อะไรคือโฉมหน้าดั้งเดิมก่อนเราเกิดมา
#1
โพสต์เมื่อ 08 May 2006 - 03:33 PM
หลังจากที่พระจวีจือบวชได้ไม่นาน วันหนึ่งมีภิกษุณีมาที่วัดภิกษุณีนั้นใส่หมวกที่สานด้วยไม้ไผ่ และถือกระบองที่ทำด้วยตะกั่ว มาถึงก็เวียนรอบพระจวีจือ 3 รอบ
ถ้าเจ้าพูดออกมาได้ ข้าพเจ้าจะถอดหมวกนี้ออก พระจวีจือไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ภิกษุณีนั้นเลยขอลากลับ พระจวีจือเห็นว่าใกล้ค่ำแล้ว เลยบอกให้พักค้างคืนที่วัดก่อน
ถ้าเจ้าพูดออกมาได้ ข้าพเจ้าก็จะอยู่ก่อน แต่พระจวีจือไม่ทราบว่า
ภิกษุณีนั้นต้องการให้พูดอะไร หลังจากเรื่องนี้ผ่านไป พระจวีจือรู้สึกสังเวชใจมาก ที่ไม่สามารถตอบภิกษุณีนั้นได้ เมื่อพระอาจารย์ของพระจวีจือมาหา พระจวีจือจึงเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง พระอาจารย์ไม่พูดอะไร ได้แต่ชูหัวแม่มือให้พระจวีจือดู พระจวีจือจึงรู้แจ้งทันที
หลังจากนั้นเมื่อมีผู้มาถามธรรมมะ พระจวีจือจะตอบคำถามด้วยการชูหัวแม่มืออย่างเดียว ครั้นเวลานานเข้า สามเณรในวัดก็เลียนแบบบ้าง
ทุกครั้งที่อาจารย์ไม่อยู่ เมื่อมีผู้มาถามธรรมะ ก็จะชูหัวแม่มือขึ้นมาเหมือนกัน
เรื่องรู้ถึงหูพระจวีจือ จึงถามเณรน้อยว่า อะไรคือพระธรรม? เณรนั้นยกหัวแม่มือขึ้นมาเป็นคำตอบ พระจวีจือเลยใช้มีดตัดหัวแม่มือนั้นจนขาด เณรน้อยนั้นร้องลั่น พระจวีจือถามต่อทันทีว่า
อะไรคือโฉมหน้าดั้งเดิมก่อนเราเกิดมา เณรน้อยยกหัวแม่มือขึ้นมาตามความเคยชิน เมื่อไม่เห็นหัวแม่มือ จึงเกิดการรู้แจ้งขึ้นมาทันใดนั้น
( เรื่องนี้เป็นเพียงแค่นิทาน จริงหรือเท็จอย่างไรคงไม่มีใครทราบได้ )
#2
โพสต์เมื่อ 08 May 2006 - 04:12 PM
#3
โพสต์เมื่อ 08 May 2006 - 05:12 PM
เวรกรรมของเณรน้อยนิ้วขาดไปแต่ขันธ์ 5 ยังอยู่ครบนะครับ 555+
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#4
โพสต์เมื่อ 08 May 2006 - 05:23 PM
คือแบบเซน
ซาโตริ
เ พี ย ง พ บ พ า น . . . _ เ พื่ อ ผ่ า น ภ พ
Passing by to meet you.
#5
โพสต์เมื่อ 08 May 2006 - 06:06 PM
ความมีตัวตน กับไม่มีตัวตน รึเปล่า
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#6
โพสต์เมื่อ 08 May 2006 - 06:25 PM
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#7
โพสต์เมื่อ 08 May 2006 - 07:03 PM
หัวเราะอะไรเจ้าบูม....มาให้ตีก้นซะดีๆเจ้าเด็กน้อยคนนี้
#8
โพสต์เมื่อ 08 May 2006 - 09:15 PM
#9
โพสต์เมื่อ 08 May 2006 - 09:34 PM
#10
โพสต์เมื่อ 08 May 2006 - 09:47 PM
#11
โพสต์เมื่อ 09 May 2006 - 12:28 AM
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
#12
โพสต์เมื่อ 09 May 2006 - 05:33 AM
น้าจี้
#13
โพสต์เมื่อ 09 May 2006 - 07:45 PM
#14
โพสต์เมื่อ 09 May 2006 - 07:57 PM
#15
โพสต์เมื่อ 20 May 2006 - 11:57 PM
ย่อมมีแสงอรุณขึ้นก่อน
เป็นบุพนิมิตฉันใด
ความเป็นกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ
เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้น
ของหนทางพระนิพพาน ฉันนั้น"
#16
โพสต์เมื่อ 21 May 2006 - 02:50 PM
...........................................................................
