ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

"วาสนา" แปลว่าอะไรกันแน่น๊า?


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 10 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 บุญโต

บุญโต
  • Members
  • 2192 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
  • Interests:ปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 20 July 2006 - 08:44 AM

นำข้อความได้รับจากอีเมล์ทุกตัวอักษรมาโพสค่ะ

smile.gif smile.gif smile.gif smile.gif smile.gif smile.gif smile.gif smile.gif smile.gif

สำหรับคำว่าบารมีจริงๆ ที่เป็นภาษาบาลีนั้นผู้เขียนเชื่อมั่นว่าคงจะหาใครอธิบายให้เห็นภาพชัดเท่าท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ไม่ได้อีกแล้ว...ท่านได้บรรยายเรื่องบารมีนี้ในการสอนให้กับนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวิชาพื้นฐานอารยธรรมไทยเมื่อ พ.ศ.2516 ดังนี้

"การสืบเนื่องในกรรมนี้ มีเรื่องที่ควรจะต้องรู้อยู่ 2 อย่าง ที่ทำให้บุคคลสืบเนื่องต่อไปในกรรมดีหรือชั่ว พระพุทธศาสนาสอนว่า ผู้ใดทำดีไว้แล้ว จะมีสิ่งหนึ่งตกอยู่ในตัวเรียกว่า "บารมี" เราเคยได้ยินว่า คนนั้นมีบารมีมากทำอะไรก็สำเร็จ ถ้าทำกรรมชั่วแล้วผลที่ตกอยู่ในตัวคือ "อาสวะ" ทั้ง 2 อย่างนี้ทำให้เราสืบเนื่องในกรรม คือ บารมี และอาสวะนั้น เปรียบเหมือนกับเอาสิ่งใดที่มีสีต่างกันผสมกันลงไปในน้ำ เช่น ผงสีขาวและผงสีดำ ใส่ลงไปในแก้วน้ำอย่างละแก้ว แก้วที่ใส่ผงสีขาวนั้นเมื่อเอาอะไรคนหรือถูกสะเทือน ผงสีขาวก็จะพลุ่งขึ้นมา แต่ถ้าวางไว้นิ่งๆ ผงสีขาวก็จะตกตะกอนมองดูน้ำก็ใส เช่นเดียวกัน แก้วที่ใส่ผงสีดำเอาไว้ ถ้าน้ำอยู่นิ่งๆ ผงสีดำก็นอนก้นอยู่ ดูน้ำใส แต่ถ้าแก้วถูกกระทบอย่างแรงแล้ว สีดำที่ตกตะกอนอยู่แล้วก็จะพลุ่งขึ้นมา ทำให้น้ำเป็นสีดำ สมมุติว่า บารมีนั้นเปรียบเหมือนผงสีขาว คนที่มีบารมีมากก็เหมือนกับแก้วน้ำที่มีผงสีขาวตกตะกอนอยู่ เมื่อถูกกระทบกระเทือนผงสีขาวที่ตกตะกอนอยู่นั้นก็จะลอยขึ้นมาเต็มทำให้น้ำเป็นสีขาว หมายความว่า คนที่มีบารมีตกอยู่ในตัวนั้น ถ้ามีอะไรมากระทบใจก็จะออกมาในทางที่ดี ปฏิกิริยาออกไปจะเป็นไปในทางดีทั้งสิ้น คนที่ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง ไม่มีอกุศลมูล ทำบุญบริจาคให้คนอื่นเรื่อยมานั้น ก็จะมีบารมีตกอยู่เหมือนตกตะกอนสีขาว ถ้ามีอะไรกระทบกระเทือนอย่างแรง เป็นต้นว่า มีผู้ใดมาทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ หรือทำให้เสียหาย หรือสิ่งที่ทำให้ผงสีขาวขุ่นขึ้นมาก็จะเป็นสีขาว คนที่มีบารมีแล้วถูกกระทบกระเทือนอย่างไรก็ไม่โกรธ และมีแต่จะอภัยให้ คือ เป็นไปในทางดีทั้งสิ้น ส่วนคนที่มีอาสวะอยู่ในใจนั้น ถ้าอยู่นิ่งๆ ก็นึกว่าน้ำนั้นใสดี แต่กระทบนิดเดียวขุ่นขึ้นมาเป็นสีดำ คนนั้นก็จะมีโทสะได้ง่ายและจะเป็นไปในทางอาฆาตพยาทาทในทางชั่วต่างๆ

