัตริย์ไม่ได้ทรงถือพระองค์เล่นโขนเล่นละครกับคนทั่วไปก็ได้ รัชกาลที่ ๗ นั่งทนทุกข์ ทรงเถลิงราชสมบัติในช่วงของเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ต้องให้ข้าราชการออก เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทรงสละราชสมบัติ รัชกาลที่ ๘ ยุคทมิฬ เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง และพระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ รัชกาลที่ ๙ ถิ่นกาขาว คนไทยเห่อตามพวกฝรั่ง ทั้งแฟชั่น เครื่องแต่งกายเพลงร้อง อะไร ๆ ก็ฝรั่งทั้งนั้น ถึงจะดี รัชกาลที่ ๑๐ ชาววิไล คือยุคที่บ้านเมืองของไทยเจริญรุ่งเรืองอย่างเต็มที่ แต่ตอนนี้เหตุการณ์ยังมาไม่ถึง

เป็นไงครับท่านผู้อ่านที่เคารพ ลองใช้ปัญญาพิจารณาเปรียบเทียบหาเหตุผลกันเอาเอง ผมมีหน้าที่นำเสนอ จากตำรับตำรา หนังสือวารสารต่างๆ ที่มีอยู่เท่านั้น ในขณะที่เขียนบทความอยู่นี้เราท่านทั้งหลายยังมองไม่เห็นทางเลยนะครับ ว่าอนาคตข้างหน้าของไทยเรานั้นจะเจริญรุ่งเรืองได้อย่างไร ตราบใดที่ยังเป็น "ทาสเศรษฐกิจ" ของฝรั่งตาน้ำข้าว IMF อยู่ แม้เราท่านจะไม่รู้ไม่เห็นเหตุการณ์ในอนาคต แต่ท่านเกจิจารย์ท่านหนึ่งเคยกล่าวเอาไว้ว่า

"ในราวปลายรัชกาลที่ ๙ หรือรัชกาลที่ ๑๐ นี้ ประเทศไทยจะขุดพบแร่สำคัญชนิดหนึ่ง ซึ่งมีกำลังคล้ายแร่ยูเรเนียมแต่ทว่ามีกำลังสูงกว่า ถ้าใช้ทางด้านสันติจะมีความเย็นสามารถเผาโรคได้ด้วยอำนาจของความเย็น ถ้าใช้ทางด้านพลังงาน ก็จะมีพลังงานสูงมาก ถ้าใช้ฆ่าฟันกันก็จะมีพลังงานมากยิ่งกว่าแร่ที่เขาใช้กันในปัจจุบัน เวลานี้ขุดมาได้ก็เหนื่อยเปล่า ๆ ไม่มีประโยชน์ ถึงเวลามันจะปรากฎเอง และเมืองไทยจะมีทรัพยากรต่าง ๆ ปรากฎขึ้นมาอีกมากมาย เริ่มตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นต้นไป และจะค่อยๆ มีมากขึ้นอย่างเต็มที่ เมื่อกลางสมัยรัชกาลที่ ๑๐ ต่อไป ประเทศไทยจะมีความมั่งคั่งสมบูรณ์ ประเทศชาติจะร่ำรวยมาก "



เอาละครับ ถึงคิวท่านเขียนแล้ว




อ้าว!!!นึกว่าอะไร Pure Lands

24 August 2007 - 10:06 AM

ก็เช่นเดิมครับ วันนี้ก็มีเรื่องเล่าเก้าสิบอย่างที่ผ่านมา หลังจากที่ไปสะกิดต่อมวิทยาศาตร์ของลูกพระธรรมให้ออกมาแชร์ความเห็นไประยะหนึ่ง คราวนี้หันกลับมาดูเรื่องราววิทยาศาสตร์ทางใจของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานลูกพี่ลูกน้องของเราบ้างนะครับ


