รู้ธรรมทำบาป ไม่รู้ธรรมทำบาป
#1
โพสต์เมื่อ 20 August 2006 - 07:24 PM
กับ คนที่ไม่รู้ธรรมะแล้วธรรมบาปแบบเดียวกันกะคนรู้ธรรมะ
อยากทราบว่า ใคร ควร จะ ได้ ผลของกรรมชั่ว เยอะกว่ากันครับ ^^
ขอแบบกระจ่างนะครับ สงสัยจริงๆ
ขอบคุณครับ
---------------------------------
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#2
โพสต์เมื่อ 20 August 2006 - 08:12 PM
แต่สำหรับคนที่ไม่รู้นั้น มักจะทำกรรมชั่ว "ไปเรื่อย ๆ" และมักจะมากขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่มีทางแก้ไข
การรู้ เป็นขั้นต้นของการแก้ปัญหา ถ้ารู้แล้วไม่หมั่นปฏิบัติเพื่อละอกุศล ซึ่งเป็นขั้นต่อไป สุดท้ายจิตใจที่ชินกับการทำชั่วก็จะเพิกเฉยต่อความรู้นั้นไป และกลายเป็นผู้ไม่รู้ในที่สุด
แต่ผู้ไม่รู้ที่พยายามขวนขวายให้รู้ ในที่สุดก็สามารถเอาดีได้เหมือนกัน
ฉะนั้น ต้องเทียบอย่างนี้ครับ รู้ดีกว่าไม่รู้ด้วยประการทั้งปวง ไม่ทำชั่วดีกว่าทำชั่วด้วยประการทั้งปวง คนที่รู้แล้วยังทำ กับคนที่ทำโดยไม่รู้ ถ้าไม่ขวนขวายให้รู้ และไม่ขวนขวายเพื่อละกรรมชั่ว สุดท้ายก็เอาตัวไม่รอดเหมือนกันครับ
#3
โพสต์เมื่อ 20 August 2006 - 08:24 PM
1. เจตนาแรงกล้ามากน้อยแค่ไหน
รู้ก็เจตนาแรงได้ เช่น แม้รู้แต่โมโหขาตสติ หรือเจตนาเบาก็ได้ เช่น รู้ว่าเลี้ยงปลาขายเป็นบาป แต่ยังหาอาชีพไม่ได้ก็จำใจ
ไม่รู้ก็เจตนาแรงได้ เช่น ฆ่าปลาตาย เพราะคิดว่า เทพเจ้าสร้างมาให้เป็นอาหารมนุษย์ หรือ เจตนาเบาได้ เช่น เดินเหยียบมด ใช่มั้ยครับ
2. ใช้ความพยายามมากน้อยแค่ไหน
รู้ก็ใช้ความพยายามมากหรือน้อยได้ ใช่มั้ยครับ
ไม่รู้ก็ใช้ความพยายามมากหรือน้อยได้ ใช้มั้ยครับ
3. ทำกับผู้มีคุณมากน้อยเพียงไหน
รู้ก็ทำกับผู้มีคุณมากหรือน้อยได้ ใช่มั้ยครับ
ไม่รู้ก็ทำกับผู้มีคุณมากหรือน้อยได้ ใช่มั้ยครับ
#4
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 02:21 AM
คนที่รู้ว่าร้อนกับคนที่ไม่รู้ว่าร้อน ใครจะจับแรงกว่ากัน
มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับรู้ไม่รู้ แต่ขึ้นอยู่กับความรุนแรงหรือเจตนาค่า
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#5
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 03:09 AM
1. เจตนาแรงกล้ามากน้อยแค่ไหน
รู้ก็เจตนาแรงได้ เช่น แม้รู้แต่โมโหขาตสติ หรือเจตนาเบาก็ได้ เช่น รู้ว่าเลี้ยงปลาขายเป็นบาป แต่ยังหาอาชีพไม่ได้ก็จำใจ
ไม่รู้ก็เจตนาแรงได้ เช่น ฆ่าปลาตาย เพราะคิดว่า เทพเจ้าสร้างมาให้เป็นอาหารมนุษย์ หรือ เจตนาเบาได้ เช่น เดินเหยียบมด ใช่มั้ยครับ
2. ใช้ความพยายามมากน้อยแค่ไหน
รู้ก็ใช้ความพยายามมากหรือน้อยได้ ใช่มั้ยครับ
ไม่รู้ก็ใช้ความพยายามมากหรือน้อยได้ ใช้มั้ยครับ