ดังนั้น คนที่มีบารมีอยู่ในตัว จะกระทำความดีได้ง่ายเพราะบารมีที่มีนั่นเอง เป็นเครื่องส่งเสริมให้กระทำความดีแล้วก็จะสืบเนื่องไปในทางกระทำดี ถ้าทำความชั่วก็จะทำบาปได้ง่ายอย่างคนที่ทำความีบริจาคทรัพย์ทำบุญช่วยเหลือผู้อื่นที่ตกทุกข์ได้ยาก ในขั้นต้นอาจจะมีความรู้สึกเสียดาย (มีโลภ) ที่จะบริจาคทรัพย์เพื่อคนอื่น แต่ทำความดีเช่นนี้สม่ำเสมอแล้ว ต่อไปจะทำได้ง่ายเมื่อถึงคราวที่จะต้องบริจาคทรัพย์ช่วยเหลือผู้อื่น หรือทำบุญกับศาสนาจะไม่รู้สึกเสียดายหรือเดือดร้อนอย่างใดเลย กลายเป็นของเคยชินไป ส่วนผู้ที่ทำกรรมชั่วจนตกเป็นอาสวะแล้วก็จะทำบาปได้ง่ายและทำมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ยิงสัตว์เล็กเล่น ต่อไปก็จะฆ่าสัตว์ใหญ่ และต่อไปจะฆ่าคนก็จะทำได้ง่ายไม่เดือดร้อนอะไรทั้งสิ้น เพราะเคยชินในการทำชั่วเสียแล้ว แต่ความจริงคนเรานั้นก็ประกอบทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ตะกอนที่ตกอยู่ก็มีทั้งสีดำและสีขาว ถ้ากระเทือนขึ้นมันก็แล้วแต่ว่าสีขาวหรือสีดำมาก ถ้าสีขาวกับสีดำพอๆ กัน ก็จะเห็นเป็นสีเทา ถ้ามีสีขาวมากก็จะค่อนไปทางขาว แต่ถ้ามีสำดำมากก็จะค่อนไปทางสีดำ"

ส่วนคำว่า "วาสนา" นั้นในประเทศไทยขณะนี้เป็นคำที่ฮิตมากและเป็นคำอีกคำหนึ่งที่มีคนมาถามมาคุยกับผู้เขียนมากเหลือเกิน ก็เลยไปค้นคำอธิบายของคำนี้มาจากหนังสือพจนานุกรรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) ซึ่งอธิบายคำว่าวาสนาดังนี้คือ

"วาสนา : อาการกายวาจา ที่เป็นลักษณะพิเศษของบุคคล ซึ่งเกิดจากกิเลสบางอย่าง และได้สั่งสมอบรมเป็นเวลานานจนเคยชินติดเป็นพื้นประจำตัว แม้จะละกิเลสนั้นได้แล้ว แต่ก็อาจจะละอาการกายวาจาที่เคยชินไม่ได้ เช่น คำพูดติดปาก อาการเดินที่เร็วหรือเดินต้วมเตี้ยม เป็นต้น ท่านขยายความว่าวาสนาที่เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากฤต คือเป็นกลางๆ ไม่ดีไม่ชั่วก็มี ที่เป็นกุศลกับอัพยากฤตนั้น ไม่ต้องละ แต่ที่เป็นอกุศลซึ่งควรจะละนั้นแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่จะเป็นเหตุให้เข้าถึงอบายกับส่วนที่เป็นเหตุให้เกิดอาการแสดงออกทางกายวาจาแปลกๆ ต่างๆ ส่วนแรก พระอรหันต์ทุกองค์ละได้ แต่ส่วนหลัง พระพุทธเจ้าเท่านั้นละได้ พระอรหันต์อื่นละไม่ได้ จึงมีคำกล่าวว่า พระพุทธเจ้าเท่านั้นละกิเลสทั้งหมดได้พร้อมทั้งวาสนา; ในภาษาไทยคำว่า วาสนา มีความหมายเพี้ยนไปกลายเป็นอำนาจบุญเก่า หรือกุศลที่ทำให้ได้รับลาภยศ"