ครั้งหนึ่งเคยไปอ่านงานวิจัยของฝรั่งท่านหนึ่ง ท่านได้อ้างถึงคัมภีร์สมาธิเก่าแก่ของพระจีนรูปหนึ่ง ซึ่งท่านได้กล่าวว่า "เวลานั่งสมาธิ เธอต้องทำพระพุทธรูปใสให้เกิดขึ้น แล้วทำจากหนึ่งให้เป็นร้อย ทำจากร้อยให้เป็นพัน แล้วทำจากพันให้เป็นแสน และเป็นจำนวนที่ Countless หรือ ว่านับไม่ได้นั่นเอง"

ประโยคนี้เองทำให้เกิดความสนใจว่า เออ เราเห็นแต่การฝึกสมาธิแบบเถรวาทเราแล้ว จริงๆแล้วมหายานเค้าฝึกสมาธิกันอย่างไร

พอดีได้มีโอกาสสนทนากับพระหลวงจีนท่านหนึ่งมาจากไต้หวั๋น เป็นพระที่มีความรู้เรียนปริญญาโท Master of Philosophy University of Sydney แล้วได้มีโอกาสถามท่านว่า

หลวงพี่ฝึกสมาธิยังไงครับ ท่านก็ ตอบว่าท่านฝึกแบบอานาปานสติ และท่านก็อธิบายต่อว่า ท่านฝึกแบบที่พระจีนส่วนใหญ่เค้าไม่ฝึกกัน

อ้าว แล้วส่วนใหญ่เค้าฝึกกันอย่างไร ก็ถามท่านไป ท่านก็ตอบว่า ส่วนใหญ่ก็นึกถึงพระนั่นล่ะ เมื่อได้ฟังคำตอบดังกล่าวก็เลยมาถึงบางอ้อ ว่า อ๋อ ท่านก็ใช้ Buddha Visualisation พุทธานุสสติเหมือนกันเนอะ

ต่อมาไม่นานก็ได้ถามปัญหาคาใจท่านอีกรอบหนึ่งว่า หลวงพี่ แล้วPure Land หรือแดนสุขาวดีนี่มัน คืออะไร ที่ถามนี่ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพราะปัจจุบันคนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิด ว่า มหายานเค้าเปรียบแดนสุขาวดีเป็นพระนิพพาน ท่านก็บอกว่า ไม่ใช่หรอก

แดนสุขาวดีนี่คือ สถานที่ที่พระโพธิสัตว์ผู้ที่จะสร้างบารมีไปเป็นพระพุทธเจ้าท่านอยู่กัน อ้าว ก็เลยถามท่านต่อไปว่า ตกลงมันคือ ดุสิตบุรีหรือเปล่า ท่านก็บอกว่า ดุสิตบุรีนั่นคือ สวรรค์ชั้นที่สี่ แต่แดนสุขาวดี เป็นที่อยู่หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Site เขตแดน บนดุสิตและมากไปกว่านั้นท่านอธิบายเพิ่มเติมว่า แต่ละSiteขนาดต่างกันนะ บางก็ใหญ่บ้างก็น้อย เพราะมีพระโพธิสัตว์อยู่ในนั้นจำนวนต่างกัน

โอ้ พอท่านอธิบายมาถึงตรงนี้ก็เลย ถึงบางอ้อ ว่า ที่แท้แดนสุขาวดี นี่ก็คือ วงบุญของพระอริยะต่างๆนี่เอง

และเมื่อท่านบอกว่า นี่พระศรีอริยเมตไตยท่านก็มีวงบุญของท่าน พระอมิตาภะ ท่านก็มีวงบุญของท่าน คนที่จะเป็นพระอรหันต์ส่วนใหญ่ก็จะอธิษฐานให้ไปเกิดกับพระศรีอริยเมตเตยแล้วลงมาเกิดพร้อมท่าน แล้วไปนิพพานพร้อมกัน
ส่วนของท่านอมิตาภะท่านนี่แปลก ท่านจะชวนพระโพธิสัตว์ผู้มีบุญทั้งหลายให้สร้างบารมีเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้า (แนวคิดนี้คุ้นๆน่ะ) ด้วยเหตุนี้เองหลวงจีนส่วนใหญ่จึงอธิษฐานจิตให้ไปเกิดกับพระอมิตาภะ เพราะอยากเป็นพระพุทธเจ้าว่างั้นเถอะ

