สั่งอาหาร ซีฟู้ด โดยไม่ชี้
#1
โพสต์เมื่อ 16 May 2006 - 02:18 PM
ก่อนเข้าร้านก็เห็นปูนึ่งแล้ว แดงแจ๊ วางกองอยู่
แต่ถ้าเราสั่งปูมากิน ก็คงมีตัวอื่น ๆ หลังจากนี้ ถูกฆ่าถูกนึ่ง มากองแทน
ถ้าเรางดกินปูวันนี้ วันนี้ก็คงไม่มีปูตายเพิ่มอย่างน้อย 1 ตัว
เอายังงัยดี
ควรกินปูหรือไม่ควรกินปู
ที่ผ่านมาสั่งแต่เนื้อปู ไม่กล้าสั่งปูนึ่งเลย
ที่ไม่สั่งน่ะ ทำถูกต้องแล้ใช่ไหม?
#2
โพสต์เมื่อ 16 May 2006 - 02:34 PM
ถ้าเรางดกินปูวันนี้ วันนี้ก็คงไม่มีปูตายเพิ่มอย่างน้อย 1 ตัว
เอายังงัยดี
ควรกินปูหรือไม่ควรกินปู
ที่ผ่านมาสั่งแต่เนื้อปู ไม่กล้าสั่งปูนึ่งเลย
ที่ไม่สั่งน่ะ ทำถูกต้องแล้ใช่ไหม?
งั้นผมถามกลับนะครับ ถ้าคุณไปซื้อไก่ ซื้อหมูที่ตลาดมากิน ถ้าทำอย่างงี้ ก็ต้องมีหมูกับไก่ตัวใหม่โดนเชือดมาวางขาย แทน คุณคิดว่าไงล่ะครับ ถ้าคุณกินข้าว ชาวนาก็ต้องปลูกข้าวมาขาย แล้วใช้ยาฆ่าแมลง มีการไถนา ทำให้สัตว์พวกหนอน เพลี้ย ตั๊กแตน ไส้เดือนตาย อย่างงี้ ก็อย่ากินข้าวดีไหมครับ เพราะกินข้าวแล้วมีผลให้ชาวนาต้องฆ่าสัตว์ตาย...หรือคิดว่ายังไงเอ่ย
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#3
โพสต์เมื่อ 16 May 2006 - 03:22 PM
#4
โพสต์เมื่อ 16 May 2006 - 04:00 PM
ถึงเขาจะไปฆ่ามาเพิ่ม มันก็ไม่เกี่ยวกับคุณ
#5
โพสต์เมื่อ 16 May 2006 - 04:40 PM
ตอบ ปกติเรื่องการไม่ส่งเสริมการฆ่า กับวิธีการผลิตมันเป็นคนละเรื่องเดียวกันนะครับ อย่างกรณีพันธุ์ข้าวสมัยใหม่ที่หลวงได้พระราชทานพันธุ์ข้าวมาชนิดที่ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลงก็มีนะครับ การไม่ส่งเสริมการฆ่านั้น ถามว่าจริงๆ แล้วสัตว์ทุกชนิดมีการฆ่ากันอยู่ตลอดเวลาหรือไม่?? ก็ต้องตอบว่ามีการฆ่ากันอยู่ตลอดเวลาทุกอนุวินาที แม้แต่น้ำย่อยในกระเพาะเราก็ฆ่าสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ได้เช่นกัน
การละเว้นหรือไม่ส่งเสริมการฆ่าจะต้องค่อยเป็นค่อยไปไม่ใช่การงดเว้นแบบสุดโต่ง เพราะถ้าจะเลี่ยงไม่ฆ่าเลย 100% โน่นแหนะครับ พระอรหันต์ในนิพพานโน่นแหละครับหยุดการฆ่าของจริง
ผักที่เกษตรกรปลูกก็สามารถปลูกโดยไม่ใช้สารเคมีก็ได้ เรียกว่าผักปลอดสารพิษ แม้แต่ข้าวก็เช่นเดียวกัน เราสามารถหลีกเลี่ยงการเพาะปลูกแบบงดเว้นการฆ่าได้ ถ้าชาวนามีศีลเหมือนกับคนที่กินข้าวที่ไม่คิดส่งเสริมการฆ่า ชาวนาก็จะใช้ยาฆ่าแมลงที่น้อยลง หรือแทบไม่ใช้เลยหันไปใช้วิธีอื่นที่ดีกว่ายาฆ่าแมลง
