ไปที่เนื้อหา


- - - - -

"ผลลัพธ์ของชีวิต" ตอนที่ 2


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 4 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 *innerspot*

*innerspot*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 10 October 2009 - 01:23 PM

แนบไฟล์  Untitled_1.jpg   31.44K   52 ดาวน์โหลดคลิกที่นี่



ทำไมคุณยายถึงนั่งขาดรู้ได้


สมัยสงครามโลกซึ่งสมัยนั้นท่านทำวิชชากันทั้งวันทั้งคืน คุณยายจะทำวิชชาเชี่ยวมากจนกระทั่งได้เลื่อนมาเป็นหัวหน้าเวร สมัยนั้นหลวงปู่ท่านก็จะทำเตียงขาดรู้ให้ ที่ขาดรู้เพราะว่าเวลาที่ใจหยุดสนิทสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์จนกระทั่งหลุดจากหยาบไปติดละเอียดภายใน อันนี้ที่เรียกว่าขาดรู้ จิตก็บริสุทธิ์มากๆ รู้ญาณแม่นยำมาก

การที่คุณยายทำวิชชาได้ก็เพราะว่ายายเป็นคนบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ มีศีล มีสัจจะ และก็รักธรรมะมากที่สุด พอมาถึงวัดปากน้ำก็เข้าทำวิชชาได้เลย ปกติแล้วคนจะทำวิชชาได้ต้องสอบแล้วสอบอีก ถึงจะผ่านเข้าทำวิชชาได้ แต่ยายมาถึงยายทำวิชชาได้เลย เพราะว่ายายมีความบริสุทธิ์มาก

ยายปฏิบัติธรรมมากในสมัยสงครามโลก ยายนั่งธรรมะกลางวัน ๖ ชั่วโมงกลางคืน ๖ ชั่วโมงวิชชาละเอียดมากเลย ถึงแม้ยายไม่ได้ทำวิชชารุ่นแรกๆ แต่ยายก็มาทันทำวิชชาที่ละเอียดๆ เพราะว่าหลวงปู่ท่านทำวิชชาที่ละเอียดๆ ตอนที่ยายมาอยู่ที่โรงงานทำวิชชาแล้ว ธรรมะของยายจึงเชี่ยวชาญมาก แล้วในชีวิตจริงๆของยายก็รักธรรมะจริงๆ

ท่านบอกว่า คนที่ขาดรู้ ความลับไม่มีในโลก ธรรมะของหลวงพ่อวัดปากน้ำนี่ละเอียดลึกซึ้ง ยายเจอมาแล้ว ความลับแม้เพียงเส้นผมก็ไม่มี เห็นกระจ่างหมด เพราะฉะนั้นใครทำอะไรก็ทำให้ดี จะปิดบังอะไรก็ไม่ได้ ปิดบังได้เฉพาะผู้ที่มีกิเลสเท่านั้น เพราะฉะนั้นใครจะทำอะไรอยู่ที่ไหนยายรู้หมด เพียงแต่จะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น

ท่านจะย้ำตลอดเวลาเลยว่า ยายรักธรรมะมากที่สุด ยายไม่เคยไปไหนเลย ไม่เคยหนีไปไหน ไม่เคยไปเที่ยวหรือกลับบ้าน ยายห่วงธรรมะ ทำธรรมะกับหลวงพ่อวัดปากน้ำอย่างเดียว เรียนแบบทุบหม้อข้าว คือมุ่งมั่นอย่างเดียวไม่เอาอย่างอื่นเลย ยายไม่ติดบุคคล ไม่ติดในลาภสักการะ คน สัตว์ สิ่งของ คนอื่นถึงรู้ธรรมะไม่เท่ายาย ชาตินี้เป็นชาติที่ยายแก้ไขปรับปรุงตัวเองทุกอย่างให้เป็นบุญล้วนๆ อย่างเดียว ภพชาติต่อไปจะไม่มีสิ่งไม่ดีติดตัวยายอีกเลย