..ถ้าพระจวีจือตัดนิ้วเณร จริงก็โหดมาก อมหิต..แต่คงไม่ใช่เพราะ เจ้าของกระทู้บอกเป็นนิทาน และก็ไม่รู้ว่าท่านเจ้าของกระทู้เอามาจากใหน ถือว่าเป็น มาปรัมปรายะ ก็แล้วกันครับ..
......................................................................................................
ในหลักธรรมคำสอนในเรื่อง อิทับปัจจยตา นั้นอาจจะสามารถอธิบายท่าน บ๊อกๆๆๆ ได้ดังนี้นะครับ
อิทะ แปลว่า นี้, ปัจจยตา แปลว่า ความเป็นปัจจัยกฎอิทัปฯ เป็นกฎธรรมชาติพระพุทธองค์ทรงเป็นผู้เปิดเผยและนำมาอธิบายความเป็นไปของสภาวธรรมในมิติต่างๆ ทั้งรูปธรรมและนามธรรม (จิต) ถ้าใครเข้าใจกฎอิทัปปัจจยตา นอกจากจะทำให้ผู้ศึกษาปฏิบัติเข้าถึงธรรม รู้แจ้งในธรรม จากปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลสก้าวไปสู่พระอริยบุคคลชั้นต้นนับแต่พระโสดาบัน พระสกาทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ เป็นลำดับ กฎอิทัปปัจจยตานี้เป็นหลักหรือเป็นตัวตั้งหรือกฎทั่วไป (General law) (พระไตรปิฎกไทยเล่มที่ 29 ข้อที่ 865) มีใจความว่า
อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี
อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้ก็เกิดขึ้น
อิมสฺมี กสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี
อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชุฌติ ยทิทํ เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ก็ดับ
เมื่อพระพุทธองค์ทรงนำมาประยุกต์กับความเป็นไปของจิต หรือการปรุงแต่งของจิตอันทำให้เกิดความทุกข์ พระพุทธองค์ทรงเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า ปฏิจจสมุปบาท (ปฏิจจะ แปลว่า อาศัย สมุปบาท แปลว่า เกิดขึ้นครบถ้วน) และตรัสว่า กล่าวคือเพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมี วิญญาณ ฯลฯ ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้
ส่วนฝ่ายดับเหตุแห่งทุกข์ พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า
เพราะอวิชชานั้นแลดับด้วยสามารถ ความสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ (สังขารในที่นี้หมายถึงการปรุงแต่งทางจิต เรียกว่า จิตตสังขาร) ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า ความกังวลอะไรๆ ว่าสิ่งนี้ของเรา หรือว่าสิ่งนี้ของคนเหล่าอื่น
กฎอิทัปปัจจยตาเป็นกฎความสัมพันธ์ตามเหตุปัจจัยของเหตุและผล หรือที่ชาวพุทธเรียกกันโดยทั่วไปว่าหลักกรรม เมื่อมีเหตุก็ต้องมีผล เมื่อมีผลก็ต้องมีเหตุ ผลย่อมมาจากเหตุ ให้เราเข้าใจง่ายๆ อย่างนี้ เรามาร่วมพิจารณาด้วยบทว่า เมื่อมีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงมี หรือ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงมี เราก็จะพูดตามพระพุทธเจ้าได้อย่างไม่ผิดเลย ท่านทั้งหลายคงเคยได้ยินได้ฟัง ได้อ่าน อริยสัจ 4 คือความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ ขยายความว่า (เมื่อสิ่งนี้มี) เมื่อมีสมุทัย หรือทุกขสมุทัย อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ ได้แก่ อวิชชา คือความไม่รู้แจ้งในสภาวธรรม และตัณหา 3 ได้แก่
(1) กามตัณหา คือความทะยานอยากในรูป, เสียง, กลิ่น, รส, สัมผัส เกินความพอดี
(2) ภวตัณหา ความทะยานอยากที่จะเป็นโน่นเป็นนี่ (อันไม่ตรงตามวิถีธรรม) เช่นอยากเป็นนายกรัฐมนตรี แต่เหตุปัจจัยองค์ประกอบไม่พร้อม ความอยากเป็นดังกล่าวย่อมเป็นเหตุแห่งทุกข์