ตอบ เอางี้ครับผมจะยกตัวอย่างให้ฟังครับ สมมุติมีร้านอาหารแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในป่าดงดิบลึก เขานิยมการกินคนต่างถิ่นเป็นอย่างมากโดยเขาจะจับคนขังมัดแขนมัดขาเหมือนมัดปูทะเลไม่มีผิด และก็มีการสับหั่นชิ้นส่วนคนออกเป็นชิ้นๆ เรียบร้อยแล้วสำหรับลูกค้าที่ใจไม่ถึงไม่กล้าชี้นิ้วเลือกว่าอยากกินคนไหน?? เขาก็มีบริการเชือดเตรียมไว้ให้เสร็จสรรพเลย
ทันใดนั้นหญิงคนหนึ่งก็เกิดกลัวว่าตนเองจะบาป ก็เลยสั่งกับเด็กเสริฟว่า น้องๆ พี่ขอผัดกระเพรานะ เด็กเสริฟตอบว่า
ได้ครับแต่ร้านเราติดป้ายตัวใหญ่ๆ บอกแล้วนะครับว่า ร้านคนเผา ทะเลสดๆ เนื้ออื่นเราไม่มี
หญิงสาวคิดอยู่ครู่ใหญ่แล้วก็เอ่ยปากถามว่า น้องๆ มีเนื้อแบบที่ตายแล้วไหม?? เด็กเสริฟตอบมีครับ
งั้นเอาเนื้อที่ตายแล้วนั่นแหละทำมาเลยจ่ะ
สรุปก็คือ คนจะรู้สึกว่าตนเองไม่บาปถ้าคิดว่าสัตว์นั้นหรือปูนั้นเป็นแค่สัตว์ไม่ใช่อดีตชาติของคนนั่นเองครับ
เวลาจะกินปูนะครับให้ลองนึกว่าปูทั้งหมดเป็นอดีตคนแล้วมองให้เห็นภาพคนกำลังถูกสับอยู่ ถามว่าเราอยากจะกินญาติของเราอยู่อีกไหมหละครับ
#6
โพสต์เมื่อ 16 May 2006 - 04:47 PM
ปลอดภัย(จากกรรม)ไว้ก่อน
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#7
โพสต์เมื่อ 16 May 2006 - 05:34 PM
ดีมากเลยครับ เจตนางดเว้นไม่เบียดเบียนไปได้ส่วนหนึ่งแล้วครับ
เล่าเรื่อง อีแร้งกินซาก ให้ฟังดีกว่าครับ
1.ถามว่าอีแร้งกินซากสัตว์ที่ตายไปแล้ว อีแร้งฆ่าสัตว์นั้นเองหรือไม่??
ตอบ อีแร้งไม่ได้ฆ่าเอง
2.อีแร้งส่งเสริมให้สัตว์กินเนื้อฆ่าสัตว์อื่นมาเพื่อตนเองหรือไม่??
ตอบ ก็ไม่อีกนั่นแหละครับ
3.สัตว์ที่ฆ่าสัตว์อื่นเช่น เสือ สิงโต หมาไน หรือไฮยีน่า จรเข้ ฯลฯ เมื่อฆ่าสัตว์นั้นๆ กินแล้วมีจิตคิดที่จะฆ่าสัตว์ต่างๆ เพื่อนำมาขายให้อีแร้งหรือไม่??
ตอบ ไม่เลยครับ
ดังนั้นสัตว์กินเนื้อเพื่อหวังได้ผลประโยชน์จากนกแร้งก็เป็นอันไม่มีครับ
กลับมาที่คนบ้าง
มีครอบครัวหนึ่ง เลี้ยงหมูไว้ตัวนึง บังเอิญวันนั้นมีแขกมาเต็มบ้านแขกทั้งหลายมามือเปล่าไม่มีสิ่งใดมาให้ทำนองมาเยี่ยมเฉยๆ เจ้าบ้านเลยตัดสินใจเชือดหมูเลี้ยงแขก
1.ถามว่าแขกที่มาบ้านมีผลตอบแทนใดๆ ให้เจ้าบ้านหรือไม่??
คำตอบคือ ไม่มีครับแขกมาเยี่ยมมากินแล้วก็จากไปครับ
2.แขกที่มากินสนับสนุนให้เจ้าบ้านฆ่าหรือก็ป่าว เจ้าบ้านฆ่าหมูตัวนั้นเอง ถามว่าแขกที่กินหมูจะบาปไปด้วยไหม??