ท่านเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หลวงปู่ใช้ให้ไปดูวิราคะธาตุ วิราคะธรรม ว่าเป็นอย่างไร และท่านก็บอกว่า วิราคะธาตุ วิราคะธรรม เป็นธาตุธรรมของพระพุทธเจ้านิพพานเป็น สะอาดที่สุด สะอาดบริสุทธิ์มาก สะอาดทั้งธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ สะอาดทุกกาย สะอาดทุกดวง แยกออกทั้งสะอาดและไม่สะอาดเลย ยายไปเจอมาแล้ว ใช้เวลา ๒ อาทิตย์ทำวิชชาที่หลวงพ่อใช้ให้ไป ที่ท่านเน้นว่า ๒ อาทิตย์ คือท่านทำวิชชาอยู่ตั้ง ๒ อาทิตย์จึงจะไปถึงตรงนี้ได้ ใช้เวลามากกว่าหลายๆคำตอบที่ท่านทำมา อันนี้บุคคลต้องบริสุทธิ์มากๆ ผู้ที่ขาดรู้และผู้ที่ใจสะอาดมากๆ ถึงจะเข้าไปถึงตรงนี้ได้

ยายก็ตอบปัญหาทุกอย่างได้ เอาตัวรอดได้ก็เพราะวิชชาของหลวงพ่อวัดปากน้ำ

เรื่องธรรมะของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ยายรู้ดีรู้มากที่สุดเลย เพราะว่ายายทำวิชชากับหลวงพ่อมาตลอดเลยไม่ได้ไปไหน ทำตั้งแต่ก่อนสงครามโลกกระทั่งหมดสงครามโลก จนกระทั่งสงครามโลกเลิกแล้วก็ยังทำวิชชาอยู่ คนที่เค้าเอาวิชชาของหลวงพ่อไปพูดท่าโน้นท่านี้แสดงว่าเค้าไม่รู้จริง อยากทำตัวเป็นคนมีชื่อเสียง ตัวยายเองถึงจะรู้ดี แต่ในฐานะผู้ใหญ่ ยายพูดไม่ได้ เพราะคนทางโลกหยาบเค้าฟังเราไม่เข้าใจ แต่ว่าเรามีบุญมากๆ เป็นบุญลาภ อย่างยายทำ

ความดีมาตลอดหลายสิบปีอยู่ทำวิชชากับหลวงพ่อมาตลอด ได้รับวิชชาถ่ายทอดจากหลวงพ่อโดยตรง ได้รู้เห็นจริง ความรู้ที่ยายถ่ายทอดมานี่มากจนไม่รู้จะบอกว่ามากอย่างไร เมื่อได้ที่ดินศูนย์พุทธจักรมาใหม่ๆ ยายมองดูเนื้อที่ ๒๐๐ ไร่แล้วนึกในใจว่า เนื้อที่ใหญ่โตขนาดนี้ไม่พอที่จะใส่ความรู้ของยายได้หมด ใส่ได้แค่ปลายนิ้วก้อยนิดเดียวเท่านั้นเอง แต่พูดไม่ได้คนอื่นไม่เข้าใจ คนมีธรรมะเท่านั้นที่จะรู้และเข้าใจได้ ธรรมะของยายนะรับศึกได้เป็นร้อย เรื่องนี้ไม่มีใครเข้าใจ แต่ตัวเองเข้าใจดีว่าอะไรเป็นอะไร เหตุเพราะว่าปฏิบัติธรรมะมามาก แล้วหวังพึ่งธรรมะในตัวเองถึงเอาตัวรอดได้อย่างนี้

เรื่องธรรมะยายทำจนรู้หมดทุกสิ่งทุกอย่างว่าอะไรเป็นอะไร อะไรอยู่ที่ไหน อย่างสมมุติว่าของหยาบนะ เข็มอยู่ที่ไหน จานอยู่ที่ไหน ต้องไปค้นมาให้หลวงพ่อวัดปากน้ำจนได้ ท่านบอกว่าเหมือนห้องๆหนึ่งเวลาเราเดินเข้าไป เข็มอยู่ตรงไหน จานอยู่ตรงไหน อะไรวางไว้ตรงไหน ก็ต้องไปหยิบมาให้หลวงปู่ท่านจนได้เลย ธรรมะก็เหมือนกันต้องค้นให้ได้ขนาดนี้