แต่ปัญหาที่ทำให้คนเข้าใจผิดก็คือ พุทธศานสนามหายานเค้าเรียก นิยตโพธิสัตว์ว่าเป็น พระพุทธเจ้า เพราะท่านได้รับการพยากรณ์แล้วก็เท่านั่นละครับ

ทั้งนี้ในคัมภีร์ของมหายานเองก็อธิบาย แดนสุขาวดี ว่า ในที่นั้นมีพระพุทธเจ้าอยู่มากมายแต่องค์ที่จะลงมาตรัสรู้องค์ต่อไป คือ พระศรีอริยเมตเตย หรือ ในสมัยพุทธกาลเราก็คือ พระอชิตะนั่นล่ะครับ อันนี้ชัดเจนครับ

จริงอยู่ครับว่า แนวคิดเรื่องแดนสุขาวดีนี่อาจจะเกิดขึ้นมาหลังจากที่พระพุทธองค์ทรงปรินิพพานแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็มีมูลความจริงไม่น้อยทีเดียว แม่นบ่อ

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ วงบุญของพระโพธิสัตว์ที่ท่านกล่าวถึง นั้นสังกัดกระทรวงไหนน้อ จะเป็นพระทรวงศึกษาธิการ รึเปล่า หรือ ว่าท่านจะรู้ไหมน้อ ว่า มีกระทรงกลาโหมอยู่เคียงข้าง ที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน happy.gif nerd_smile.gif
ไม่รู้ว่าไปชวนมาจะมาไหมน้อ ก็ต้องรอดูกันไป ระยะทางยังอีกยาวไกล แต่ก็ไม่ไกลเกินกว่าใจจะไปถึง

ข้อคิดอย่างหนึ่งที่เป็นจุดที่น่าสังเกตุว่า การศึกษาพุทธศาสนาปัจจุบันนี่ ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจกัน เพราะไม่ได้มองไปถึงตัวคำสอนของกันและกัน ปิดใจก่อนจะคุยกัน ก็เลยไม่เข้าใจกัน พอเชื่อต่างกันก็เลยทำไม่เหมือนกัน พอทำไม่เหมือนกัน ก็เลยทำให้แตกต่างกัน พอแตกต่างก็แยกแยก เหมือนอย่างที่คุณครูไม่ใหญ่ท่านให้โอวาทไว้จริงๆ

ทั้งนี้ หากจะทำดำริ พุทธบุตรต้องเป็นหนึ่งเดียว ให้เป็นจริง เปิดใจคุยกันจริงๆละน่ะครับ แล้วก็มองหาจุดร่วมประสานกันให้เป็นหนึ่ง

แต่เมื่อไหร่ที่ศึกษาเพื่อมองความแตกต่าง หรือ เปรียบเทียบ ก็จะเจอความแตกต่างและเชื่อมโยงไปถึงความแตกแยกนั่นเอง แต่หากคิดว่า เรากับเค้าก็มาจากพ่อเดียวกันคือพระพุทธเจ้า ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องแตกแยก

ปัจจุบันพวกที่ไม่รู้ก็ดึงชื่อเหล่าพระโพธิสัตว์ต่างๆมาเป็นของเล่น เล่นเป็นเจ้าพ่อนั่น เจ้าแม่นี่ มั่วไปหมด ก็เลยทำให้คนเกิดความสับสน เช่นเคยครับก็ไม่ใช่หน้าที่ของใครอื่นที่จะต้องไปสร้างความเข้าใจ ก็คงจะเป็นเราท่านนักสร้างบารมีนี่ล่ะนะครับ ที่ต้องออกแรงกันอีกที

แต่ไงก็อาจจะสรุปได้ ว่า ศาสตร์แห่งใจของพี่น้องเราก็ไม่ธรรมดาทีเดียว

สู้ต่อไป

(แหม๋จริงๆอยากอธิบายไปถึงโน้นครับ ต้นกำเนิดของท่านกวนอิม กับ แนวคิดฝ่ายธิเบต แต่วันนี้กลัวจะยาวเหยียดไปคงพักไว้แค่นีก่อน แล้วใครมีข้อมูลอะไรดีๆก็เอามาลงขันกันนะครับ)