ตอบ ไม่บาปครับ ถ้าแขกไม่รู้ว่าเจ้าบ้านจะเชือดหมูเพื่อตน แต่ถ้าแขกรู้อยู่เต็มอกว่าเจ้าบ้านจะฆ่าหมูตัวนี้เพื่อเลี้ยงตน
แต่แขกกลับไม่ห้าม ยิ่งเสนอเมนูเด็ด หรือทำเป็นนิ่งเฉยเสียแบบนี้ก็บาปด้วยกันทั้ง 2 ฝ่ายครับ
ดังนั้นการบริโภคที่ไม่ถือว่าเป็นบาปก็คือการบริโภคที่ผู้บริโภคได้มาแบบปราศจากผลประโยชน์แลกเปลี่ยนนั่นเองครับ
โดยไม่มีผลประโยชน์ในเรื่องของเงินตราหรือของแลกเปลี่ยนนั่นเองครับ
กล่าวคือ ถ้าลูกค้าซื้ออาหารและบริการที่ผู้ขายได้ทำการขายเนื้อสัตว์เพื่อแลกกับเงินตราหรือผลกำไร ก็จัดว่าเป็นการส่งเสริมการฆ่าครับ
แต่ถ้าคนกินได้อาหารนี้มาด้วยการให้หรือบริจาค โดยคนกินไม่ได้มีสิ่งใดตอบแทนหรือมีสิ่งกระตุ้น หรือสิ่งจูงใจให้คนฆ่าได้ผลประโยชน์หรือกำไรตามมาก็ไม่ถือว่าบาปครับ
สรุปคือ การกินเนื้อถ้ากินฟรีไม่เสียตังส์ก็ไม่บาปนั่นเองครับ เพราะเขาให้เรามาเองเราไม่มีสิ่งใดให้เขาตอบแทน เขาอยากฆ่าก็เป็นกรรมของเขา แต่เราไม่ส่งเสริมเขาเพราะเราไม่มีสิ่งตอบแทนคือเงิน ให้กินแบบนี้จึงจะไม่บาปครับ
แต่ถ้าคนขายได้ตังส์แล้วยิ่งขายเอาขายเอา ยิ่งรวยมากยิ่งขายมากยิ่งสั่งฆ่ามาก แบบนี้เรียกว่าส่งเสริมการฆ่าเต็มๆ ครับ
#8
โพสต์เมื่อ 16 May 2006 - 06:27 PM
โดยไม่มีผลประโยชน์ในเรื่องของเงินตราหรือของแลกเปลี่ยนนั่นเองครับ
... Xlmen คุณทำให้ gioia กินข้าวไม่อร่อย รู้ตัวไหมคะ
เป็นเวลานานพอสมควรที่เป็นโรคกินอะไรก็ไม่อร่อย(ไม่ใช่เบื่ออาหารนะ)
คือมีความอยากที่จะกินของอร่อยๆ แต่กินอะไร อย่างไรก็ไม่อร่อย
จึงเป็นการกดดันเล็กๆที่อยากกินของที่อร่อยๆเท่านั้น แต่กินทีไรก็ไม่อร่อยทุกที
แต่จากการโพสต์ของคุณ..ทำให้ตัดใจได้ค่ะ
ไม่ได้ติดในรสชาติอีกแล้ว กินอะไรก็ได้ที่จะไม่ต้องมีวิบากกรรมติดตัวไป
(เพราะอย่างไรเสีย ก็หาของอร่อยไม่เจอ)
ขอกินเพื่ออยู่ค่ะ กินเพื่อบำรุงสังขาร อันทรยศนี้ก็พอ เพื่อจะได้สร้างบารมีต่อไปนานๆ
เพราะแม้จะบำรุงบำเรอสังขารให้ดีอย่างไร ก็ไม่วายจะเจ็บป่วยอยู่เป็นประจำ
ช่าง(ชาติ)ทรยศแท้ๆ เพราะกับใคร ก็ทรยศเขาไปหมด
ได้หลักในการบริโภคมากขึ้นค่ะ อนุโมทนาบุญ
#9
โพสต์เมื่อ 16 May 2006 - 09:50 PM
#10
โพสต์เมื่อ 17 May 2006 - 02:58 AM
ไปร้านที่เราไม่เห็นว่าสัตว์เป็น ๆ ถูกนำมาฆ่าเพื่อเราดีกว่า
#11
โพสต์เมื่อ 17 May 2006 - 11:38 AM
ที่คุณ Xlmen บอกว่า การที่เราซื้ออาหารเช่นเนื้อสัตว์ โดยใช้เงินเป็นการแลกเปลี่ยนมาทาน เป็นการส่งเสริมการฆ่า ถ้าเราจะเลี่ยงไม่อยากติดในส่วนแห่งบาปนั้น ก็ต้องงดเนื้อสัตว์ เลิกทาน แม้แต่เพียงซื้อทานสำเร็จรูปก็ไม่ได้หรือค่ะ
แล้วที่เราซื้อมาเพื่อประกอบอาหารทำถวายพระ เราก็มีบุญปนบาปซิค่ะ
