ทำไมอำนาจแห่งความมืดถึงได้ร้อนแรงยิ่งนัก!
#1
โพสต์เมื่อ 14 July 2008 - 09:43 PM
#2
โพสต์เมื่อ 14 July 2008 - 10:55 PM
#3
โพสต์เมื่อ 14 July 2008 - 11:24 PM
สองสามวันนี้ ช่วยกันโฆษณาให้่วัดกันใหญ่เชียว ยิ่งตียิ่งดัง
ทำดีเรื่อยไป
#4
โพสต์เมื่อ 14 July 2008 - 11:35 PM
ซึ่งตามที่ตนเองเข้าใจ ก็คือ คุณยายท่านคงหมายถึงการที่พญามารขัดขวางโดยการเอากิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ ไปใส่ให้คนเหล่านั้นมาขัดขวางหมู่คณะเรา ทั้งโดยเจตนาแม้ว่าจะรู้ว่าหมู่คณะเราทำความดีแบบไม่หวังผลประโยชน์ทางโลกจริงๆ และโดยไม่เจตนาแต่เป็นเพราะได้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน (นั่นคือทำให้คนเหล่านั้นมีอคติเพราะความชัง กลัว หลง หรือโลภ ฯลฯ)
ดังนั้น ทางแก้ตามตำสอนของคุณยายคือ เราต้องมีบุญมากๆๆๆ จนกระทั่งเขาขวางเราไม่ได้ อะไรก็ขวางเราไม่อยู่ และนั่นคือเหตุผลที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยท่านชวนให้เราสั่งสมบุญใหญ่อย่างถ่เหนียวเพื่อไม่ให้เขามีช่องแทรกเข้ามาขวางเราได้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบารมีของหมู่คณะหรือตัวเราเองแต่ละคน
ส่วนเรื่องการเป็นกัลยาณมิตรให้คนเหล่านั้น คุณยายท่านเคยสอนไว้ในเรื่องการเป็นกัลยาณมิตรว่า เราต้องเอาตัวเราให้รอดก่อน ถ้าเราเองยังไม่แข็งแรงพอ เดี๋ยวจะถูกเขาจูงไป ดังนั้นหากพิจารณาเปรียบเทียบกับเรื่องนี้ คงพอจะใช้เป็นแนวทางได้ว่า หากใจเรายังไม่นิ่งพอ เมื่อไปทำหน้าที่แล้วกลับใจขุ่นหรือหมอง จะทำให้เสียบุญ ก็น่าจะวางอุเบกขา อย่าเพิ่งเข้าไปอ่านหรือชี้แจงใดๆ ดังที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเคยบอกว่า "อะไรที่ดูแล้วใจหมองก็อย่าไปดู" น่ะค่ะ
#5
โพสต์เมื่อ 14 July 2008 - 11:41 PM
#6
โพสต์เมื่อ 15 July 2008 - 04:26 AM
ไม่เฉพาะการสร้างบารมี แม้แต่การทดลองวิทยาศาสตร์ ได้ความรู้อะไรใหม่ๆ มา ก็เกิดกระบวนการนี้เหมือนกัน หรือการสร้างอะไรใหม่ๆ เช่น การสร้างหอไอเฟิล ตอนแรกก็มีคนไม่ชอบ ตอนนี้คนก้ไปดูเยอะแยะ แต่ก็มีคนยังไม่ชอบ บอกว่าทำลายภาพบรรยากาศ สถาปัตยกรรมดั้งเดิม ฉะนั้น ทุกเรื่อง ล้วนมีคนแสดงความคิดเห็นไป ต่างๆ กัน นานาจิตตัง
ส่วนเรื่องของวัดเรา ถ้าอธิบายได้ก็อธิบาย แต่อย่าอารมณ์เสีย หรือ เผลอสติ ไปว่าร้ายเขา เพราะเราจะใจหมองเอง แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระชาติสุดท้าย ที่บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ยังมีคนว่าร้ายท่าน
ฉะนั้น ต้องเข้าใจ ทำใจ และทำความดีของเราต้อไป
คุณยายว่า เมื่อไรความดีองเราโตเป็นภูเขา เดี๋ยวคนก็จะเห็นเอง