ที่ว่าธรรมะละเอียดจริงๆ นี่ละเอียดจนถึงขนาด กินข้าวยังรู้เลยว่า สัตว์กินสัตว์ คือดูในตัวเอง เวลากินดูในไส้ตัวเอง เห็นคนกินคนเลย เพราะว่าสัตว์ที่กินเข้าไปก็คือคนเหมือนกับเรา เพียงแต่ไปสวมขันธ์ที่เป็นหมู เป็ด ไก่ตามกรรมของมัน

คนในสมัยหลวงปู่ที่ท่านขาดรู้มีอยู่หลายท่านเลย แม้แต่ในชุดที่เป็นอุบาสิกาเหมือนคุณยายท่านเองก็มีหลายท่าน และก็มีหลายท่านที่บางครั้งทำวิชชาได้ละเอียดกว่าคุณยายก็มี แต่ว่าบุคคลในระดับขาดรู้หรือทำวิชชาในระดับใกล้เคียงคุณยายหรือในระดับเก่งกว่าคุณยายละเอียดกว่าคุณยาย พอถึงจุดหนึ่งแล้วถ้าหากไม่มีพื้นฐานคุณธรรมอย่างที่คุณยายฝึกตัวไว้ วิชชาที่ไม่ว่าจะละเอียดกว่าหรือเท่ากันหรือใกล้เคียงกันก็รักษาไว้ไม่ได้ มีอันจะต้องหายไป เพราะว่าคุณธรรมภายในจิตใจไม่สามารถที่จะรองรับไว้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหลวงปู่มรณภาพไปแล้ว วิชชาละเอียดๆ ที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็ดี วิชชาที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่ ๒ นี่ต้องเชี่ยวมากๆ เพราะว่าหลวงปู่ต้องใช้งานเยอะเลยทำให้ทุกคนเชี่ยวมากในตอนนั้น หลังจากที่หลวงปู่มรณภาพแล้ว ใจของบุคคลที่ไม่บริสุทธิ์พอ ก็จะไม่สามารถรองรับวิชชาธรรมกายที่สะอาดบริสุทธิ์และละเอียดได้

เพราะวิชชาเหล่านั้นถ้าเปรียบเทียบกับทางโลกหรือทางธรรมก็เหมือนกับอาวุธที่ใช้ในการต่อสู้ แต่อันนี้ต่อสู้กับกิเลส ถ้าหากใจบุคคลนั้นไม่สะอาดและไม่มีคุณธรรมเพียงพอที่จะรองรับได้

คุณธรรมที่รองรับได้ก็คืออย่างที่คุณยายเป็นอยู่ ๑๒ กว่าข้อนั้น ถ้ามีสิ่งเหล่านี้อยู่รับรองว่าวิชชานั้นจะอยู่ไปได้ตลอดเลย แต่เพราะขาดคุณสมบัติ ๑ ใน ๑๒ ข้อนั้นก็ทำให้ไม่สามารถจะรองรับได้ เช่น หนึ่ง อาจจะอยากเด่นอยากดังอยากมีชื่อเสียง พอหลวงปู่ท่านได้มรณภาพไปแล้ว บางท่านก็ออกไปตั้งตัวไปเป็นภิกษุณีก็มี ใส่ชุดเหลืองห่มเหลืองใส่กางเกง สร้างวัดของตัวเอง พอเป็นอย่างนี้ก็เรียกว่า เอาวิชชาไปทำเลอะเทอะ

หลวงพ่อทัตตะท่านย้ำว่า การเข้าถึงธรรมแบบ Permanent คืออย่างมั่นคงเลย ต้องอยู่ฟากข้างตาย คือเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เหมือนพระพุทธเจ้าในวันตรัสรู้ ที่ท่านตั้งสัตยาธิษฐานไว้ว่า “ถ้าไม่เข้าถึงธรรมจะไม่ลุกจากที่ เอาชีวิตเป็นเดิมพัน” เหมือนหลวงปู่ ๒ คราวที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันถึงบรรลุวิชชาธรรมกาย หรือเหมือนต้นไม้ที่ทิ้งใบหมดทั้งต้นเลย เพื่อที่จะผลิใบใหม่ มันเหมือนตายแต่ไม่ตาย ก็จะคล้ายๆกัน