แต่เราไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าแต่กลับเป็นผู้สนับสนุนการฆ่า
(หลวงพ่อบอกว่าบาปแม้เพียงนิดอย่าคิดทำ บุญแม้เพียงนิดให้ทำเถิดจะเกิดผล)
มีข้อมูลให้เข้าใจมากกว่านี้ไหมค่ะ
#12
โพสต์เมื่อ 17 May 2006 - 02:14 PM
ตอบ ถูกต้องเลยครับ ค่อยๆ ลดละเลิกไปทีละน้อยดีกว่าครับ อย่าเพิ่งหักดิบตัดใจทีเดียวเดี๋ยวจะกลายเป็นอัตกิลมถาลิกานุโยคครับ
คือดำรงตนให้ลำบากเกินไป กล่าวคือ ให้คิดไว้เสมอว่าเราจะเลี่ยงไม่บริโภคเนื้อได้ถ้าจำเป็น แต่ถ้าสุดวิสัยผักหากินยาก บนโต๊ะอาหาร หรือในร้านค้ามีแต่เนื้อเราก็จะกินแบบมีสติไม่ติดใจในรสชาติของอาหาร ถ้าต้องซื้อเราก็จะซื้อเนื้อมาเพียงเพื่อยังอัตภาพเฉกเช่นเดียวกับอีแร้ง แม้จะต้องปนบาปบ้างก็ต้องยอมกันหละครับ เพราะเรายังหักดิบไม่ได้ครับ เพราะท่านที่จะหักดิบได้จริงจะต้องมีญาณทัศนะมองเห็นเนื้อทุกชิ้น มีที่มาที่ไป จนท่านกินไม่ลง หรือถ้ากินลงก็สักแต่ว่ากิน แต่ถ้าจะให้ท่านที่มีญาณทัศนะไปซื้อมากินอันนี้เห็นทีจะยากครับ
ตอบ ถูกต้องแล้วครับ ส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนในโลกใบนี้และในวัฎฎะสงสารล้วนแล้วแต่ทำบุญปนบาปด้วยกันทั้งสิ้นครับ
เพียงแต่จะปนบาปมากบ้างน้อยบ้างกันตามส่วนครับ ถ้าสมมุติว่าเรามีอนาคตังสญาณแล้วถอยหลังไปดูเนื้อที่เราซื้อมาว่าก่อนที่เราจะไปซื้อมานั้นเนื้อชิ้นนี้เคยเป็นเนื้อของสัตว์ตัวใดมาก่อน ถอยไปเรื่อยๆ เป็นเนื้อของสัตว์ชนิดไหน ก่อนมาเกิดเป็นสัตว์เขาเคยเกิดเป็นคนหรือไม่? และเขาเคยเกิดเป็นคนที่เรารู้จักหรือไม่? จะทราบได้ว่าสัตว์โลกทั้งหลายล้วนเป็นพี่น้องกันทั้งนั้นครับ
จากคำถาม ปกติแล้วคนเรามักจะเสพคุ้นกับการบริโภคเนื้อจนติดเป็นนิสัยครับ การบริโภคจนติดเป็นนิสัยนี่แหละที่ทำให้มนุษย์ในยุคปัจจุบันไม่สามารถก้าวเข้าสู้อายุขัยที่เป็นวิวัฎฎะได้ครับ อย่างกรณีมนุษย์ในยุคต้นกัปนั้นก็ไม่ได้มีการเข่นฆ่าสัตว์กินเป็นอาหารเพียงแค่กินง่วนดิน กินผักผลไม้ ก็สามารถยังอัตภาพได้แล้ว ภายหลังจิตมนุษย์เป็นบาปหนักเข้าจึงมองเห็นเนื้อสัตว์ทั้งหลายเป็นอาหาร พอบาปสั่งสมหนักเข้าไปอีกก็มีการกินคนด้วยกันเองตามมาครับ
เรื่องซื้อเนื้อมาทำอาหารใส่บาตรนั้นอย่าได้ซีเรียสมากจนเกินไปครับ เพราะถึงแม้ว่าเราจะซื้อผักมาทำอาหารถ้าผักนั้นมีหนอนก็ต้องเผลอฆ่าหนอนอีกอยู่ดีแหละครับ ขอให้คิดแบบนี้ดีกว่าครับ เหมือนพระจักขุบาลที่ท่านเหยียบแมลงตายเป็นบรือ มีพระด้วยกันทูลพระพุทธองค์ว่าพระจักขุบาล(พระอรหันต์) ทำปาณาติบาตพระพุทธองค์ตรัสว่าถ้าไม่มีเจตนาคิดฆ่าก็ไม่บาปครับ (ยกเว้นอนันตริยกรรม) คำว่าเจตนาหมายรวมถึงเธอมีจิตยินดีในการฆ่า หรือเธอมีจิตยินดีในการเสพหรือไม่ ถ้ามีจิตยินดีในการฆ่าหรือการเสพปรับเป็นอาบัติเป็นบาปครับ