#2 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 20 July 2006 - 09:49 AM

QUOTE
ส่วนคำว่า "วาสนา" นั้นในประเทศไทยขณะนี้เป็นคำที่ฮิตมากและเป็นคำอีกคำหนึ่งที่มีคนมาถามมาคุยกับผู้เขียนมากเหลือเกิน ก็เลยไปค้นคำอธิบายของคำนี้มาจากหนังสือพจนานุกรรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) ซึ่งอธิบายคำว่าวาสนาดังนี้คือ

"วาสนา : อาการกายวาจา ที่เป็นลักษณะพิเศษของบุคคล ซึ่งเกิดจากกิเลสบางอย่าง และได้สั่งสมอบรมเป็นเวลานานจนเคยชินติดเป็นพื้นประจำตัว แม้จะละกิเลสนั้นได้แล้ว แต่ก็อาจจะละอาการกายวาจาที่เคยชินไม่ได้ เช่น คำพูดติดปาก อาการเดินที่เร็วหรือเดินต้วมเตี้ยม เป็นต้น ท่านขยายความว่าวาสนาที่เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากฤต คือเป็นกลางๆ ไม่ดีไม่ชั่วก็มี ที่เป็นกุศลกับอัพยากฤตนั้น ไม่ต้องละ แต่ที่เป็นอกุศลซึ่งควรจะละนั้นแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่จะเป็นเหตุให้เข้าถึงอบายกับส่วนที่เป็นเหตุให้เกิดอาการแสดงออกทางกายวาจาแปลกๆ ต่างๆ ส่วนแรก พระอรหันต์ทุกองค์ละได้ แต่ส่วนหลัง พระพุทธเจ้าเท่านั้นละได้ พระอรหันต์อื่นละไม่ได้ จึงมีคำกล่าวว่า พระพุทธเจ้าเท่านั้นละกิเลสทั้งหมดได้พร้อมทั้งวาสนา; ในภาษาไทยคำว่า วาสนา มีความหมายเพี้ยนไปกลายเป็นอำนาจบุญเก่า หรือกุศลที่ทำให้ได้รับลาภยศ"

nerd_smile.gif ถูกต้องครับ ดูตัวอย่างของพระธรรมสนาบดีสารีบุตรก็ได้ครับ ครั้งหนึ่งท่านเดินทางไกลผ่านเส้นทางที่มีธารน้ำตก เพียงท่านเห็นธารน้ำตกแต่เพียงเท่านั้น ท่านกลับแสดงอาการกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ นี่เป็นเพราะวาสนาอันสั่งสมมาแต่ปางก่อน เมื่อครั้งที่ท่านเสวยชาติเป็นวานรน่ะครับ

QUOTE
พระพุทธศาสนาสอนว่า ผู้ใดทำดีไว้แล้ว จะมีสิ่งหนึ่งตกอยู่ในตัวเรียกว่า "บารมี"

บารมี คือ บุญที่ทำอย่างอุกฤษฏ์ยิ่งยวด เช่น การที่เราสร้างมหาทานบารมีทุกวันด้วยการตักบาตร อย่างนี้เรียกว่า "ทานบารมี" ครับ คำว่า "บารมี" นั้น แบ่งออกเป็น ๓ ระดับ ได้แก่ สามัญบารมี อุปบารมี และปรมัตถบารมีครับ
"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#3 ชาร์ป

ชาร์ป
  • Members
  • 985 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ปทุมธานี

โพสต์เมื่อ 20 July 2006 - 11:35 AM

อืมๆๆ ขอบคุณครับ

#4 นิ่งๆ นุ่มๆ

นิ่งๆ นุ่มๆ
  • Members
  • 618 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 July 2006 - 01:22 PM

