








สำหรับคำว่าบารมีจริงๆ ที่เป็นภาษาบาลีนั้นผู้เขียนเชื่อมั่นว่าคงจะหาใครอธิบายให้เห็นภาพชัดเท่าท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ไม่ได้อีกแล้ว...ท่านได้บรรยายเรื่องบารมีนี้ในการสอนให้กับนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวิชาพื้นฐานอารยธรรมไทยเมื่อ พ.ศ.2516 ดังนี้
"การสืบเนื่องในกรรมนี้ มีเรื่องที่ควรจะต้องรู้อยู่ 2 อย่าง ที่ทำให้บุคคลสืบเนื่องต่อไปในกรรมดีหรือชั่ว พระพุทธศาสนาสอนว่า ผู้ใดทำดีไว้แล้ว จะมีสิ่งหนึ่งตกอยู่ในตัวเรียกว่า "บารมี" เราเคยได้ยินว่า คนนั้นมีบารมีมากทำอะไรก็สำเร็จ ถ้าทำกรรมชั่วแล้วผลที่ตกอยู่ในตัวคือ "อาสวะ" ทั้ง 2 อย่างนี้ทำให้เราสืบเนื่องในกรรม คือ บารมี และอาสวะนั้น เปรียบเหมือนกับเอาสิ่งใดที่มีสีต่างกันผสมกันลงไปในน้ำ เช่น ผงสีขาวและผงสีดำ ใส่ลงไปในแก้วน้ำอย่างละแก้ว แก้วที่ใส่ผงสีขาวนั้นเมื่อเอาอะไรคนหรือถูกสะเทือน ผงสีขาวก็จะพลุ่งขึ้นมา แต่ถ้าวางไว้นิ่งๆ ผงสีขาวก็จะตกตะกอนมองดูน้ำก็ใส เช่นเดียวกัน แก้วที่ใส่ผงสีดำเอาไว้ ถ้าน้ำอยู่นิ่งๆ ผงสีดำก็นอนก้นอยู่ ดูน้ำใส แต่ถ้าแก้วถูกกระทบอย่างแรงแล้ว สีดำที่ตกตะกอนอยู่แล้วก็จะพลุ่งขึ้นมา ทำให้น้ำเป็นสีดำ สมมุติว่า บารมีนั้นเปรียบเหมือนผงสีขาว คนที่มีบารมีมากก็เหมือนกับแก้วน้ำที่มีผงสีขาวตกตะกอนอยู่ เมื่อถูกกระทบกระเทือนผงสีขาวที่ตกตะกอนอยู่นั้นก็จะลอยขึ้นมาเต็มทำให้น้ำเป็นสีขาว หมายความว่า คนที่มีบารมีตกอยู่ในตัวนั้น ถ้ามีอะไรมากระทบใจก็จะออกมาในทางที่ดี ปฏิกิริยาออกไปจะเป็นไปในทางดีทั้งสิ้น คนที่ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง ไม่มีอกุศลมูล ทำบุญบริจาคให้คนอื่นเรื่อยมานั้น ก็จะมีบารมีตกอยู่เหมือนตกตะกอนสีขาว ถ้ามีอะไรกระทบกระเทือนอย่างแรง เป็นต้นว่า มีผู้ใดมาทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ หรือทำให้เสียหาย หรือสิ่งที่ทำให้ผงสีขาวขุ่นขึ้นมาก็จะเป็นสีขาว คนที่มีบารมีแล้วถูกกระทบกระเทือนอย่างไรก็ไม่โกรธ และมีแต่จะอภัยให้ คือ เป็นไปในทางดีทั้งสิ้น ส่วนคนที่มีอาสวะอยู่ในใจนั้น ถ้าอยู่นิ่งๆ ก็นึกว่าน้ำนั้นใสดี แต่กระทบนิดเดียวขุ่นขึ้นมาเป็นสีดำ คนนั้นก็จะมีโทสะได้ง่ายและจะเป็นไปในทางอาฆาตพยาทาทในทางชั่วต่างๆ