อีกอย่าง เราก็ฝึกสั่งสมมุทิตาจิตไว้บ่อยๆ เวลาเราทำความดี หรือ ได้ดีเจริญก้าวหน้า ก็จะมีคนมาร่วมยินดี อนุโมทนาบุญ กับเราไปด้วย ไม่มีคนอิจฉา หรือหมั่นไส้
เริ่มที่นี้ วันสมาธิโลก อาทิตย์ต้นเดือนที่ ๓ สิงหา มามุทิตา พระเปรียญธรรม ๙ ประโยค จากทั่วประเทศ หลวงพ่อท่านทำเป็นตัวอย่าง และทำซ้ำๆๆๆๆ บ่อย ต่อไปทำอะไรก็จะมีแต่คนมามุทิตา ยินดีที่เราทำดี หรือได้ดีด้วย
ดีมั้ย
#7
โพสต์เมื่อ 15 July 2008 - 08:42 AM
อย่าไปเถียงเขาเลยครับ เถียงชนะไป ก็แค่เพิ่มคนปากจัดมาอีก 1 คน
จุดรวมมิจฉาทิฏฐิ และที่ๆ คนกำลังอารมณ์ร้อนแรงอย่างนั้นควรหลีกเลี่ยงครับ
#8
โพสต์เมื่อ 15 July 2008 - 08:50 AM
เพราะอัศวินเจไดถูกกวาดล้าง ดาร์กหลอดยึดครองอำนาจสูงสุดสภาเจไดครับ ^ ^
มุขขำๆที่พาให้ซีเรียสอีกแล้ว ไม่อยากให้เครียดกันน่ะครับ ^ ^"
หวังว่าคุณเจ้าของกระทู้คงไม่ลืมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะครับ ที่ว่าคนเรามีทั้งหมด4ประเภทหรือที่เรียกว่าดอกบัวสี่เหล่าซึ่งได้แก่
1. บัวพ้นนํา
2. บัวเหนือนํา
3. บัวใต้ผิวนํา
4. บัวในตรม
ทั้ง4ประเภทนี้แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองยังหลีกเลี่ยงที่จะเสวนากับบัวประเภทที่4 เพราะเป็นประเภทที่ใจมืดบอดสนิท หมดสิทธิ์ที่จะมีดวงตาเห็นธรรมเลยนะครับ แล้วเรายังเป็นแค่คนธรรมดายังไม่มีดวงตาเห็นธรรม วิทยายุทธยังไม่ลําเลิศ จะไปต่อกรกับเขาได้ยังไงจริงไหมครับ ดังนั้นหลีกเลี่ยงได้ควรหลีกเลี่ยงดีกว่าครับ วางอุเบกขาแล้วหลบมาฝึกวิทยายุทธให้แข็งแกร่ง ให้ตัวเองมั่นใจว่ามีความสามารถพอจะเป็นเจ้ายุทธภพได้จึงค่อยออกไปต่อกรกับเขาครับ
อย่าลืมคำสอนของคุณครูไม่ใหญ่สิครับ "เรื่องทางโลกให้วางอุเบกขา เรื่องพระศาสนาให้เอาอุเบกขาวาง" แล้วสักวันโลกจะประจักษ์เองครับ ^ ^
เตียบ่อกี้ แม้จะสำเร็จวิชาเก้าเอี้ยง ได้เรียนเคลื่อนย้ายจักรวาล แตกฉานวิชาไทเก๊ก ฝึกเสร็จวิชาเปอร์เซีย ได้เป็นประมุขเม้งก่า แต่มาพ่ายรักเตี๋ยเมี่ยง ยังหลีกเลี่ยงที่จะต่อกรกับจิวจี้เยียกที่สำเร็จกรงเล็บกระดูกขาวเก้าอิมจินเก็งเลยนะครับ
- -" ไปๆมาๆ กลายเป็นดาบมังกรหยกไปซะงั้น
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#9
โพสต์เมื่อ 15 July 2008 - 09:00 AM
วิธีแก้มันจะง่ายๆแบบนี้เสมอแหละครับ ไม่ต้องไปยุ่งกับคนอื่นให้เหนื่อยใจ แก้ที่ตัวเองให้มากๆเข้าไว้นี่แหละ และก็ต้องหัดอธิบายความคิดตัวเองให้คนอื่นได้ด้วย(มันยากตรงนี้แหละครับ)
#10
โพสต์เมื่อ 15 July 2008 - 09:03 AM
#11
โพสต์เมื่อ 15 July 2008 - 09:13 AM
#12
โพสต์เมื่อ 15 July 2008 - 09:37 AM
อ่านแล้วก็ให้อุ่นใจว่า หมู่คณะของเราติดตามทั้งทางโลกและทางธรรม ในปัจจุบันสถานที่สำหรับพักพิงจิตรใจที่ดี