ภาพถ่ายพันจักรวาลของกล้องดาวเทียม Habble

20 August 2007 - 04:32 PM

หลายเดือนก่อนหน้านี้ มีโอกาสได้สนทนากับเพื่อนต่างศาสนาที่สถาบันภาษาแห่งหนึ่ง ซึ่งเพื่อนคนนั้นก็ปรารถนาดีหวังให้เกิดศรัทธาในพระผู้สร้างของศาสนาตน จึงได้ยื่นหนังสือเล่มหนึ่งเขียนเป็นภาษาอังกฤษ ชื่อทำนองว่า มหัศจรรย์พระผู้สร้าง

[/size]

ซึ่งโดยเนื้อหาแล้วก็ได้กล่าวถึง ความรู้ของพระผู้สร้างว่า ท่านสามารถมองเห็นสภาวะของทารกในครรภ์มารดาว่ามีลักษณะเหมือนปลิง มากไปกว่านั้นท่านก็พูดเหมือนว่า ท่านรู้ว่าใต้ทะเลมีคลื่นกระแสน้ำไหลแรงสูงอยู่ ยิ่งไปกว่านี้ท่านบอกว่า ก่อนฝนจะตกเมฆจะรวมตัวกันเป็นก้อนใหญ่ ซึ่งความรู้เหล่านี้เป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยอมรับในปัจจุบัน

[/size]

เมื่อได้อ่านจบ ก็ได้พบว่า โอ้สิ่งนี้มหัศจรรย์หนอ ก็บอกเพื่อนต่างศาสนาไปอย่างนั้น โดยที่ตัวเองก็ไม่กล้าบอกเค้าไป ว่า เพื่อนเอ๋ย พุทธศาสนาเรา เค้าบอกมากว่านี้ เย๊อะ!!!!”



เรื่อง ลักษณะทารก เหมือนปลิง เวลาคนแท้งลูก หมอตำแยก็พูดได้ เรื่อง คลื่นใต้น้ำ เรื่องอย่างนี้ ชาวประมงก็บอกถูก ส่วนเรื่องเมฆจับตัวเป็นก้อนนั่งมองดูยังไงๆวันหนึ่งก็มองเห็นจริงไหมครับ



คราวนี้มาดูเรื่องของพุทธศาสนาเราบ้าง ว่า เป็นอย่างไร???? ถ้าใครเรียนพระอภิธรรม ท่านจะรู้ว่า ในพระอภิธรรม ไม่ได้บอกเฉพาะว่า ทารกเหมือนตัวปลิงหรอกครับ บอกตั้งแต่ปฏิสนธิวิญญาณ การแตกตัวของเซล์ การแตกตัวเป็นห้าสาขา ตลอดจนบอกเวลา ว่า นานเท่าไหร่กว่าจะออกมาเป็นคน พูดง่ายๆว่าอธิบายวิวัฒนาการของมนุษย์เป็นฉากๆๆ อย่างน่าทึ่ง

มากไปกว่านั้น
นอกจากเรื่องในตัวส่วนหยาบแล้ว ท่านไม่ได้บอกแค่เรื่องเมฆหรอกครับ ท่านบอกเรื่องจักรวาลอย่างที่เราท่านทั้งหลายได้รับทราบกัน ซึ่งเรื่องพวกนี้ วิทยาศาสตร์เพิ่งเดินตามก้นมาแบบติดๆ ประดุจดัง ความรู้พุทธศาสนาอยู่โลกธาตุหนึ่งแล้ว วิทยาศาสตร์ไปอยู่อีกโลกธาตุ ที่ห่างๆกันเป็นระยะทางที่นับไม่ได้ว่าไกลขนาดไหน (ติดๆมาก)