ดังนั้น คนที่มีบารมีอยู่ในตัว จะกระทำความดีได้ง่ายเพราะบารมีที่มีนั่นเอง เป็นเครื่องส่งเสริมให้กระทำความดีแล้วก็จะสืบเนื่องไปในทางกระทำดี ถ้าทำความชั่วก็จะทำบาปได้ง่ายอย่างคนที่ทำความีบริจาคทรัพย์ทำบุญช่วยเหลือผู้อื่นที่ตกทุกข์ได้ยาก ในขั้นต้นอาจจะมีความรู้สึกเสียดาย (มีโลภ) ที่จะบริจาคทรัพย์เพื่อคนอื่น แต่ทำความดีเช่นนี้สม่ำเสมอแล้ว ต่อไปจะทำได้ง่ายเมื่อถึงคราวที่จะต้องบริจาคทรัพย์ช่วยเหลือผู้อื่น หรือทำบุญกับศาสนาจะไม่รู้สึกเสียดายหรือเดือดร้อนอย่างใดเลย กลายเป็นของเคยชินไป ส่วนผู้ที่ทำกรรมชั่วจนตกเป็นอาสวะแล้วก็จะทำบาปได้ง่ายและทำมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ยิงสัตว์เล็กเล่น ต่อไปก็จะฆ่าสัตว์ใหญ่ และต่อไปจะฆ่าคนก็จะทำได้ง่ายไม่เดือดร้อนอะไรทั้งสิ้น เพราะเคยชินในการทำชั่วเสียแล้ว แต่ความจริงคนเรานั้นก็ประกอบทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ตะกอนที่ตกอยู่ก็มีทั้งสีดำและสีขาว ถ้ากระเทือนขึ้นมันก็แล้วแต่ว่าสีขาวหรือสีดำมาก ถ้าสีขาวกับสีดำพอๆ กัน ก็จะเห็นเป็นสีเทา ถ้ามีสีขาวมากก็จะค่อนไปทางขาว แต่ถ้ามีสำดำมากก็จะค่อนไปทางสีดำ"
ส่วนคำว่า "วาสนา" นั้นในประเทศไทยขณะนี้เป็นคำที่ฮิตมากและเป็นคำอีกคำหนึ่งที่มีคนมาถามมาคุยกับผู้เขียนมากเหลือเกิน ก็เลยไปค้นคำอธิบายของคำนี้มาจากหนังสือพจนานุกรรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) ซึ่งอธิบายคำว่าวาสนาดังนี้คือ
"วาสนา : อาการกายวาจา ที่เป็นลักษณะพิเศษของบุคคล ซึ่งเกิดจากกิเลสบางอย่าง และได้สั่งสมอบรมเป็นเวลานานจนเคยชินติดเป็นพื้นประจำตัว แม้จะละกิเลสนั้นได้แล้ว แต่ก็อาจจะละอาการกายวาจาที่เคยชินไม่ได้ เช่น คำพูดติดปาก อาการเดินที่เร็วหรือเดินต้วมเตี้ยม เป็นต้น ท่านขยายความว่าวาสนาที่เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากฤต คือเป็นกลางๆ ไม่ดีไม่ชั่วก็มี ที่เป็นกุศลกับอัพยากฤตนั้น ไม่ต้องละ แต่ที่เป็นอกุศลซึ่งควรจะละนั้นแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่จะเป็นเหตุให้เข้าถึงอบายกับส่วนที่เป็นเหตุให้เกิดอาการแสดงออกทางกายวาจาแปลกๆ ต่างๆ ส่วนแรก พระอรหันต์ทุกองค์ละได้ แต่ส่วนหลัง พระพุทธเจ้าเท่านั้นละได้ พระอรหันต์อื่นละไม่ได้ จึงมีคำกล่าวว่า พระพุทธเจ้าเท่านั้นละกิเลสทั้งหมดได้พร้อมทั้งวาสนา; ในภาษาไทยคำว่า วาสนา มีความหมายเพี้ยนไปกลายเป็นอำนาจบุญเก่า หรือกุศลที่ทำให้ได้รับลาภยศ"