ที่สุดคือ วัดค่ะ พอมีคนเข้ามาปฏิบัติธรรมที่วัดเรามาก ก็จะมีคนหลากหลายอาชีพ ก็เป็นธรรมดา มุ่งทำดีเรื่อยไปดีกว่า
เพื่อเป้าหมายที่สุดแห่งธรรม
เหมือนดอกบัวทะยานตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ เปิดกลีบรับแสงตะวันธรรม
น้อมนำสู่วิถีอันดีงาม
#13
โพสต์เมื่อ 15 July 2008 - 09:49 AM
#14
โพสต์เมื่อ 15 July 2008 - 09:55 AM
ลองคิดดูว่าถึงวันนี้ เราได้บุญบารมีมากน้อยแค่ไหน ก็แค่ลมปาก ที่กรรโชคมาเหมือนลม
หาทำให้ต้นไม้ใหญ่ล้มไม่ สั่งสมบุญกันต่อไป เพราะเราเกิดมาสร้างบารมี
อุปสรรคคือเครื่องทดสอบกำลังใจเท่านั้น แค่นั้นจริงๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน ทำหน้าที่กัลยาณมิตร กันต่อไป สู่โว้ย
#15
โพสต์เมื่อ 15 July 2008 - 10:03 AM
มุ่งสร้างบารมีสถานเดียว อย่างมุ่งมั่น เดี๋ยวเสียงค้านจะแผ่วลง เมื่อบารมีเรามากขึ้น
ความยากที่ยิ่งใหญ่ ยังรอเราอยู่อีกเยอะ ต้องฝ่าฟันกันอีกไม่น้อย แต่สู้ไม่ถอยจ้า
#16
โพสต์เมื่อ 15 July 2008 - 10:09 AM
นี้คือความดี ที่เราต้องรักษาเอาไว้
เพราะเรารู้ว่า การว่าร้ายกันเป็นสิ่งที่ไม่ดี
บัณฑิตไม่สรรเสริญ
รังแต่ทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม
ไม่ก่อประโยชน์ และไม่ใช้วิธีแก้ปัญหาที่ดี
การแก้ปัญหาต้องใช้สติ และปัญญา
บัณฑิตสรรเสริญ วิธีนี้แล
#17
โพสต์เมื่อ 15 July 2008 - 11:02 AM
เราแค่ดูตัวเราเองก็พอครับ ว่าเป็นอย่างที่เขาว่าหรือเปล่า ถ้ามั่นใจแล้วก็ทำดีให้ยิ่งๆขึ้นไป
แล้วก็หันมาประคับประคองหมู่คณะของเราเอาไว้ ฉุดลากให้ไปด้วยกัน ไปทางเดียวกัน
ใครจะว่าอะไรก็เฉยๆครับ ความจริงจะจัดการกับเรื่องพวกนี้เอง เพราะความจริงคือดวงอาทิตย์ น้ำลายกี่กองก็ไม่สามารถดับได้หรอกครับ
พระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นของแท้ ไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัยก็หาข้อลบล้างไม่ได้
หมุ่คณะเราประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมเหล่านั้น แล้วจะมาหวั่นไหวกับคำพูดของคนไม่กี่คนหรือครับ
ยิ้ม ใส สบาย กันไว้นะครับ
อนุโมทนาบุญด้วยครับ
#18
โพสต์เมื่อ 15 July 2008 - 12:01 PM
#19
โพสต์เมื่อ 15 July 2008 - 04:40 PM
ปี31 ปี41 ปีนี้ 51 เราทำความดีจนมีภูมิคุ้มกันมากขึ้นแล้ว
ต้องทำความดีให้ยิ่งขึ้นต่อไป
ถ้ายังไม่แกร่งพอ กระทู้ที่ทำให้ใจหมองอย่าไปดู ไปตอบเลยครับ
#20
โพสต์เมื่อ 15 July 2008 - 04:54 PM
ป.ล ภาพผ่านมาตั้งปีที่แล้ว ยังอุตส่าห์ขุดคุ้ยกันมาหาเรื่องกันอีก ต้องการอะไรกันนะ ง้ง..งง
#21
โพสต์เมื่อ 15 July 2008 - 05:14 PM
...
