ไปที่เนื้อหา


* * * * * 1 คะแนน

กรรมอะไรค่ะ ที่ทำให้บุคคลมีเครื่องเพศ 2 อย่างในคนเดียวกัน


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 6 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 *pattanun*

*pattanun*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 03 September 2005 - 03:56 PM

กรรมอะไรค่ะ ที่ทำให้บุคคลมีเครื่องเพศ 2 อย่างในคนเดียวกัน
แล้วเค้าจะเลือกเพศยังไงค่ะว่าจะเป็นชายหรือหญิง

#2 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 04 September 2005 - 02:08 AM

เป็นวิบากกรรมจากการประพฤติผิดศีลข้อที่ ๓ (กาเมสุมิจฉาจาร) ครับ ซึ่งบุคคลที่มีอวัยวะเพศทั้ง ๒ แบบอยู่ในร่างเดียวกันนั้น ภาษาพระท่านเรียกว่า "อุภโตพยัญชนก"

ซึ่งเป็นวิบากกรรมที่เบาบางกว่าพวกผู้หญิงขายบริการ กระเทย ทอม ดี้ เกย์คิง-ควีน และเสือใบ ลงมาแล้ว บุคคลจำพวกนี้ เวลาใดที่รู้สึกเป็นชาย อิตถีภาวรูปก็ไม่ปรากฏ ส่วนเวลาใดที่รู้สึกว่าเป็นหญิง ปุริสภาวรูปก็ไม่กรากฏเช่นเดียวกัน (แต่ความรู้สึกดังกล่าวนั้น เกิดขึ้นไม่พร้อมกันนะครับ) เรียกได้ว่า อวัยวะเพศสามารถทำงานได้ในภาวะใดภาวะหนึ่ง ตามที่ตนเองกำลังรู้สึกตัวอยู่ว่า ตนกำลังมีความยินดีเป็นเพศใด เมื่อมีจิตคิดปรารถนาดังนี้แล้ว เครื่องเพศในภาวะ/ความรู้สึกขณะนั้นก็จะทำงาน สำหรับส่วนที่ไม่ต้องการก็เหมือนไม่มี ดังนี้ครับ

"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#3 *pattanun*

*pattanun*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 10 September 2005 - 11:18 PM

แล้วจำเป็นรึเปล่าค่ะ ว่าพวกผู้หญิงขายบริการ กระเทย ทอม ดี้ เกย์คิง-ควีน และเสือใบ ลงมาแล้ว
จะต้องเป็นแบบนี้ทุกคน

#4 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 11 September 2005 - 01:44 AM

ไม่จำเป็นหรอกครับ ถ้าหากเขาเหล่านั้น สามารถบำเพ็ญทาน ศีล และภาวนา อย่างอุกฤษฏ์ยิ่งยวดได้ตลอดรอดฝั่งตราบกระทั่งหมดสิ้นอายุขัย ทว่า การรักษาศีลเพื่อนำไปสู่ความหลุดพ้นจากวิบากกรรมดังกล่าว จะต้องเป็นการบำเพ็ญตนให้อย่ในกรอบของอุโบสถศีลแต่เพียงเท่านั้น ส่วนการเจริญภาวนา ก็ต้องเข้าถึงพระธรรมกาย จึงจะสามารถหลุดพ้นจากบ่วงกรรมนี้ได้ในที่สุดครับ
"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#5 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 23 September 2005 - 12:55 AM

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ "บัณเฑาะก์"


"บัณเฑาะก์" มาจากคำว่า "ปณฺฑก" หมายถึง ผู้ที่มีเครื่องหมายของบุรุษหรือสตรีเพศขาดตกบกพร่องไป หรือที่เราท่านทั้งหลายเรียกบุคคลประเภทนี้ว่า "กะเทย" ซึ่งแบ่งออกเป็น ๕ จำพวก ได้แก่

๑) นปุงสกบัณเฑาะก์ หมายถึง กะเทยที่ไม่ปรากฏเพศ (คือ มีรูปร่างลักษณะสัณฐานเป็นชาย แต่ไม่มีอวัยวะเพศ) มีเพียงแต่ช่องปัสสาวะเท่านั้น อีกทั้งไม่สามารถประกอบกิจได้ดั่งบุรุษเพศโดยทั่วไป (โดยจำพวกแรกนี้ เป็นการแสดงโดยตรง)

ส่วนอีก ๔ จำพวกนั้น (เป็นการแสดงโดยอ้อม) ได้แก่

๒) อาสิตตกะบัณเฑาะก์ หมายถึง กะเทยที่เมื่อมีความกระวนกระวายด้วยอำนาจกามราคะขึ้นแล้ว กระทำโอษฐ์กามกับบุรุษอื่น ครั้นดูดกินซึ่งน้ำอสุจินั้นแล้ว จึงระงับความกระวนกระวายลงได้ หรือเป็นไปในลักษณะที่ ตอนแรกยังไม่กำหนัดยินดี แต่เมื่อได้ดูดกินแล้วจึงเกิดความกำหนัดยินดี