ในสมัยที่คุณยายป่วยอยู่ คุณยายบอกว่า ยายสังเกตุดู มีหมอฟัน หมอแม๊ะ หมอยา หมอจีนหรือว่าหมอตา ท่านบอกว่าหมอแต่ละท่านที่รักษายาย เก่งคนละอย่างและชำนาญไม่เหมือนกัน ชำนาญเฉพาะในเรื่องของตัวเอง เช่นหมอปิยะชำนาญในเรื่องฟัน, หมอคว้านชำนาญในเรื่องแม๊ะ เรื่องยาจีน, หมอเจริญชำนาญในเรื่องตา ท่านบอกว่าคนเราจะทำอะไรเก่ง อาศัยที่ว่ารักในสิ่งที่ทำนั้นๆ ใครรักสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้นได้ดีแล้วก็ทำได้ประณีต ทำได้ละเอียดอ่อนและดีที่สุด เหมือนยายรักธรรมะมากรักเป็นที่สุดเลย เพราะฉะนั้นธรรมะของยายจึงได้ละเอียดตลอดเวลาและก็เชี่ยวชาญ หมอที่รักษาคุณยายท่านจะเก่งมากในแต่ละเรื่อง เชี่ยวชาญมาก ก็เอาใจจรดจ่อแล้วก็ตั้งใจศึกษาในเรื่องนั้น ท่านก็เลยเอามาเปรียบเทียบกับตัวท่านเอง

ทำไมคุณยายถึงรักการทำวิชชา รักธรรมะเป็นชีวิตจิตใจ


ต้องเปรียบเทียบง่ายๆก่อนว่า ถ้าหากได้มองย้อนไปดูถึงนักวิทยาศาสตร์ทางตะวันตกที่เขาทุ่มเทชีวิต อย่างเช่น ไอสไตน์คิดนิวเคลียร์ หรือว่าเอดิสันคิดหลอดไฟฟ้า หรือว่าอาวิล ไลท์ที่สร้างเครื่องบิน หรือไม่ว่าจะคนอื่นๆอีก เขาได้ทำในสิ่งที่คนในสมัยนั้นไม่คิดว่าจะทำได้ แต่เวลาที่เขาทำใจของเขาจดจ่อกับงานที่เขาทำตลอดเวลา เรียกว่ามากกว่า ๒๔ ชั่วโมง เรียกว่ากินน้อยนอนน้อย แต่ใจจรดจดจ่ออยู่กับงานเพื่อที่จะได้ทำในสิ่งที่เขาคิด คิดว่าจะเป็นประโยชน์แก่ชาวโลก จะทำขึ้นมาให้ได้และเขาก็ทำสำเร็จ อย่างไรก็อย่างนั้นเลย

คุณยายมีใจที่จรดจ่ออยู่กับธรรมะ แล้วก็รักธรรมะเป็นชีวิตจิตใจ
ตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมงของคุณยายมีแต่ธรรมะอย่างเดียวที่จะต้องทำให้ละเอียดๆ
ทำให้ละเอียดแล้วก็ตอบหลวงพ่อได้(หลวงปู่วัดปากน้ำ) แต่ที่คุณยายพูดอยู่เรื่อยๆคือ ยายรักธรรมะมาก รักยิ่งกว่าชีวิต รักความบริสุทธิ์มากๆ ทำธรรมะจนชำนาญ เพราะยายคิดว่าคนที่เห็นธรรมะมีความสุขที่สุด เพราะฉะนั้นยายจึงอธิษฐานว่า ขอให้ยายเกิดมามีดวงตาเห็นธรรมทุกภพทุกชาติ จนกระทั่งเข้าสู่พระนิพพาน แล้วก็ให้รู้แจ้ง เห็นแจ้งแทงตลอดเลย มีความเชี่ยวชาญในธรรมะ