ทำใจนะจ๊ะ อะไรที่รวมคนได้มากๆ ก็มีคนหมั่นไส้ เป็นธรรมดา
บางทีก็กลัวการที่พระเดชพระคุณฯ ท่านรวมคนได้มาก
เป็นอำนาจอย่างหนึ่ง
....
ไม่คิด ไม่กลัว ยิ่งคิด ยิ่งกลัว มังจ๊ะ
ใครอยากว่าอะไรเรา ก็สนใจให้น้อยๆ อย่าอ่านมาก อย่าฟังมาก
ใจแย่นัก ก็ใช้วิธี
วันธรรมดาอ่านกระทู้ ดูDMC
วันอาทิตย์มาวัด เจอพรรคพวกเพื่อนฝูงรสนิยมเดียวกัน แค่นี้ก็ใจฟู...
....
วันจันทร์ ก็สู้ๆๆ
ใครนั่งสมาธิทุกวัน ใจจะนิ่ง แน่นภายใน ไม่เคยใจตกเลย
ดิ่งเข้ากลางของกลางไว้ตลอดต่อเนื่อง ปัญญาเรา จะเหนือกว่าทุกคนที่มาถามเรา มาเถียงเรา
เพราะเขา เต็มไปด้วย อวิชชา ความเกลียดชัง ปัญญาก็มืดมิด
เดี๋ยวเดียว ก็เห็นต้องยอม
หรือพวกดื้อรั้น ก็แค่ทำพูดไถลเถลือก จะเอาชนะ เพราะแพ้ด้วยเหตุผล
เราก็ยิ้ม แล้วเลิกคุยดื้อๆ
เสียอารมณ์กับคนด้อยปัญญาทำไม๊
#22
โพสต์เมื่อ 15 July 2008 - 05:24 PM
#23
โพสต์เมื่อ 15 July 2008 - 05:35 PM
อชินิ มํ อหาสิ เม
เย จ ตํ อุปนยฺหนฺติ
เวรํ เตสํ น สมฺมติ . . . ฯ ๓ ฯ
ใครมัวคิดอาฆาตว่า
"มันด่าเรา มันทำร้ายเรา
มันเอาชนะเรา มันขโมยของเรา"
เวรของเขาไม่มีทางระงับ
'He abused me, he beat me,
He defeated me, he robbed me',
In those who harbour such thoughts
Hatred never ceases.
อชินิ มํ อหาสิ เม
เย จ ตํ นูปนยฺหนฺติ
เวรํ เตสูปสมฺมติ . . . ฯ ๔ ฯ
ใครไม่คิดอาฆาตว่า
"มันด่าเรา มันทำร้ายเรา
มันเอาชนะเรา มันขโมยของเรา"
เวรของเขาย่อมระงับ
'He abused me, he beat me,
He defeated me, he robbed me'
In those who harbour not such thoughts
Hatred finds its end.
สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ
อเวเรน จ สมฺมนฺติ
เอส ธมฺโม สนนฺตโน . . . ฯ ๕ ฯ
แต่ไหนแต่ไรมา ในโลกนี้
เวรไม่มีระงับด้วยการจองเวร
มีแต่ระงับด้วยการไม่จองเวร
นี้เป็นกฎเกณฑ์ตายตัว
At any time in this world,
Hatred never ceases by hatred,
But through non-hatred it ceases.