ไม่กี่ปีมานี้เองครับ กล้องดาวเทียมของฝรั่งเค้า ชื่อ ว่า The Hubble เปิดเผยเผยภาพถ่ายที่ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อน โดยพาดหัวเรื่องว่า The Hubble Deep Field: The Most Important Image Ever Taken แปลคล้ายๆลักษณะว่า ภาพถ่ายที่สำคัญที่สุดที่เคยถ่ายมาของกล้อง Hubble (เค้าว่าอย่างนั้นนะครับ)



โดยเนื้อเรื่องแล้ว เค้าอธิบายว่าเมื่อก่อน เขาเข้าใจว่าโลกของเรา เป็นดาวดวงเดียวที่มีสัตว์มีชีวิตอยู่ ในจักรวาลนี้ แต่เมื่อไม่นานมานี้ ปี 1995 เหล่านักดาราศาสตร์ก็ต้องเปลี่ยนใจ เมื่อเจ้ากล้องติดดาวเทียม( Habble Space Telescope) ผู้น่ารักนี้ ได้ถ่ายภาพความละเอียดสูงไปเจอสถานที่แห่งหนึ่งในมุมเล็กๆของจักรวาล แล้วไปเจอแกแลกซี่ อยู่รวมกันหลายๆๆพันแกแลกซี่ ซึ่งจากหลักฐานโดยภาพถ่าย กล่าวว่า เป็นแกแลกซี่ที่สมบูรณ์แบบ คล้ายๆทางช้างเผือกเรา กระจายเหมือนดอกไม้หลากชนิดโปรยเต็มท้องฟ้าอะไรประมาณนั้นครับ และแต่ละแกแลกซี่ก็เต็มไปด้วยหมู่ดาวนับล้านดวง



เหล่านักดาราศาสตร์ทั้งหลายได้ตั้งข้อสมมุติฐานใหม่ทันที และทันที ว่า โอ้ ดูเหมือน เราคงไม่ได้อยู่คนเดียวในจักรวาลแล้วล่ะสินะ เพราะดูท่าทางแล้ว แกแลกซี่พวกนี้ ดูเหมือนว่าจะมีดาวคล้ายๆโลกเราอยู่ด้วย แต่ก็อย่างว่าครับ เมื่อวิวัฒนาการในโลกเรา ยังไม่สามารถเดินทางไปถึงสถานที่ที่อยู่ห่างไปกว่าหลายๆล้านปีแสงได้ เหล่า นักดาราศาสตร์ก็ได้แต่นั่งมองด้วยความหวังว่าวันหนึ่งเราจะไปให้ถึง เหมือนคุณตูบมองว่า เมื่อไหร่จะได้นั่งเครื่องบิน



หากจะเปรียบไปแล้ว จักรวาลในวิทยาศาสตร์ ก็คงเป็นแกแลซี่ในพุทธศาสนา และ โลกธาตุในพุทธศาสนาก็ประดุจจักรวาลของนักดาราศาสตร์นั่นล่ะครับ (ถ้าผมพูดผิดก็ชี้แนะด้วยครับ) ทั้งนี้ เรื่องพวกนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใดในพุทธศาสนา เก่ากว่าสองพันกว่าปีมาแล้ว แต่ทำไมไม่ยอมเชื่อกันน้า ว่า วิทยาศาสตร์ทางใจในพุทธศาสนาก้าวหน้า กว่าที่คุณคิด



ที่กล่าวมาทั้งหมด ประเด็นก็คือ ว่า “เพื่อนรวมโลกเรานี่ ที่เลื่อมใสในเทวนิยม เมื่อไหร่นะเค้าจะรู้ ว่าเค้าไม่รู้ หรือ เมื่อไหร่น้าที่เค้าจะรู้ ว่าสิ่งที่เค้ารู้นั่นล่ะ คือ ความไม่รู้” ดูเหมือนว่า การตอบคำถามนี้น่าจะเป็นหน้าที่ของเรานะครับ… พูดแล้วเหนื่อยแทน แต่ไงก็ สู้ต่อไปนะเกียร์บัน.......................