คุณยายบอกว่า ยายปฏิบัติธรรมะมากก็เพราะหวังพึ่งธรรมะในตัวเอง ถึงเอาตัวรอดได้ แล้วยายก็ตอบปัญหาทุกอย่างได้ เอาตัวรอดได้ก็เพราะวิชชาของหลวงปู่ แล้วท่านก็ย้ำอีกว่า ทั่วแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล ไม่มีใครช่วยยายให้พ้นทุกข์ได้หรอกนอกจากธรรมะเท่านั้น

การทำวิชชาเป็นการศึกษาวิชชาที่จะทำให้เกิดบุญ หรือว่าให้รู้จักบุญที่แท้จริงว่าคืออะไร และไปถึงต้นแหล่งของบุญ แล้วก็เอาบุญนั้นมาใช้แก้ความทุกข์ให้เป็นความสุข
แก้ไขจากสิ่งที่ร้ายเป็นดี ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบุญ เรื่องของธรรมะ และของการทำความดี หรือในวิชชาธรรมกายจะเกี่ยวข้องกันหมดเลยทั้งสามสี่อย่างนี้

คุณยายท่านจะพูดคล้ายๆกันว่า ยายรักบุญ รักธรรมะมากที่สุด รักสุดชีวิต เวลาที่เกิดอะไรขึ้นยายจะนึกถึงบุญก่อนอื่นเลย ยายดิ่งธรรมะคิดถึงบุญอย่างเดียวไม่คิดอย่างอื่น เพราะว่าบุญเท่านั้นที่จะช่วยยายได้

ทีท่านบอกว่าคนมีกิเลส แต่บุญไม่มีกิเลส เพราะว่าเวลาที่เขาใจดี เขาก็บอกว่าจะช่วยเรา แต่พอเขาอารมณ์ไม่ดีเขาก็เลิกช่วย แต่บุญไม่มีกิเลส คำว่าบุญไม่มีกิเลสนี่ก็คือ ถ้าเรามีบุญเป็นที่พึ่งไม่ว่าเราจะทุกข์จะสุขขนาดไหนบุญก็จะช่วยเราตลอด เพราะบุญไม่มีกิเลสไม่เป็นแบบว่าเดี๋ยวช่วยบ้าง ไม่ช่วยบ้าง บุญจะยุติธรรมจะช่วยตลอดเลย

คุณยายท่านย้ำอีกว่า ยายรักบุญอย่างเดียวเลยเพราะว่าบุญเป็นที่พึ่ง และเป็นสิ่งที่ทำให้สำเร็จทุกอย่างในสิ่งที่เราปรารถนา บุญเป็นเหมือนแก้วสารพัดนึก ทำให้เรามีความสุขความเจริญรุ่งเรือง เรื่องของบุญยายไม่ยอมให้น้อยหรือแพ้ใคร ยายไม่กลัวเหนื่อยเลยในเรื่องของการสร้างบุญ ยายสู้หัวชนฝา ยายเอาชนะทุกเรื่อง ทุกสิ่งทุกคน ก็ด้วยอาศัยบุญทั้งนั้นเลย สู้หัวชนฝานี่ท่านจะพูดเป็นประจำเลย คือจะไม่ยอมแพ้กับอุปสรรคที่มาขวางหน้า

อันนี้เป็นข้อความที่เป็นหัวใจเลย ท่านบอกว่า ที่สุดในโลกของเรานี้มีแต่บุญและบาป มีแต่ธาตุกับธรรมไม่มีอย่างอื่น มนุษย์เหมือนหุ่นถูกเชิดด้วยบุญและบาป แล้วท่านก็บอกว่า ทุกอย่างในโลกนี้มีบุญเป็นเครื่องตัดสิน มีบุญเป็นต้นเหตุ ทุกอย่างสำเร็จชนะได้อาศัยบุญ บุญเป็นที่พึ่งไม่มีใครเป็นที่พึ่งของเราได้ บุญนำมาซึ่งความสุข คนไหนมีบุญมากบุญก็จะสอนตัวเองให้ทำแต่สิ่งที่ถูก ตัดสินใจถูก เพราะฉะนั้นเราต้องตั้งใจเอาบุญจริงๆ เอาบุญสะอาดติดตัวไป