This is an eternal law.
มยเมตฺถ ยมามเส
เย จ ตตฺถ วิชานนฺติ
ตโต สมฺมนฺติ เมธคา . . . ฯ ๖ ฯ
คนทั่วไปมักนึกไม่ถึงว่า ตนกำลังพินาศ
เพราะวิวาททุ่มเถียงกัน
ส่วนผู้รู้ความจริงเช่นนั้น
ย่อมไม่ทะเลาะกันอีกต่อไป
The common people know not
That in this quarrel they will perish,
But those who realize this truth
Have their quarrels calmed thereby
#24
โพสต์เมื่อ 15 July 2008 - 05:49 PM
#25
โพสต์เมื่อ 15 July 2008 - 06:28 PM
รอเวลาให้บาปทำงานหน่อยครับ แล้วเขาจะรู้เอง พวกเราทำบุญให้มาก ๆ ต่อไป ให้บุญท่วมบาป
มองโลกในแง่ดีก็ไม่ควร เราไม่รู้ว่าเขาด่า ว่าอย่างไร เขาพยายามจะลากเราไปเกี่ยว ได้ยินแต่ว่าหมู่คณะถูกด่า
เราไม่ดูทีวี ไม่อ่าน นสพ. ตั้งแต่ปี ๒๕๔๖ ดูแต่ DMC ก็มีชีวิตปกติดี ทำงานได้ดีด้วย
#26
โพสต์เมื่อ 15 July 2008 - 06:48 PM
ทำให้ผมนึกถึงเรื่องเปรตญาติที่มาขอส่วนบุญพระเจ้าพิมพิสารสมัยพุทธกาล..
ครั้งนั้นพระเจ้าพิมพิสารได้ถวายทานแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อกลางวัน พอตกดึกยามสงัด ได้มีพวกเปรต บ้างยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าง บ้างยืนอยู่นอกชานบ้าง บ้างยืนอยู่นอกรั้วบ้าง ต่างก็ส่งเสียงโหยหวน เป็นที่ชวนน่าหวาดกลัวยิ่งนัก จนพระเจ้าพิมพิสารสะดุ้งตื่นกลางดึก เพราะเสียงร้องดังกล่าว..
รุ่งเช้าพระองค์จึงเสด็จไปทูลถามเรื่องเปรตแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาฯตรัสไว้ชัดว่า--ไม่ต้องหวาดกลัว หรือเกรงภัยอันตรายใดๆ เพราะเปรตเหล่านั้นก็คืออดีตพระญาติของพระองค์เอง--ว่าแล้วพระสัมมาฯก็ย้อนอดีตถึงที่มาที่ไปของพวกเปรตพวกนี้ให้พระเจ้าพิมพิสารได้สดับเพื่อคลายความสงสัย และหวาดกลัว..
ย้อนไปเมื่อสมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ(ก่อนหน้าพระสมณะโคดมพระพุทธเจ้าของเราหลายกัป) ได้มีกลุ่มทหารชั้นสูงพร้อมด้วยลูกน้องได้ถวายสังฆทานแด่พระพุทธเจ้าในสมัยนั้นด้วยความเคารพในทานเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็มีนายทหารบางกลุ่มพร้อมด้วยลูกน้องที่ไม่ได้เคารพในทานนั้นๆ และกล่าวดูถูก ดูหมิ่น เหยียดหยามพระพุทธเจ้าและหมู่สงฆ์ ด้วยว่าไม่เชื่อในผลบุญ ผลบาป ยิ่งไปกว่านั้นต่างพากันแอบกินของที่จะถวายนั้นเสีย บ้างก็เผาโรงครัวทิ้งก็มี..
พอละโลกในชาตินั้นพวกที่ให้ทานด้วยความเคารพก็ไปเสวยผลบุญบนเทวโลก หมดบุญมาเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ชั้นสูง ถึงพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ รูปสมบัติ และคุณสมบัติ หมดบุญจากมนุษย์ก็ไปบังเกิดเป็นเทวดา สลับกันไปอย่างนี้จนนับไม่ทั่วถ้วน และได้สลับมาบังเกิดอยู่อย่างนี้จนมีพระพุทธเจ้ามาบังเกิดในโลกมนุษย์ถึง 5 พระองค์ด้วยกัน..
