เรื่องประกอบ
อาจารย์สัญชัยปริพพาชก สัญชัยเป็นคณาจารย์คนหนึ่ง บรรดาคณาจารย์มากมายในกรุงราชคฤห์
สัญชัยพอใจเป็นนักพรตประเภทปริพพาชก ดังนั้น บางคราวเราจะได้ยินคำว่า
สัญชัยปริพพาชก เขาเป็นอาจารย์ของพระสารีบุตรและโมคคัลลานะ
ในสมัยที่ท่านทั้งสองยังเป็นหนุ่มชื่อ อุปติสสะ และโกลิตะ อยู่
ขอกล่าวเรื่องของท่านทั้งสองเล็กน้อยก่อน เพื่อให้เรื่องเชื่อมกันสนิท
ในสมัยเป็นฆราวาส
อุปติสสะ และ
โกลิตะ เป็นเพื่อนรักกันและมั่งคั่งด้วยกันทั้งสองคน
บิดาของอุปติสสะ เป็นผู้ใหญ่บ้านในอุปปติสสคาม บิดาของโกลิตะ ก็เป็นผู้ใหญ่บ้านในโกลิตคาม สองตระกูลนี้มีความสัมพันธ์เป็นสหายกันมา 7 ชั่วอายุคนแล้ว
เมื่อเติบโต ทั้งสองได้ศึกษาศิลปศาสตร์อันเป็นทางเลี้ยงชีพและทางนำมาซึ่งเกียรติยศชื่อเสียงสำเร็จทุกประการ
เขาชอบไปดูมหรสพบนยอดเขา ย่อมหัวเราะในที่ควรหัวเราะ เศร้าสลดในที่ควรเศร้าสลด
และให้รางวัลแก่ผู้แสดงที่ตนชอบใจ
ต่อมาวันหนึ่ง
อุปติสสะ มีอาการแปลกไป คือ นั่งเฉยเหมือนคิดอะไรอย่างหนึ่งอย่างลึกซึ้ง ว่า
คนเหล่านี้ ไม่ถึงร้อยปีก็คงจักต้องตายกันหมด จะเพลิดเพลินอะไรกันอยู่ เราน่าจะแสวงหาโมกขธรรม
โกลิตะ เห็นด้วย จึงพากันออกแสวงหาโมกขธรรม (ธรรมอันเป็นทางให้พ้นทุกข์)
ทั้งสองตกลงกันแล้ว พร้อมด้วยบริวารคนละ 500 ออกบวชในสำนักของอาจารย์สัญชัย
ตั้งแต่ทั้งสองสหายบวชแล้ว สัญชัยก็เป็นผู้เลิศด้วยลาภและบริวาร
ล่วงไปเพียง 2-3 วัน อุปติสสะ และโกลิตะก็สามารถเรียนจบคำสอนของอาจารย์
เมื่อทราบจากอาจารย์สัญชัยว่า
ไม่มีคำสอนอื่นใดอันยิ่งกว่านี้แล้ว เขาทั้งสองคิดกันว่า
การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักของอาจารย์สัญชัย ไม่มีประโยชน์อะไร
เราทั้งสองออกบวชเพื่อแสวงหาโมกขธรรม แต่ไม่สามารถพบได้ในสำนักของอาจารย์ผู้นี้
อันชมพูทวีปนี้ กว้างใหญ่นัก เราเที่ยวไปในคามนิคม ชนบทราชธานี
คงจักได้อาจารย์ผู้แสดงโมกขธรรมเป็นแน่แท้ ตั้งแต่นั้น ใครพูดว่าที่ใดมีสมณพราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิต,
ทั้งสองก็ไปทำการสากัจฉากับสมณพราหมณ์นั้น
ปัญหาที่เขาถาม, อาจารย์เหล่านั้นไม่อาจแก้ได้ เขาเที่ยวสอบหาอาจารย์ทั่วชมพูทวีป
แต่ไม่ประสบ จึงกลับมาสู่สำนักเดิม นัดหมายกันว่าใครได้บรรลุอมตธรรมก่อนขอจงบอกแก่กัน
ระยะนั้น พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จถึงกรุงราชคฤห์
ประทับอยู่ ณ เวฬุวัน อันพระราชาพิมพิสารทูลถวาย
พระสาวกรูปหนึ่ง ในจำนวนปัญจวัคคีย์ คือ
พระอัสสชิ ออกบิณฑาตในกรุงราชคฤห์
ในเช้าวันหนึ่ง อุปติสสะบริโภคอาหารเช้าแล้วก็ออกแต่เช้าเหมือนกัน
เขาได้เห็นพระอัสสชิแล้ว รำพึงว่า
"นักบวชอย่างนี้ เราไม่เคยพบเลย คงจักเป็นรูปหนึ่งรูปใด บรรดาผู้บรรลุแล้วซึ่งพระอรหัตตผลในโลก
ไฉนหนอเราจักเข้าไปสอบถามความสงสัยของเราได้" เขากลับคิดว่า เวลานี้ ยังไม่ควรก่อน เพราะพระกำลังบิณฑบาต
จึงติดตามไปข้างหลัง เขาเห็นพระเถระได้อาหารบิณฑบาตพอสมควรแล้ว ไปสู่ที่แห่งหนึ่งเพื่อฉัน
เขาเห็นพระเถระแสดงอาการว่าจะนั่ง จึงได้จัดตั้งของปริพพาชกสำหรับตนถวาย
เมื่อพระเถระฉันเสร็จแล้วก็ได้รินน้ำในกุณโฑของตนถวายแล้วถามว่า
"อินทรีย์ของท่านผ่องใสยิ่งนัก ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง
ท่านบวชอุทิศใคร ?