วาสนา = บุญได้ช่อง หรือ บุญส่งผล happy.gif
อย่าทำตัวเหมือนเรือ ที่เก็บขยะในมหาสมุทร ใครเขาจะพูดอะไร จะว่าอะไรเราให้ใจขุ่น ก็อย่าไปสนใจ ปากก็ของเขา ความคิดก็ของเขา อย่าเอามาแบกไว้ เพราะสุดท้ายเรือจะล่มอยู่กลางมหาสมุทร ไปไม่รอด
น้าจี้

#5 crystalkids

crystalkids
  • Members
  • 110 โพสต์
  • Location:1341 ถนนสุขุมวิท แขวงพระโขนงเหนือ กรุงเทพฯ 10110

โพสต์เมื่อ 20 July 2006 - 04:17 PM

บทความนี้เป็นของอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยผมท่านได้เขียนไว้ในหนังสือพิมพ์ครับ
ให้เธอเพียรทำใจนิ่งสงบ
ไม่คาดหวังได้พบอะไรใหม่
เป็นใจเพียงไม่อยากได้ต่อสิ่งใด
ก็จะได้ทุกสิ่งที่ต้องการ


#6 พักผ่อน

พักผ่อน
  • Members
  • 422 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 20 July 2006 - 04:31 PM

ผมว่าเป็นไปได้ ว่าจะเป็นคำกลาง ๆ ที่สื่อความหมายว่า เป็นเหตุต่อเนื่องเป็นสายมา อะไรแบบนี้

คำว่า มีบุญวาสนามาก่อน จึงน่าจะหมายถึง มีเหตุแห่งบุญกุศลต่อเนื่องเป็นสายมาแต่เก่าก่อน

แต่พอเรียกว่า บุญวาสนา กันบ่อย ๆ จนติดปาก ผู้คนเลยตีความหมายของคำว่าวาสนาคือบุญเก่าไปโดยอัตโนมัติ

แต่ก็ไม่แน่ใจว่า วาสนา ใช้เป็น บาปวาสนา ได้หรือไม่ เพราะคำว่า วาสนา อาจจะเป็นคำที่ใช้กับความหมายในแง่บวกก็ได้

เช่น ผลของบาป เราเรียกว่า วิบาก ผลของบุญ เราเรียกว่า อานิสงส์ เป็นต้น

#7 จริยคุณกุลภัทร์

จริยคุณกุลภัทร์
  • Members
  • 368 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 July 2006 - 06:50 PM

ทำใจว่างๆ .................. อย่าไปยึดติดเลยค่ะ

#8 SmilingCat

SmilingCat
  • Members
  • 1209 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 July 2006 - 11:34 AM

มีคำสุภาษิตอยู่คำหนึ่ง คือ แข่งเรือแข่งพายนั้นแข่งได้ แต่บุญวาสนานั้นแข่งไม่ได้

ไม่รู้คำนี้ผิดหรือเปล่า เพราะบุญวาสนานั้นสามารถแข่งได้ ถ้าเราทำมาก ๆ ก็สามารถมีบุญมากกว่าได้

หยุดคือตัวสำเร็จ

#9 อ้วน บ่อโยก

อ้วน บ่อโยก
  • Members
  • 646 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:rayong

โพสต์เมื่อ 21 July 2006 - 09:45 PM

หลวงพ่อทัตตะ ท่านเคยเทศน์สอนเรื่อง บารมีให้ฟังนะครับ

บารมี คือ การทำบุญอย่างยิ่งยวดนะครับ

#10 saowanee15

saowanee15
  • Members
  • 207 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 July 2006 - 03:59 PM

วาสนา หากตรงตัว คือ บารมี นั่นเองค่ะ
เพราะชื่อนี่ คือ ชื่อของน้องสาว
ตอนแรก ๆ ก็เข้าใจว่า คือ มีบุญ มีโอกาส อะไรป่านนี้ค่ะ
เพราะไปเปิดดูจริง ๆ แปลว่า บารมี ค่ะ

#11 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 15 March 2007 - 03:40 PM

ดีครับ วันนี้ได้รับความรู้เพิ่มเติม สาธุ