(3) วิภวตัณหา ความทะยานอยากที่จะไม่เป็นนั่นเป็นนี่ เช่น คนที่เป็นนายกฯอยู่แล้วก็อยากที่จะเป็นนายกฯ นานๆ ไม่อยากลงจากเก้าอี้ ทั้งๆ ที่เหตุปัจจัยต้องลงจากเก้าอี้ ความไม่อยากกลับไปทำหน้าที่อย่างอื่น ก็เป็นเหตุแห่งทุกข์ คนฉลาดจะไม่เป็นทุกข์ ด้วยเหตุแห่งกามตัณหา, ภวตัณหาและวิภวตัณหา เพราะท่านรู้เหตุปัจจัย หรือรู้กฎความสัมพันธ์ตามเหตุปัจจัยนั้นๆ นั่นเอง
ขยายความเพิ่มเติมว่า ทุกข์ เป็นผล ที่มาจากเหตุ คือ สมุทัย เมื่อมีสมุทัยเป็นเหตุ (สิ่งนี้มี) ทุกข์ก็จะเป็นผล (สิ่งนี้จึงมี) นี่แสดงให้เห็นฝ่ายเกิดทุกข์ ส่วนฝ่ายดับทุกข์มรรคมีองค์ 8 ทางปฏิบัติให้พ้นทุกข์ เป็นเหตุ (เมื่อมีสิ่งนี้) นิโรธ คือความดับทุกข์ เป็นผล (สิ่งนี้จึงมี)
(เมื่อสิ่งนี้ไม่มี) คือ อวิชชา, ตัณหา, อุปาทาน (ความยึดมั่น) ดับ (สิ่งนี้ก็ไม่มี) คือความทุกข์ก็จะไม่มี
พระพุทธองค์ทรงเห็นเหตุปัจจัยแห่งสภาวธรรมและทรงเรียกว่า กฎอิทัปปัจจยตา พระองค์เป็นผู้รู้แจ้งสภาวธรรม จึงสามารถบัญญัติคำสอนใดๆ ก็ตาม จะไม่มีคำว่า ผิดพลาดได้เลย ยกตัวอย่าง มรรคมีองค์ 8 ให้พวกเราได้พิจารณาร่วมกันจนเกิดปัญญาอย่างชัดเจนในเชิงความสัมพันธ์ตามเหตุปัจจัย เห็นว่าไม่ยากจนเกินไป
พิจารณามรรคข้อแรกได้แก่ สัมมาทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นชอบ หรือความเห็นถูกตรงตามสภาวธรรม โดยที่ไม่เกี่ยวกับความคิดของเรา โดยเห็นความจริงใน
(1) รู้แจ้งในกฎไตรลักษณ์ เรียกว่า ลักษณะ 3 ที่เสมอกันในสังขารทั้งปวง (สิ่งปรุงแต่ง, สิ่งที่ผสม, สิ่งที่ไม่บริสุทธิ์) ทั้งปวงทั้งรูปและนาม (จิต)
(2) กฎอิทัปปัจจยตา หรือกฎแห่งกรรมในเบื้องต้นว่า การทำกรรมดีเป็นเหตุ ย่อมได้รับผลดี การทำกรรมชั่วเป็นเหตุ ย่อมได้รับผลชั่ว หลักนี้เป็นกฎตายตัว ไม่เลือกว่าเป็นใครทั้งนั้นจะเป็นพระอินทร์ พรหม หรือยาจก วณิพก ราชา ใครคิดดีทำดี ย่อมได้รับผลดี ใครคิดชั่วทำชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว เมื่อเหตุชั่ว ผลก็ต้องชั่ว
(3) รู้กฎอิทัปปัจจยตาขั้นสูง คือเห็นว่าสังขารทั้งปวงเกิดจากเหตุปัจจัย ไม่มีอะไรที่จะเกิดขึ้นมาลอยๆ สิ่งทั้งปวงหรือสังขารทั้งปวงต้องเกิดมาจากเหตุปัจจัยบนความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผลเท่านั้นไม่มีพระผู้สร้าง ไม่มีพระเจ้าที่เป็นตัวตนเป็นผู้บันดาล
(4) รู้แจ้งในอริยสัจ 4 และกฎปฏิจจสมุปบาท? คือกฎความสัมพันธ์ที่อาศัยกันเกิดขึ้นภายในจิต เพราะการคิดปรุงแต่งทางจิต กล่าวคือ เพราะอวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ฯลฯ
เมื่อมีสัมมาทิฏฐิ คือมีความเห็นชอบเห็นตรง เห็นถูกในธรรมแล้ว ก็จะคิดถูกตามธรรม, จะพูดถูกตามธรรม, จะทำถูกตามธรรม, จะประกอบอาชีพถูกตามธรรม, จะมีความเพียรถูกตามธรรม, จะมีความระลึกถูก (คิดนึก) ตามธรรมฯ จะมีความตั้งใจมั่นถูกตามธรรม เป็นลำดับตามกฎอิทัปปัจจยตา
.............................................................
Conclution. "อะไรคือโฉมหน้าดั้งเดิมก่อนเราเกิดมา"
ย่อมเป็นไปตามหลักของความเป็นปัจจัยกฎอิทัปฯ เป็นกฎธรรมชาติพระพุทธองค์ทรงเป็นผู้เปิดเผยและนำมาอธิบายความเป็นไปของสภาวธรรมในมิติต่างๆ ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ..นี้แล ครับผ๊ม
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#17
โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 08:30 PM