การซื้อเนื้อกับการทำกับข้าวไม่เหมือนกันนะครับ คนซื้อเนื้อรู้อยู่เต็มอกว่าเนื้อนี้มาจากสัตว์ที่เคยมีชีวิตถือว่ารู้อยู่แก่ใจ ตั้งใจซื้อก็แสดงว่าตั้งใจอุดหนุนสนับสนุนให้เขาขายเนื้อฆ่าสัตว์ถือว่าเจตนาผิดศีลชัดเจน แต่คนทำกับข้าวนั้นก็ทำตามหน้าที่ได้บุญไป คนใส่บาตรก็ใส่บาตรทำบุญไม่เกี่ยวกับบาปขณะซื้อก็ได้ทานบารมีไป รวมถึงคนกินก็ต้องกินด้วยจิตที่เป็นกลางๆ กินเพื่ออยู่ ไม่ยินดีในรสชาติหรือติดในการกินจึงจะไม่เป็นบาปครับ
สรุปคือ การกินเนื้อเราสามารถกินได้ถ้าเราไม่บริโภคเนื้อด้วยตัณหา ไม่บริโภคเพื่อความอร่อย กินสักแต่ว่ากิน แบบนี้กินเนื้อได้ไม่บาป เหมือนกับพระท่านก่อนที่จะบริโภคอาหารจะต้องพิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญา เพื่อป้องกันจิตเป็นบาปเพราะตัณหาคือความอยากกินกำเริบครับ
#13
โพสต์เมื่อ 17 May 2006 - 05:40 PM
ไม่ใช่เช่นนั้นครับ
1. ถ้าเป็นพุทธวาจาของพระพุทธเจ้า การซื้อเนื้อสัตว์ที่ตายแล้ว ไม่ได้ทำให้มีส่วนแห่งบาปครับ เพราะการตายของสัตว์นั้น เกิดจากวิบากกรรมในอดีตมาส่งผล และเมื่อมันตายกลายเป็นซากศพไปแล้ว ปล่อยทิ้งไว้ก็เน่า ถ้าเรานำซากศพนั้น มาเป็นประโยชน์เป็นเรี่ยวแรงให้กับเราเอง แล้วนำเรี่ยวแรงนั้นไปทำความดี อุทิศส่วนกุศลให้สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ก็จะเป็นบุญกับเรา และสัตว์ทั้งหลาย(ที่สามารถรับบุญได้) ด้วยครับ
2. การซื้อเนื้อมาประกอบอาหารถวายพระ ไม่ใช่บุญปนบาปครับ แต่เป็นบุญล้วนๆ ครับ สิ่งที่จะเป็นบาปคือ การฆ่าสัตว์ ด้วยตัวเราเอง หรือสั่งให้คนอื่นฆ่าให้ แล้วเอาเนื้อสัตว์นั้นมาทำอาหารถวายพระน่ะครับ ดังตัวอย่างเรื่องราวของพระมเหสีองค์หนึ่งที่เป็นพระโสดาบัน ถูกนางสนมยั่วให้ฆ่าไก่ พระมเหสีไม่ยอมฆ่าไก่นั้นเลย แล้วนางสนมก็ให้คนใช้ฆ่าไก่นั้น เอามาให้พระมเหสี ปรากฏว่าพระมเหสี ท่านรับประทานครับ ทำให้นางสนมตู่ว่า พระโสดาบันทำบาป คือ ไม่ยอมฆ่าไก่ แต่พอไก่ตาย กลับเอามากิน พระโสดาบัน ท่านก็แก้ตามที่ผมบอกมาข้างต้นนั่นแหละครับว่า สัตว์นั้นตายแล้ว ทิ้งไว้ก็เน่า เอามาเป็นเรี่ยวแรงในการทำความดีของเรา แล้วอุทิศบุญให้สัตว์นั้นดีกว่า วิบากกรรมจะได้เบาบางลง
#14
โพสต์เมื่อ 17 May 2006 - 06:21 PM
เป็นคำปลอบใจ(หรือข้อคิด)ที่ดีนะคะ
เพราะถ้าคิดว่า เนื้อที่เรากำลังจะกินนั้นเป็นเนื้อของอดีตคน ที่อาจเคยเป็นพ่อแม่พี่น้องหรือญาติของเรานั้น
(อย่างที่คุณ Xlmen กล่าวมาข้างต้น) ก็ให้เกิดเวทนา สงสารขึ้นมา .. เบื่อแล้วก็ปลง ไม่อยากกินเลยทีเดียว
กินสักแต่ว่ากินจริงๆ เพราะคงอร่อยไม่ลงค่ะ
เพราะเวลาที่เราลำบากอดอยากหรือหิวจัดๆเนี่ย กินอะไรก็อร่อยไปหมดล่ะครับ