ส่วนพวกที่แอบลักกินของถวายทาน ทั้งไม่เคารพในพระรัตนตรัย พอละโลกไปก็ไปบังเกิดเป็นเปรตที่หิวโหย โซซัดโซเซ ไม่ได้ไปผุดไปเกิดเลย คอยแต่รอจะมีใครทำทานให้บ้าง จึงจะพอประทังความหิวคราวๆไป พวกเปรตนี้ต้องชดใช้กรรมอยู่ถึง 92 กัป หรือมีพระพุทธเจ้าถึง 5 พระองค์ แต่ละพระองค์ที่มาบังเกิด พวกเปรตเหล่านี้ก็ได้ไปทูลถามว่า พวกตนจะหมดหนี้หมดเวรกันเมื่อใดหนอ? พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ต่างก็ตรัสให้ความหวังแก่เปรตเหล่านั้นเหมือนๆกันว่า--โน่นแน่ะ..ถ้าแผ่นดินนี้สูงขึ้นอีกสัก 1 โยชน์ จะมีพระพุทธเจ้ามาบังเกิดอีก พวกเจ้าก็จงรอไปถามพระพุทธเจ้าองค์หน้านู้นเถิด--
พวกเปรตที่หิวโซเหล่านั้นก็เฝ้ารอแล้วรอเล่า เฝ้าแต่รอ จนกระทั่งมีพระพุทธเจ้ามาบังเกิดแล้วองค์ที่ 4 พวกเปรตเหล่านั้นก็ไปทูลถามอีก พระองค์ก็ตรัสเหมือนๆกับองค์ก่อนๆแต่ครานี้พวกเปรตดูมีทีท่าว่าพอจะมีความหวังแล้ว เพราะพระองค์ตรัสว่า--ต่อไปจักมีพระสมณะโคดม (พระพุทธเจ้าของพวกเรา) มาตรัสรู้ และจะมีญาติพวกเจ้าลงมาบังเกิดด้วย ให้พวกเจ้าจงอนุโมทนาในผลทานที่ญาติของเจ้าจักทำไว้ดีแล้ว แล้วพวกเจ้าจักพ้นสภาพ--
ได้ยินดังนั้นพวกเปรตทั้งหลายต่างก็ดีใจ เสมือนว่าพรุ่งแล้วสิน่ะ ที่จะได้พบพระพุทธเจ้า (แต่ความเป็นจริงต้องรออีกหลายๆกัปทีเดียว--แต่เนื่องจากรอซะชิน รอมาได้ตั้ง 4 พระองค์แล้ว จะรออีกสักหนึ่งพระองค์จะเป็นไรเชียว--ดูๆความยาวนานของการเสวยทุกข์ ไม่คุ้มเอาเสียเลย)..
กระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระโคตมพุทธเจ้า ได้มาบังเกิดจริง และญาติที่เป็นนายทหารก็มาบังเกิดด้วยเป็นพระเจ้าพิมพิสารและบริวารทหารที่เคยถวายทานด้วยความเคารพสมัยเมื่อ 4 พุทธันดรที่แล้วก็ลงมาเกิดด้วย และก็ได้เกิดเหตุดังกล่าวขึ้น (พวกเปรตอดีตญาติมาร้องขอส่วนบุญ จนพระเจ้าพิมพิสารต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า)
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้แนะนำให้พระเจ้าพิมพิสาร ถวายสังฆทานคราใดก็ให้กรวดน้ำอุทิศแผ่ส่วนบุญไปให้เปรตอดีตพระญาติ และเปรตเหล่านั้นพอได้รับส่วนบุญอุทิศ ก็ได้กลายสภาพที่ดีขึ้น เปลี่ยนสภาพจากเปรตก็หายวับไป ไปสู่ภพภูมิที่เหมาะสมแก่บุญและบาปตนต่อไป..
ก็ใครอยากจะเป็นดั่งเปรตอดีตพระญาติพระเจ้าพิมพิสารก็เลือกเอา?