ใครเป็นศาสดาของท่าน ?
ท่านชอบใจธรรมของใคร ?"
พระอัสสชิ คิดว่า
"โดยปกติ ปริพพาชก ย่อมเป็นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธศาสนา
เราจักแสดงความลึกซึ้งในพระศาสนาแก่ปรินิพพาชกนี้" แต่ได้กล่าวถ่อมตนก่อนว่าง
"ผู้มีอายุ! ข้าพเจ้ามาสู่ธรรมวินัยนี้ไม่นานนัก ยังเป็นผู้ใหม่อยู่
ข้าพเจ้าไม่สามารถแสดงธรรมโดยพิสดารได้"
ปริพพาชกเรียนว่า
"ข้าพเจ้าชื่ออุปติสสะ ขอพระผู้เป็นเจ้าจงกล่าวธรรมตามสามารถเถิด จะน้อยหรือมากไม่สำคัญ
การแทงตลอดธรรมนั้นเป็นหน้าที่ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการแต่ใจความเท่านั้น" พระอัสสชิจึงแสดงหลักสำคัญแห่งพระพุทธศาสนาทั้งปวง
อันรวมเอาหลักอริยสัจและปฏิจจสมุปบาทไว้ด้วย หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า หลักแห่งเหตุผล ดังนี้
"สิ่งทั้งปวง ย่อมมีเหตุ เกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าตรัสบอกเหตุ และวิธีดับไว้ด้วย
พระมหาสมณะ (พระพุทธเจ้า) มีปกติตรัสอย่างนี้" อุปติสสปริพพาชกฟังแล้วเพียง 2 บทต้นเท่านั้น ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล เมื่อพระเถระกล่าวจบลง เขาได้เรียนท่านว่า
"ท่านไม่ต้องขยายธรรมเทศนาให้ยิ่งขึ้นไป
แต่ว่า ข้าพเจ้าอยากทราบว่า พระศาสดาของพวกเราประทับอยู่ที่ใด" พระอัสสชิตอบว่า
เวลานี้พระศาสดาประทับอยู่ ณ เวฬุวันกลันทกนิวาปะ อุปติสสปริพพาชกเรียนว่า
"ข้าแต่ท่านผู้เจริญ! ขอท่านได้โปรดล่วงหน้าไปก่อนเถิด
ข้าพเจ้ามีเพื่อนอยู่คนหนึ่งได้ทำสัญญากันไว้ว่า ผู้ใดได้บรรลุธรรมก่อน จงบอกกัน
ข้าพเจ้าจักไปบอกเพื่อนแล้วพากันไปสู่สำนักของพระศาสดา" เขาหมอบลงแทบเท้าของพระเถระด้วยเบญจางคประดิษฐ์ กระทำประทักษิณ 3 รอบ
แล้วไปสู่อารามของปริพพาชกเพื่อบอกธรรมแก่โกลิตะผู้สหาย
โกลิตะเห็นสหายมา สังเกตสีหน้าและอาการแล้วรู้ว่า
อุปติสสะคงได้บรรลุธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่แท้ จึงถาม
อุปติสสะบอกความทั้งปวงแล้ว โกลิตะก็ได้สำเร็จ โสดาปัตติผลเหมือนกัน ทั้งสองชวนกันไปเฝ้าพระศาสดา แต่อุปติสสะ ระลึกถึงอาจารย์
จึงเข้าไปหาอาจารย์เล่าความทั้งปวงให้ฟัง แล้วชวนอาจารย์ไปเฝ้าพระศาสดาด้วย
แต่สัญชัยไม่ยอมไป อ้างว่าเป็นผู้ใหญ่ชั้นครูบาอาจารย์แล้ว ไม่ควรไปเป็นศิษย์ของใครอีก
เมื่อสองสหายคะยั้นคะยอหนักเข้า สัญชัยจึงถามว่า
ในโลกนี้มีคนโง่มาก หรือคนฉลาดมาก สองสหายตอบว่า
มีคนโง่มาก สัญชัยจึงสรุปว่า
ขอให้พวกฉลาดๆ ไปหาพระสมณโคดมเถิด ส่วนพวกโง่ๆ จงมาหาเราและอยู่ในสำนักของเรา เมื่อเห็นว่าชักชวนอาจารย์ไม่สำเร็จแน่แล้ว สองสหายก็จากไป
ศิษย์ในสำนักของสัญชัยได้ตามไปด้วยเป็นจำนวนมาก ประหนึ่งว่าอารามนั้นจะว่างลง
สัญชัยเห็นดังนั้น เสียใจจนอาเจียนออกมาเป็นเลือด
ศิษย์ของสัญชัย 250 คน คงจะสงสารอาจารย์จึงกลับเสียในระหว่างทาง คงติดตามสองสหายไป 250 คน