ท่านก็ย้ำอีกว่า ทุกอย่างในโลกนี้สำเร็จด้วยบุญ แล้วท่านก็บอกว่า กลางคืนก่อนนอนท่านนึกถึงบุญทุกคืนเลย เพราะบุญเป็นสิ่งที่ทำให้สำเร็จทุกอย่าง เราต้องพึ่งตัวเราเอง พึ่งบุญในตัวเรา ไม่ต้องคิดว่าจะไปพึ่งใคร ต้องคิดเรื่องบุญเป็นเรื่องใหญ่ คนที่มาช่วยเรานั้นก็เพราะว่าบุญของเราเค้าจึงมาช่วย ถ้าเราไม่มีบุญเขาก็ไม่มาช่วย เราต้องนึกถึงบุญสร้างบุญให้มากๆ ต้องสร้างบุญของเราให้เป็นภูเขาแล้วจะมีคนมาช่วยเราเอง ถ้าเรามีบุญเค้าก็จะมาช่วย แล้วนึกอะไรก็จะสำเร็จ คำว่าสำเร็จนี่หมายถึง รวมทุกสิ่งทุกอย่างหมดเลยแล้วก็ให้สำเร็จไปทุกภพทุกชาติ ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียวให้ติดตัวไปทุกภพทุกชาติด้วย

แล้วท่านก็บอกว่า คนเราต้องพึ่งบุญของเรานะ จะทำกิจการงานอะไรก็ต้องอาศัยบุญ บุญช่วยให้เราพ้นจากกองทุกข์ ให้นึกถึงบุญอย่างเดียวที่จะช่วยเราได้ ให้เรานึกไปที่ศูนย์กลางกาย รวมบุญที่เราเคยทำมาทั้งหมดให้มาช่วยให้เราพ้นจากทุกข์ แล้วก็ช่วยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณยายพร่ำสอนตลอดชีวิตของท่าน เรียกว่าทุกลมหายใจของคุณยายเป็นบุญตลอดเวลา ท่านก็จะตอกย้ำพวกเราทุกคนเลย บอกว่า ให้พวกเราทุกคนรักบุญ รักความดี ขยันหมั่นสร้างบุญ อย่าท้อถอยอย่าเบื่อหน่าย

ท่านบอกว่า เราเกิดมาสร้างบารมีชีวิตในเมืองมนุษย์มันสั้นนัก เดี๋ยวก็วันเดี๋ยวก็คืน ชีวิตของเราก็ร่อยหรอลงไปทุกวัน เดี๋ยวก็หมดเวลาแล้ว เพราะฉะนั้นต้องทำความดีให้ได้ทุกวินาทีเลย ยายเข้าวัดมาตั้งแต่อายุ ๒๙ ปีจนกระทั่งบัดนี้ ตอนที่คุณยายพูดนี่ก็ประมาณ ๗๐ กว่า ๘๐ แล้ว ท่านบอกว่าจนกระทั่งบัดนี้ ยายยังมีความรู้สึกว่า ยายยังได้บุญไปนิดเดียว ที่พูดนี่คือสิ่งที่ท่านตอกย้ำตลอดเลย ท่านจะตอกย้ำคล้ายๆแบบนี้ว่า เดี๋ยวก็วันเดี๋ยวก็คืนเดี๋ยวก็หมดเวลาแล้วนะ เราอย่าประมาทให้รีบสร้างความดี ยายกลัวบุญยายจะน้อย จึงรีบทำ

#2 kissy

kissy
  • Members
  • 589 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 October 2009 - 03:31 PM

สาธุ



#3 Nee-Sansanee 2

Nee-Sansanee 2
  • Members
  • 893 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 10 October 2009 - 04:42 PM

สาธุ ค่ะ



#4 *sky noi*

*sky noi*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 10 October 2009 - 08:16 PM

ตอนต่อไปอยู่นี่เอง คริกๆ cool.gif

#5 ต้นกล้าธรรม

ต้นกล้าธรรม
  • Members
  • 101 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 13 October 2009 - 11:51 PM

สาธุครับ

แล้วไม่มีตอนต่อไปอีกเหรอครับ คุณ Innerspot smile.gif