ทำแบบนี้จะให้นึกถึงคนยากจนที่เขากว่าจะได้กินข้าวซักมื้อมันลำบากขนาดไหน
ขอบคุณที่แนะนำค่ะ
เคยลองแล้วค่ะ(ซึ่งบางครั้งก็ไม่อยากลองเหนื่อยเลย แต่เหนื่อยเอง)
ผลคือ ไม่อยากกินไปเลยค่ะ อยากนอนพักอย่างเดียวค่ะ แม้จะกินแต่ก็กลืนไม่ลงจ้า
ไม่เคยกินทิ้งกินขว้างค่ะ คิดถึงคนยากจนและชาวนาเสมอเพราะเกิดจากครอบครัวเกษตรด้วย
แต่ก็ไม่ได้ทำให้ กินข้าวอร่อยขึ้นเลยค่ะ
บางที่ .. ก็ดีไปอีกแบบค่ะ
เพราะเอาเงินส่วนนี้ไปหยอดกระปุกมณีทวีบุญ เพื่อถวายเพลพระต่อไป
เอาบุญเศรษฐีถาวรมาฝากทุกคนค่ะ
ไฟล์แนบ
#15
โพสต์เมื่อ 17 May 2006 - 11:46 PM
เพราะถ้าคิดว่า เนื้อที่เรากำลังจะกินนั้นเป็นเนื้อของอดีตคน ที่อาจเคยเป็นพ่อแม่พี่น้องหรือญาติของเรานั้น
(อย่างที่คุณ Xlmen กล่าวมาข้างต้น) ก็ให้เกิดเวทนา สงสารขึ้นมา .. เบื่อแล้วก็ปลง ไม่อยากกินเลยทีเดียว
กินสักแต่ว่ากินจริงๆ เพราะคงอร่อยไม่ลงค่ะ
โมทนาสาธุการด้วยครับ กินแบบพระสิครับปลอดภัยมากและได้บุญเหมือนที่พระท่านเจริญกรรมฐานข้อนี้เลยครับ คือกินแบบมีสติไม่หลงติดในอาหาร และไม่กินอาหารด้วยตัณหา
พระท่านเรียกการกินแบบนี้ว่า การพิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญา คือ ให้พิจารณามองให้เห็นความเน่าเสียของอาหาร ความไม่สะอาดของอาหาร และมองให้เห็นความเป็นปฏิกูลหรือความไม่สะอาดของอาหารนับตั้งแต่ก่อนจะมาปรุงเป็นอาหารเป็นหมูเป็นๆ ทั้งตัวน่ากินไหม? เป็นวัวเป็นๆ ทั้งตัวน่ากินไหม? ปรุงเสร็จแล้วน่ากินไหม? กินเข้าปากแล้วถ้าคายออกมาน่ากินไหม? อาหารล่วงลำคอผ่านไปยังลำไส้ถ้าขย่อนออกมาน่ากินไหม? ถ่ายเป็นอุจจาระออกมาน่ากินไหม เป็นต้นครับ !!? !?
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#16
โพสต์เมื่อ 18 May 2006 - 09:11 AM
#17
โพสต์เมื่อ 18 May 2006 - 04:33 PM
#18
โพสต์เมื่อ 18 May 2006 - 06:05 PM
#19
โพสต์เมื่อ 18 May 2006 - 07:30 PM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#20
โพสต์เมื่อ 20 May 2006 - 11:13 PM
เนื้อสัตว์ที่ไม่ควรบริโุึุภคเช่น สัตว์ที่ตนเลี้ยงมา เห็นว่าสัตว์ที่กำลังถูกฆ่าเพื่อนำมาเป็นอาหาร ได้ยินเสียงฯ. เป็นต้น
#21
โพสต์เมื่อ 20 May 2006 - 11:47 PM
ถ้าการกินมังสวิรัตินั้น เป็นการกระตุ้นให้เกิดการปลูกพืชมากขึ้น (เฉกดังเช่น การบริโภคซากเนื้อ ก็กระตุ้นให้มีผู้ฆ่าสัตว์มากขึ้น) การปลูกพืชมากขึ้น ก็เป็นการฆ่าแมลงเป็นแสนๆ ล้านๆ ตัว ทางอ้อมหรือไม่? คนกินก็บาปหนาเลยสิถ้างั้น
อ๊ะ แต่ยังไม่จบ ยังมีผู้เถียงว่า ผมกินผักปลอดฯ ไม่มียาฆ่าแมลง
แต่ถึงกระนั้นการพรวนดินแต่ละครั้ง เลือดของ มด, ไส้เดือน, สัตว์เล็กๆ ต่างๆ ไม่รู้แดงฉานชโลมทั่วผืนดินไปสักเท่าไร สงสัยจะต้องปลูกกับน้ำกระมัง...