๓) อุสสูยบัณเฑาะก์ หมายถึง กะเทยซึ่งเมื่อได้โอกาสแอบดูบุรุษและสตรีร่วมเสพกามรสกัน ก็พลันบังเกิดดวงจิตคิดริษยา ในขณะเดียวกัน ความกำหนัดของตนก็ระงับดับลง ประหนึ่งดั่งว่าตนได้ร่วมเสพด้วยฉะนั้น

๔) โอปักกะมิกะบัณเฑาะก์ หมายถึง กะเทยที่เป็นโดยการถูกตอน เพื่อไม่ให้เกิดความกำหนัดยินดี อาทิ พวกขันทีในสมัยโบราณ ผู้ซึ่งมีหน้าที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกับนางสนมกำนัลในของพระมหากษัตริย์ (กะเทยจำพวกนี้ มิได้เป็นมาแต่กำเนิด)

๕) ปักขะบัณเฑาะก์ หมายถึง กะเทยซึ่งเมื่อเวลาข้างแรม (กาฬปักษ์) มาถึง มักเกิดความยินดี และกระวนกระวายในกามด้วยอำนาจอกุศลกรรม เมื่อถึงเวลาข้างขึ้น (ชุณหปักษ์) ความกระวนกระวายก็ระงับดับหาย หรือในบางกรณีก็เป็นไปในทางกลับกัน


#6 *Guest*

*Guest*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 24 September 2005 - 03:38 PM

QUOTE
"บัณเฑาะก์" มาจากคำว่า "ปณฺฑก" หมายถึง ผู้ที่มีเครื่องหมายของบุรุษหรือสตรีเพศขาดตกบกพร่องไป หรือที่เราท่านทั้งหลายเรียกบุคคลประเภทนี้ว่า "กะเทย" ซึ่งแบ่งออกเป็น ๕ จำพวก ได้แก่

๑.) นปุงสกบัณเฑาะก์ หมายถึง กะเทยที่ไม่ปรากฏเพศ (คือ มีรูปร่างลักษณะสัณฐานเป็นชาย แต่ไม่มีอวัยวะเพศ) มีเพียงแต่ช่องปัสสาวะเท่านั้น อีกทั้งไม่สามารถประกอบกิจได้ดั่งบุรุษเพศโดยทั่วไป (โดยจำพวกแรกนี้ เป็นการแสดงโดยตรง)

ส่วนอีก ๔ จำพวกนั้น (เป็นการแสดงโดยอ้อม) ได้แก่

๒.) อาสิตตกะบัณเฑาะก์ หมายถึง กะเทยที่เมื่อมีความกระวนกระวายด้วยอำนาจกามราคะขึ้นแล้ว กระทำโอษฐ์กามกับบุรุษอื่น ครั้นดูดกินซึ่งน้ำอสุจินั้นแล้ว จึงระงับความกระวนกระวายลงได้ หรือเป็นไปในลักษณะที่ ตอนแรกยังไม่กำหนัดยินดี แต่เมื่อได้ดูดกินแล้วจึงเกิดความกำหนัดยินดี

๓.) อุสสูยบัณเฑาะก์ หมายถึง กะเทยซึ่งเมื่อได้โอกาสแอบดูบุรุษและสตรีร่วมเสพกามรสกัน ก็พลันบังเกิดดวงจิตคิดริษยา ในขณะเดียวกัน ความกำหนัดของตนก็ระงับดับลง ประหนึ่งดั่งว่าตนได้ร่วมเสพด้วยฉะนั้น

๔.) โอปักกะมิกะบัณเฑาะก์ หมายถึง กะเทยที่เป็นโดยการถูกตอน เพื่อไม่ให้เกิดความกำหนัดยินดี อาทิ พวกขันทีในสมัยโบราณ ผู้ซึ่งมีหน้าที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกับนางสนมกำนัลในของพระมหากษัตริย์ (กะเทยจำพวกนี้ มิได้เป็นมาแต่กำเนิด)

๕.) ปักขะบัณเฑาะก์ หมายถึง กะเทยซึ่งเมื่อเวลาข้างแรม (กาฬปักษ์) มาถึง มักเกิดความยินดี และกระวนกระวายในกามด้วยอำนาจอกุศลกรรม เมื่อถึงเวลาข้างขึ้น (ชุณหปักษ์) ความกระวนกระวายก็ระงับดับหาย หรือในบางกรณีก็เป็นไปในทางกลับกัน



แล้วเกย์ถือเป็นบัณเฑาะก์หรือไม่ ดูเหมือนจะเข้าพวก แต่ก็ไม่เข้าพวก

หมายเหตุ : ข้อ ๓ ,๕ กะเทยประเภทนี้ไม่เคยพบเคยเห็น

#7 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 26 September 2005 - 03:33 AM

เกย์ ก็คือ เกย์ บัณเฑาะก์ ก็คือ บัณเฑาะก์ คนละพวกกันนะครับ (แต่พวกบัณเฑาะก์จะมีเวรกาเมฯ ที่แรงกว่าพวกเกย์ครับ) ส่วนบัณเฑาะก์ประเภทที่ ๓ และ ๕ นั้น ตามความเห็นของกระผมคิดว่า ในปัจจุบันก็มีนะครับ เพียงแต่เราไม่มีโอกาสได้พบเห็นเท่านั้นเอง

สำหรับท่านอื่นมีความเห็นว่าอย่างไรกันบ้างครับ???