3. ทำกับผู้มีคุณมากน้อยเพียงไหน
รู้ก็ทำกับผู้มีคุณมากหรือน้อยได้ ใช่มั้ยครับ
ไม่รู้ก็ทำกับผู้มีคุณมากหรือน้อยได้ ใช่มั้ยครับ
คุณหัดฝันกล่าวชอบแล้ว และถึงแม้จะมีคำกล่าวของเหล่าบรรดาอรรถกถาจารย์ที่ว่า
ก็ตาม ถึงกระนั้น ท่านอย่าได้ปลงใจเชื่อไปเสียทั้งหมดทีเดียว ท่านพึงพิจารณาใคร่ครวญถึงการกระทำในกายทวาร วจีทวาร และมโนทวารอันปรากฏมีของบุรุษผู้นั้นว่า เป็นการกระทำที่ประกอบไปด้วยเจตนาหรือไม่? เป็นหลัก พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ฉะนั้น แม้ว่าผู้ที่ทำบาปจะเป็นผู้รู้ธรรมหรือไม่ก็ตาม แต่หากกระทำลงไปด้วยเจตนาอย่างแรงกล้า ย่อมเป็นผู้ถึงความเสมอกันในภพนี้และภพหน้า เสมอกันภพนี้และภพหน้านั้นเป็นไฉน? โดยความเสมอกันแห่งภพนี้ คือ ย่อมเป็นผู้ได้รับผลอันเผ็ดร้อนแห่งอกุศลวิบากตามสมควรแก่เหตุอย่างเห็นผลในปัจจุบัน โดยความเสมอกันในภพหน้า คือ ย่อมเป็นผู้มีวิถีเบื้องหน้าในอภิสัมปรายภพอันดำดิ่งลงสู่จตุราบายภูมิ ได้แก่ กำเนิดแห่งสัตว์นรก เดรัจฉาน เปรต และอสุรกาย ตามสมควรแก่กรรมของตน จากคำกล่าวของเหล่าบรรดาอรรถกถาจารย์ในข้างต้น ย่อมเป็นที่ทราบดีว่า ผู้ที่ทำบาปโดยไม่รู้นั้น อุปมาได้กับการจับถ่านเพลิงอันลุกโชนด้วยเปลวไฟอย่างไม่ยั้งมือ จึงมีโทษมาก ส่วนผู้รู้ธรรมแล้วทำบาปเช่นเดียวกันกับผู้ไม่รู้ แต่ในขณะที่ลงมือกระทำนั้น จิตของตนประกอบไปด้วยเจตนาอย่างแรงกล้า ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว วิบากโทษที่เกิดขึ้นตามมาหาเล็กน้อยดังคำอุปมาไม่ ดูตัวอย่างของโกกาลิกภิกษุผู้เป็นอันเตวาสิกแห่งเทวทัตต์เถระนั่นเถิด ท่านอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารแห่งพระศาสนาของพระสมณโคดมบรมไตรโลกนาถแท้ๆ แต่ด้วยอำนาจของอกุศลเข้าสิงจิต จึงได้กล่าวบริภาษพระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้าและพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ซึ่งถ้าหากพิจารณาตามบริบทของโกกาลิกภิกษุแล้ว ท่านย่อมเป็นผู้รู้ธรรม เพราะเหตุว่า ได้อุปสมบทอยู่ในพระศาสนาแห่งองค์มหาสมณศากยบุตร เป็นประการแรก ประการที่สอง ท่านย่อมรู้ว่าสิ่งใดเป็นกรณียกิจพึงกระทำ และสิ่งใดเป็นอกรณียกิจพึงเว้น ตามพระโอวาทานุศาสนีแห่งพระบรมศาสดา แม้กระนั้นก็ตาม ด้วยความที่ท่านเป็นผู้ดำรงตนอยู่ในพระศาสนาแห่งพระตถาคต แต่มิได้ดำรงตนไว้ในทางที่ชอบตามกรอบแห่งพระธรรมวินัย จึงเป็นเหตุให้ดวงจิตพ่ายแพ้แก่บาปอกุศล และส่งผลให้ท่านต้องเสวยทุกข์โทษในอเวจีมหานรกสิ้นกาล ๑ มหาปทุมะ
ดังนั้น บทสรุปแห่งกระทู้นี้ก็คือ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#6
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 04:10 AM