ดังนั้น ตัดตอนให้ถูกก็ดีนะครับ จะได้สร้างบารมีอย่างไม่เครียด
เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนาของพระมหา ดร. สมชาย
แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง
#22
โพสต์เมื่อ 21 May 2006 - 02:32 AM
หมวด 2 (ศีล-วินัย) หน้า 54
Q: หลวงพ่อครับ ถ้าเราอยากกินกุ้งเผาปลาเผา แต่เราไม่อยากทำบาปในฐานะสั่งฆ่าสัตว์ เราจะหลีกเลี่ยงโดยการสั่งคนทำอาหารว่าให้เอากุ้งที่ตายแล้ว ปลาที่ตายแล้วมาทำอย่างนี้พอจะพ้นบาปไหมครับ?
A: แหม...อยากกินเต็มที่ว่าอย่างนั้นเถอะ คุณจะทำอย่างนั้นก็ได้ แต่เชื่อเถอะคุณจะไปเจอเด็กเสิร์ฟอาหารประเภทรอบจัด ที่มันพร้อมจะบอกคุณว่ากุ้งปลานั้นตายแล้วทั้งนั้น เพราะถ้าถึงขนาดวางมาในจานมันก็ตายมาแล้วทั้งนั้น เขาจะขายของก็ต้องมีเล่ห์เพทุบายของเขาไป รู้อย่างนี้แล้ว เราก็อย่าทำให้ตัวเองเป็นคนประเภทปากว่าตาขยิบเลย
ถ้าอยากกินจริงๆ ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่ค่อนข้างจะปลอดภัยจากการถูกด่าลอยลมมา คือถ้าคุณอยากให้แน่ใจว่ากุ้งปลานั้นมันตายมาก่อนแล้วจริงๆ คุณก็เดินเข้าไปดูในครัวเลย ถ้าเห็นว่าเจ้าสัตว์เหล่านั้นมันตายแล้ว เขาแช่เย็นไว้ อย่างนี้คุณก็ไปชี้เอาได้เลยว่าจะให้เขาย่างเขาเผาตัวไหนมาให้กิน ทำอย่างนี้ไม่มีเชื้อบาปติดมาแน่นอน
หรือจะไปดูที่เขาเผาเสร็จ ย่างเสร็จแล้วว่ามีไหมก็ได้ ถ้ามีก็ขอให้เขาใส่จานมาให้ทันที แต่อย่างว่าละนะเข้าไปจุ้นจ้านถึงในครัวของเขา ไม่โดนด่าโดนว่าก็นับว่าโชคดี
โบราณท่านยิ่งว่า อาหารอร่อยมักจะได้จากฝีมือแม่ครัวปากจัด ที่อยากกินนักจะได้หายอยากกันก็คราวนี้แหละ
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#23
โพสต์เมื่อ 21 May 2006 - 06:02 PM
ตอบ วิธีการปลูกผักโดยฆ่าให้น้อยที่สุด หรือไม่ฆ่าด้วยยาฆ่าแมลงก็มีอยู่ แต่วิธีการเลี้ยงสัตว์นั้นเจตนาฆ่าชัดเจนมากกว่านะครับ อย่างที่ผมเคยกล่าวไปแล้วแหละครับว่าอาชีพหรือการกระทำในโลกนี้ถ้าจะไม่ให้เกิดการฆ่าเลยมันเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลยครับ
อย่างกรณีคุณอะตอมกินข้าวเข้าปากเราจะรู้ได้งัยว่าน้ำย่อยในกระเพาะเราไม่ได้ฆ่าเชื้อโรคตายไปกี่ล้านๆๆ ตัวแล้ว แต่การละเว้นการฆ่านั้นเป็นเพียงแค่การงดเว้นแบบค่อยเป็นค่อยไปครับ งดเว้นการเบียดเบียนฆ่าสัตว์ใหญ่ ไล่ตามลงมาถึงสัตว์เล็ก สัตว์ถ้าเป็นสัตว์เลือดอุ่นย่อมมีคุณธรรมมากยิ่งกว่าแมลงอยู่แล้วครับ ดังนั้นความคิดความอ่านจิตใจของสัตว์เลือดอุ่น กับแมลงจึงเป็นคนละระดับกันครับ ระดับแห่งบุญและบาปก็ย่อมต้องต่างกันครับ
แต่ถามว่าจะให้โปร่งใสไม่บาปจากการฆ่าเลย 100% หนะไม่มีครับ เหมือนอย่างที่ผมได้เคยชี้แจงไปแล้วแหละครับ
