ทำบุญให้พ่อแม่
#1
Posted 07 June 2006 - 10:40 AM
#2
Posted 07 June 2006 - 10:59 AM
#3
Posted 07 June 2006 - 11:29 AM
ถามเขาดูแล้ว ทำไมบวชแค่ ๗ วัน บางคนแค่ ๓ วัน เขาบอกว่าถ้าบวช
นานแล้วเผลอไปผิตศีลเข้า ก็สู้บวชแค่ ๑ วันแล้วศีลบริสุทธิ์หมดไม่ได้
ไม่รู้ถูกหรือเปล่า
#4
Posted 07 June 2006 - 12:08 PM
. . .
สำหรับวิธีนี้ ผมหมดสิทธิ์ . . .เพราะนั่งยังมืดอยู่เลย . . .
#5
Posted 07 June 2006 - 12:11 PM
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#6
Posted 07 June 2006 - 12:24 PM
#7
Posted 07 June 2006 - 12:34 PM
อย่าลืมทำใจใสๆ ตอนพระให้พร และอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน กายท่านจะสว่างและได้เลื่อนขั้น
ตามกำลังบุญครับ
#8
Posted 07 June 2006 - 12:54 PM
นานแล้วเผลอไปผิตศีลเข้า ก็สู้บวชแค่ ๑ วันแล้วศีลบริสุทธิ์หมดไม่ได้
ไม่รู้ถูกหรือเปล่า?
ถูกต้องครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#9
Posted 07 June 2006 - 01:33 PM
น้าจี้
#10
Posted 07 June 2006 - 05:41 PM
บุญที่ทำให้ท่านด้วยความกตัญญูไงครับ^^
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#11
Posted 08 June 2006 - 08:16 AM
แล้วทั้งผู้ให้,วัตถุทาน,และผู้รับต้องบริสุทธิ์
ทำแล้วก็ต้องปลื้มทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำ...
เมื่อมีความปลื้มแล้ว(ผลบุญนี้จะได้มีกำลังแรง)ก็อุทิศส่วนบุญไปให้คุณพ่อคุณแม่ที่ล่วงลับครับ
#12
Posted 08 June 2006 - 09:27 AM
ส่วนบุญอื่นๆก็ต้องทำ เพื่อเพิ่มกระแสบุญหล่อเลี้ยงตัวของลูกเอง-เพื่อความไม่ประมาทในปัจจุบันด้วย
นั่งสมาธิอย่างสมำเสมอ ให้ต่อเนื่อง ขยันๆ นั่งทุกวันทุกคืน หากลูกเข้าถึงธรรมะภายในได้เอง ไปช่วยพ่อแม่ได้เองจะดีที่สุด เป็นความกตัญญูที่ลูกจะได้ทำ ความกตัญญู กตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี
#13
Posted 08 June 2006 - 02:16 PM
ถ้าดีสุดก็ต้องเข้าถึงธรรมกายในตัวค่ะ ส่งบุญได้ตรงๆเลย
#14
Posted 08 June 2006 - 04:26 PM
#15
Posted 09 June 2006 - 06:01 AM
ตอนนี้ท่านได้พระธรรมกายประจำตัว ๑ องค์แล้ว
ตอนนี้ก็พยายามจะทำบุญทุกบุญอยู่
เรื่องบวชก็ต้องให้ภาระทางโลกน้อยลงกว่านี้ก่อน
#16
Posted 09 June 2006 - 01:07 PM
. . .
สำหรับวิธีนี้ ผมหมดสิทธิ์ . . .เพราะนั่งยังมืดอยู่เลย . . .
ไม่จริงครับขอยืนยันด้วยโอวาทคุณครูไม่ใหญ่
*แม้มืดตื้อมืดมิดก็มีสิทธิ์เข้าถึงธรรม*
*ใครบ้างที่ทำไม่ได้จ๊ะ----> คนตาย/คนบ้า/คนที่ไม่ได้ทำ*
#17
Posted 10 June 2006 - 08:46 AM
ถ้าเกิดเวลาไหนเกียจคร้านขึ้นมา เราก็ลองมานึกว่า ไม่ได้นะ เราต้องนั่งสมาธิ นั่งเอาบุญเพื่อคุณพ่อคุณแม่ด้วย เราจะได้ขยันขึ้นค่ะ
#18
Posted 22 October 2006 - 04:37 AM
#19
Posted 28 March 2007 - 12:14 PM
#20
Posted 19 January 2008 - 08:18 PM
ผู้หญิง อภิธรรม 7 คัมภีร์
ผู้หญิงบวชไม่ได้ ต้องจัดสร้างพระ อภิธรรม 7 คัมภีร์ ถือว่าได้ตอบแทนบุญคุณ บิดามารดา และค่าน้ำนม
และวิญญาณบรรพบุรุษจะได้ไปสู่สุขคติ
#21
Posted 30 January 2008 - 10:11 PM
และประการสุดท้ายไม่ว่า พ่อแม่จะไม่สนใจก้อตาม ให้น้อมนำ อภัยทานมาใช้ ให้เกิดถายในใจตลอดเวลาและเป็นไปด้วยความใจเย็นๆ เพราะท่านทั้งสอง ทำยังไงๆ ท่านก้อยัง เป็นพ่อแม่ของเราอยู่ดี ควรให้เวลากับท่านทั้งสองมากๆ ถ้าหากว่าท่านยังไม่เกิดศรัทธา ในคำสอนของพระพุทธเจ้า ในหมวดหมู่ใดๆก้อตาม ไม่ใช่ปัญหาเพราะ ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ได้เสมอ ๆ ไม่เช่นนั้นไม่เรียกว่า มันเป็นปัญหา ปัญหามีไว้ให้เราทุกๆคนแก้ การแก้ปัญหาจึงเป็นการใช้ปัญญาที่มีมาจัดการ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว เราจะปราถนาอยากมีสติปัญญาไปทำไมกัน พราะสติปัญญานั้น เป็นดังการเดินทาง ยิ่งเราได้ออกเดินทางมากเท่าไร จุดหมายปลายย่อมใกล้เข้ามาทุกขณะเวลา
ขอความสุขทั้งหลายจบังเกิดแด่ท่านทั้งหลายเทอญ สาธุ