เช่นเดิมครับ เอาวีดีโอสั้นๆ ดูได้ที่นี่ครับ

http://youtube.com/w...p...ted&search=
http://youtube.com/w...p...ted&search=


[size="3"]

ก็เป็นการนำเสนอความรู้ใหม่ๆน่ะครับ ผมเองก็ได้แต่ดู และฟังเค้าว่ามาส่วนเรื่องภาพถ่ายจะจริงๆไม่จริง ท่านผู้อ่านก็ดูในไฟท์คลิ๊ปที่ส่งมาให้ แล้วพิจารณาเองน่ะครับ แต่ยังไงเสีย ก็ขอบคุณที่เข้ามาแชร์ความรู้นะครับ
[size="3"]

วิธีถ่ายUFOด้วยกล้องInfra-red ของฝรั่ง

15 August 2007 - 07:51 AM

ก็ถือว่าเป็นการแก้ตัวกับบทความก่อนที่กล่าวถึงความเชื่อเรื่องUFOของฝรั่งเค้าอะน่ะครับ เพราะบางท่านกดเข้าไปดูแล้วอาจจะไม่เจออะไรอาจจะทำให้เสียอารมณ์ ด้วยใจจริงอยากให้ดูวีดีโอคลิ๊ปที่ได้มา แต่ทั้งนี้ไม่สามารถอัพโหลดได้ก็เลย เอาอย่างนี้ล่ะกัน ผมเลยดูแล้วสรุปให้ แล้วตั้งหัวข้อใหม่ว่า ชาวตะวันตกเชื่อว่า UFO และมนุษย์ต่างดาวอาศัยอยู่ปนๆกับมนุษย์เรา แต่เราไม่สามารถมองเห็นเค้าได้เพราะเทคโนโลยี่ที่เค้าใช้สูงกว่าเรามาก แต่ทั้งนี้เค้าก็มีวิธีในการถ่ายภาพUFOอย่างง่ายๆให้ได้ลองพิสูจน์กัน ซึ่งในวีดีโอก็ชัดเจนครับ ว่า เค้าทำได้จริงๆ ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ลองอ่านและพิจารณาดูนะครับ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องงมงายหรอกครับ แต่เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์

ตามข้อมูลที่ได้จาดวีดีโอสั้นๆนี้นะครับ ในวีดีโอดังกล่าวได้กล่าวว่า หลายปีก่อนได้มีการจับภาพ UFO ได้ด้วยกล้องที่ใช้ฟิล์มอิฟาเรส โดยช่างกล้องมือดี ชื่อว่า Trevor James Constableในปี 1950’s และเขาได้ข้อสรุปว่า UFO บางชนิดไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ด้วยความสามารถของกล้องดังกล่าวที่สามารถจับสัญญาณคลื่นของจานบินดังกล่าวได้ โดยเห็นเป็นลักษณะคล้ายๆรอยด่างบนภาพ James จึงตั้งสมมุติฐานว่า Some UFOs live with Creature กล่าว คือ พวกเค้าอาศัยอยู่กับมนุษย์ และเค้าเรียกมัน ว่า Critters (แปลว่า บุคคล สัตว์ หรือ สิ่งที่สร้างขึ้น)

ในปี 1994’s Jose Escamilla ค้นพบปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Rods คือ มีวัตถุประหลาดลักษณะแท่งยาวๆคล้ายแท่งโลหะสีเงิน ลอยเป็นกลุ่มด้วยความเร็วสูงบนท้องฟ้าในเมืองต่างๆ แต่ยากที่จะมองเห็น เค้าจึงได้คิดค้นระบบการถ่ายภาพใหม่ จึงสามารถจับภาพวัตถุดังกล่าวได้ อย่างชัดเจน