ตอบ การที่ใครจะสามารถงดเว้นเนื้อสัตว์ใหญ่ได้ก็ดี หรือไม่ได้ก็ดีผมว่าผมยินดีในการกระทำของเขาเหล่านั้นนะครับ โดยผมไม่คิดว่าจะไปเปลี่ยนแปลงความคิดของใครเขาครับ ถ้าใครประสงค์จะเบียดเบียนสัตว์ใหญ่ อยากกินสัตว์ใหญ่ อยากฆ่าสัตว์ใหญ่ก็เชิญเถอะครับ บุญ-บาปก็จะกำหนดชีวิตเขาเองครับ
แต่ถ้าใครไม่ประสงค์จะเบียดเบียนสัตว์ใหญ่ ต้องการติดบาปให้น้อยที่สุดอย่างมากก็แค่สัตว์เล็กถึงจะติดบาปบ้างก็ยังดีกว่าส่งเสริมการฆ่าสัตว์ใหญ่จริงไหมครับ คนกินผักก็สบายใจ คนปลูกผักแม้จะฆ่าสัตว์ที่เป็นแมลง ไส้เดือนบ้าง ก็ยังสบายใจว่าภาพหรือคตินิมิตของเขาไม่ดำมืดชัดเจนเท่ากับคนที่เลี้ยงสัตว์เลือดอุ่นไว้ฆ่าแน่ครับ
พูดง่ายๆ ก็คือ ถึงคนจะฉีดยาฆ่ายุงตายเป็นบรือเพื่อกันไข้เลือดออกมาตลอดชีวิต ก็ยังดีกว่าคนฉีดอาวุธเคมีฆ่าสัตว์ หรือฆ่าคนด้วยกันแน่อยู่แล้วครับ ระหว่างการฆ่าแมลง ฆ่าสัตว์ ฆ่าคน ลองไปถามเด็กๆ ดูก็ได้ครับว่าอย่างไหนหนูว่าบาปที่สุดไล่ตามลำดับดูก็ได้ครับ
ตอบ อย่างที่ได้บอกชี้แจงไปแล้วนั่นแหละครับว่า ถ้าใครใจยังไม่พร้อมจะงดเว้นเนื้อสัตว์ก็ให้บริโภคอาหารแบบพระคือให้พิจารณาอาหารให้เป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญา ถ้าพิจารณาได้จะได้ชื่อว่าจิตไม่เป็นบาปเพราะการกินครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#24
โพสต์เมื่อ 29 May 2006 - 12:02 AM
สรุปว่า กินมังสวิรัตดีที่สุด ไม่ต้องคิดมากดี บาปก็ช่าง ไม่บาปก็ช่าง สรุปตัวเองไม่บาปเป็นพอ
(ถ้าแคร์มาก ว่าบาปไม่บาปหน่ะครับ)
แต่ผมคิดว่า กินๆไปเถอะครับ หลีกได้ก็เลี่ยง เลี่ยงไม่ได้ก็ไม่ต้องเลี่ยง เพราะคนเราต้องกินครับ แล้วดันเกิดมายุคที่คนกินเนื้อสัตว์อ่ะครับ มันช่วยไม่ได้ อยากส่งผมมายุคนี้ทำไม
อย่าไปคิดมากเลยครับ ไม่ใช่เหมือนว่าเราอยากจะนอนให้หลับ แต่กลับมาคิดว่า ทำไมถึงนอนไม่หลับ ก็ที่นอนไม่หลับก็เพราะมาคิดว่าทำไมนอนไม่หลับเนี่ยหล่ะ
ถ้าจะเปรียบก็คงเป็น จริงๆแล้วมันไม่บาป ที่มันบาปก็เพราะว่าเราคิดว่ามันบาปนั้นหล่ะ (หรือเปล่า) 555
สรุปคือ ถ้าก่อนตายคิดแต่สิ่งดี ถึงคุณจะกินพวกนี้ คุณก็ไปสวรรค์ได้ครับ 5555
อะไรประมาณนั้น
แต่ถ้าคุณคิดไม่ได้ ทีนี้หล่ะ บาปที่หนักกว่าการกินของพวกนี้ ก็จะเล่นงานคุณ ซึ่งแน่นอน เรื่องนี้มันจิบๆครับ อาจจะเจ็บเพิ่มขึ้นเพียงแค่ 1% เพราะผมคิดว่ามันต้องมีบาปที่หนักมากกว่านี้อยู่แล้วหล่ะ คนเรา
อะไรประมาณนี้ครับ
สรุปอีกรอบคือ สำหรับคนบาปมากอยู่แล้ว กินได้ครับ ความบาปเพิ่มขึ้นอีกไม่กี่เปอร์เซ้น
ส่วนคนที่เป็นคนดี บาปน้อย ก็อย่าไปกินครับ เพราะมันเพิ่มหลายเปอร์เซ็นต์
(ในกรณีที่มีบาปนะ)
ผมสรุปแบบนี้เป็นไงบ้างครับ ญาติโยมทั้งหลาย