เพราะชีวิตเราลิขิตเองได้ครับ..design what you design to be..
ไฟล์แนบ
#27
โพสต์เมื่อ 15 July 2008 - 08:03 PM
ที่สำคัญคือ ตอบทุกครั้ง ต้องตอบด้วยใจใสๆ ไม่ขุ่นมัว ทำด้วยจิตเมตตา และปรารถนาดีต่อผู้ที่จะมาอ่านจริงๆครับ หากถามว่าทำไมมันถึงมืดนัก ผมก็ขอตอบว่า เดี๋ยวนี้สว่างกว่ายุคปี 40 เยอะแล้วครับ ก็คิดเสียว่ามาสร้างบารมี หนักเอาเบาสู้กันไป ถึงเวลาก็กลับดุสิตบุรี ที่นั่นจะมีแต่เสียงสรรเสริญการสร้างบุญสร้างบารมีครับ ทนฟังเขาบ่นเขาด่าอย่างดีก็ร้อยปีเท่านั้นเอง
#28
โพสต์เมื่อ 15 July 2008 - 10:07 PM
ส่วนอำนาจใสสว่างนั้นเย็นตาเย็นใจ
ยิ่งอำนาจมืดเขาร้อนแรง-เราอำนาจสว่างก็ต้องยิ่งสงบสำรวมดับความร้อนทั้งภายในและภายนอก
แก้โดยเกาให้ถูกที่คัน
กลับมาเกาที่ตัวเรา...เมื่ออำนาจใสสว่างเย็นพอที่อำนาจแห่งความมืดเผาใจเราไม่ได้แล้ว...เรา
1. อยู่ในสถานะที่ไม่สามารถชี้แนะเขาได้เพราะเขาไม่เปิดใจ ก็ใช้หลัก ไม่สู้ ไม่หนี ทำดีเรื่อยไป เพิ่มพูนบารมีร่วมกับหมู่คณะ ดังที่คุณฉัตรแก้วแนะไว้
2. สามารถแนะนำเขาได้ ก็ควรทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตร ดัง"ฆฏิการะ"แนะนำประโยชน์ให้"โชติปาละ"เพื่อนผู้มีมิจฉาทิฐิให้เป็นสัมมาทิฐิได้พบกับพระกัสสปะพุทธเจ้า รับพุทธพยากรณ์ เพราะเขาเหล่านั้นหลายท่านเป็นผู้มีปัญญาเพียงแต่มีทิฐิที่แตกต่าง เปิดช่องว่างให้อำนาจแห่งความมืดได้ช่องยังผลให้เกิดม่านบังตาบังใจ
3. หากใครก่อวจีกรรมจาบจ้วง ลบหลู่ ดูหมิ่น บูรพาจารย์ของเรา เรายิ่งต้องอดกลั้น เพราะบูรพาจารย์ของเรานั้นมีเมตตาเกื้อกูลกับทุกสรรพชีวิตเป็นปกติของท่าน ท่านไม่เดือดร้อน ไม่หวั่นไหว ยังคงดำเนินปฏิปทาตามมหาปูชนียาจารย์บุคคลต้นวิชชาอย่างไม่รู้จักเหนื่อยยาก
อภัยให้เขาเหล่านั้นเถิด หากเราได้เห็นเขาเหล่านั้นรับวิบากจากวจีกรรมที่เขาก่อขึ้น เราคงอดสงสารและสังเวชใจไม่ได้ เพราะหมู่คณะเรามาเพื่อรื้อ...ยังไงก็ตาม ตราบที่เขายังไม่สามารถหลีกวัฏฏะได้ หน้าที่หมู่คณะเรานี่ล่ะ ที่จะต้องร่วมแรงร่วมใจกันเกื้อกูลเขาเหล่านั้น สักวันเขาคงเข้าใจ
#29
โพสต์เมื่อ 15 July 2008 - 10:32 PM
#30
โพสต์เมื่อ 16 July 2008 - 02:42 PM
(ว่าเราจนด้วย แหม เค้าไม่ได้มีกะตังค์ไว้โชว์)
เฉย และยิ้ม เฉยและยิ้ม ค่ะ