ในปี 1995’s ขณะที่นักบินอวกาศสองคน ของNASA ปฏิบัติหน้าที่ในอวกาศนอกโลก และมีการถ่ายทอดภาพวีดีโอเหตุการณ์ดังกล่าวลงมายังโลก ปรากฏว่าภาพที่ถ่ายทอดลงมายังโลกถ่ายติดวัตถุลึกลับ Unidentified Flying Object หรือ UFO ที่กำลังบินออกมาจากชันบรรยากาศของโลก ด้วยเหตุการณ์นี้เอง จึงเป็นสามารถให้เกิดการถกเถียงในหมู่ชนว่า “How much NASA know about UFO?” กล่าวคือ NASAรู้เรื่องมนุษย์ต่างดาวมากน้อยขนาดไหน ดังในวีดีโอบรรยาย บรรยากาศของการทำงานของมนุษย์อวกาศว่า “Looks like you’ve got an object right in front of you Mark can you look out there?” (ดูเหมือนว่าคุณได้วัตถุ (หรือ จานบิน) ด้านขวาข้างหน้าคุณ Mark!! คุณสามารถมองเห็นตรงนั้นไหม และ มนุษย์อวกาศ ตอบไปว่า “I don’t see what you are talking about.”( ผมไม่เห็นว่าอะไรที่คุณกำลังพูดถึง) แล้วการสนทนาก็สิ้นสุดที่ Never mind ของ Martyn Stubbs , Secret NASA Transmissions.

ใน NASA Infra-Red UFO footage ได้เปิดเผยภาพจานบินต่างๆที่สามารถบันทึกในช่วงหลายปีก่อน ซึ่งภาพเหล่านั้นก็ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณชนแต่อย่างใด ทุกวันนี้การปรากฏตัวของ UFOs ดังกล่าวสามารถถูกจับภาพได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในการประดิษฐ์กล้องบันทึกภาพอย่างง่าย โดยมีช่างกล้องฝีมือดีคนหนึ่งได้คิดค้นวิธีในการบันทึกภาพ UFOs โดย ตั้งกล้องสองตัวไว้ในที่เดียวกัน เค้าบอกว่าใช้วิธีนี้สิ Two cam-recorders of the same Make and Model are set up side by side. Camera one on the left is set for regular daytime recording และ Camera Two on the right is set on Night-shoot which has been converted to shoot in broad daynight. เมื่อเค้าใช้กล้องทั้งสองส่ายไปในท้องฟ้าเวลากลางวันแจ้งๆนี่ล่ะครับ เพื่อหาUFOs

ผลปรากฏออกมาว่า ในกล้องที่ตั้งค่าเป็นเวลากลางวันไม่สามารถจับภาพใดได้เลย แต่ในกล้องตัวที่ตั้งเป็นการถ่ายภาพกลางคืน กลับที่ภาพUFOลอยอยู่ในกล้องอย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้เค้าจึงสรุปว่า จานบินที่แฝงตัวอยู่ในโลกปัจจุบันไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ถ้าอยากเห็นต้องอาศัยเทคนิคทางการถ่ายภาพที่ถูกวิธีเท่านั้นเองล่ะ อันนี้น่าจะเอาไปลองที่วัดบ้างนะครับ เผื่อแถวๆวัดเราอาจจะมี เพื่อนต่างโลกมาทำบุญบ้าง

Astronaut Edgar Michell- The Disclosure Project Apollo 14 หนึ่งในนักบินอวกาศที่ได้ไปเหยียบดวงจันทร์กล่าวโดยใจความว่า เป็นเวลานานที่Nasaไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้แก่สาธารณชน ส่วน Colonel Phillip J.Corso, The Disclosure Project Head of Foreign Technology –The Pentagon กล่าวโดยใจความ ว่า ให้เปิดเผยเรื่องUFOแก่ชนรุ่นหลังเถอะ เค้าเหล่านั้นไม่ได้โง่ อย่าไปโกหกพวกเค้าด้วยการกุเรื่องปกปิด

สรุปง่ายๆ ว่า ขนาดนักบินNASAเองก็รู้เรื่องนี้มานานแล้ว แต่เค้าไม่สามารถพูดได้ก็เท่านั้นเอง

แต่อยากจะบอกเค้าเหมือนกันว่า พุทธศาสนารู้มาสองพันแล้ว ตั้งแต่สมัยคุณๆทั้งหลายเชื่อว่า โลกแบนอยู่เลย

ลิงค์ดาวโหลด วิดีโอคลิ๊ปครับ
http://www.yousendit...i...E9PQ&crrpt=
รู้สึกจะใช้ได้แค่สองสัปดาห์น่ะครับ