จากเนื้อความที่ขีดเส้นใต้สามารถพิจารณาได้อีกนัยหนึ่งว่า ผู้รู้ธรรมนั้นสามารถจำแนกได้ว่า สิ่งใดเป็นกุศลและอกุศล ย่อมเป็นผู้ฉลาดในการประกอบกรรม แม้มีเหตุให้ต้องกระทำในสิ่งที่เป็นอกุศลกรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ตาม อาทิ ผู้รู้ธรรมท่านหนึ่งต้องการกำจัดปลวกที่มากัดกินเนื้อไม้ภายในศาลาปฏิบัติธรรม ซึ่งถ้าหากไม่มีการกำจัดปลวกเหล่านั้นออกไป ย่อมส่งผลให้ศาลาปฏิบัติธรรมเกิดความเสียหายตามมา จึงต้องดำริหาวิธีในการกำจัด ซึ่งท่านผู้รู้ย่อมทราบดีว่า การฆ่าโดยเจตนาด้วยวิธีประการต่างๆ นั้น อย่างไรเสียย่อมเป็นบาป จึงดำริหาอุบายในการกำจัดซึ่งหลีกเลี่ยงการฆ่าให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด โดยการใช้ยากำจัดปลวกในลักษณะของการขับไล่แต่เพียงประการเดียวเท่านั้น และหากจะมีคำถามตามมาในภายหลังว่า มีบาปเกิดขึ้นบ้างไหม? ย่อมต้องมีอยู่บ้าง แต่กรรมที่เกิดจากการตายของปลวกนั้น ย่อมเป็นกรรมที่ทำโดยมิได้เจตนา (กตัตตากรรม/กตัตตาวาปนกรรม) ดังนั้น จากคำกล่าวที่ว่า "ผู้รู้ธรรมทำบาป ย่อมมีโทษน้อยกว่า ผู้ไม่รู้ธรรมทำบาป" นั้น จึงมีความหมายอีกนัยดังได้
พรรณนาสาธกมาด้วยประการฉะนี้
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#7
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 03:02 PM
#8
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 11:04 AM
อยู่แค่สองอย่างค่ะ
รุนแรง หรือ เจตนา
ไม่มีลุ้นเร่งจองมองที่หมาย
ก็จะพบผู้รู้อยู่กลางกาย
ธาตุอ่อนแก่มากมายถึงปลายทาง
#9
โพสต์เมื่อ 23 August 2006 - 04:12 PM
แล้วถ้าเกิดพลาดพลั้งทำอนันตริยะกรรม5อย่างโดยไม่เจตนา
กับ ทำอนันตริยะกรรม5 โดยเจตนาละครับ
อยากทราบว่า
คนที่ไม่ได้เจตนาทำ ก็คงจะไม่ต้องตกนรกอเวจีเหมือนกับคนที่เจตนาสิครับ
^^ ตอบให้หน่อยนะครับ
กรรมจะเท่ากันมั๊ย?
-----------------
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#10
โพสต์เมื่อ 23 August 2006 - 04:24 PM
แล้วถ้าเกิดพลาดพลั้งทำอนันตริยะกรรม5อย่างโดยไม่เจตนา
กับ ทำอนันตริยะกรรม5 โดยเจตนาละครับ
อยากทราบว่า
คนที่ไม่ได้เจตนาทำ ก็คงจะไม่ต้องตกนรกอเวจีเหมือนกับคนที่เจตนาสิครับ
^^ ตอบให้หน่อยนะครับ
กรรมจะเท่ากันมั๊ย?
กระทู้แนะนำสำหรับอ่านประกอบ:
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=4429
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=4957
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=5019
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#11
โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 12:52 AM
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#12
โพสต์เมื่อ 09 November 2006 - 11:17 PM