
อยาก ได้ความรู้เกี่ยวกับ มาร ห้า ฝูง ครับ
#1
โพสต์เมื่อ 21 September 2006 - 01:14 AM
เลือกเอา ใจใสๆ
#2
โพสต์เมื่อ 21 September 2006 - 10:24 AM
1.กิ เ ล ส ม า ร
กิเลส ได้แก่ความขุ่นมัวที่เกิดขึ้นในใจ แล้วทำให้จิตใจเศร้าหมองและเกิดความคิดเลวร้ายต่างๆ กิเลสเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนมาก ไม่สามารถมองเห็นได้วยตามนุษย์ แต่เห็นได้ด้วยตาธรรมกาย ความขุ่นมัวหรือกิเลสนี้ เมื่อเกาะเคลือบห่อหุ้ม บีบคั้นแทรกซึม เอิบอาบ หมักดอง กัดกร่อนใจของใครแล้ว ย่อมทำให้ใจของผู้นั้นเสื่อมสมรรถภาพ เกิดความคิดร้ายกาจต่างๆ นานา ทำนองเดียวกับเชื้อโรค ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายผู้ใด ย่อมทำให้ร่างกายของผู้นั้นอ่อนแอ วิปริตแปรปรวนไปต่างๆ นานา ฉะนั้น ถ้ากิเลสเกิดขึ้นในใจครั้งใด ย่อมเป็นมารขัดขวางการทำความดีทันที แม้กำลังทำความดีอยู่ก็หยุดชะงัก เลิกทำเสียกลางคัน ถ้ายังไม่เคยทำความดีมาก่อนเลยก็ไม่คิดทำ นอกจากไม่คิดทำแล้ว บางทียังแถมเพิ่มความคิดร้ายๆ มาให้อีกด้วย ดังนั้น กิเลสมาร ก็คือ อุปสรรคขัดขวางการทำความดีซึ่งเกิดจากความขุ่นมัว เศร้าหมองในใจของแต่ละคน
กิเลสมารมีอยู่มากมายนับไม่ไหว แต่สามารถแยกตามความร้ายกาจที่แสดงออกได้ ๓ ตระกูลใหญ่ๆ คือ ตระกูลโลภะ ตระกูลโทสะ และตระกูลโมหะ
2.ขั น ธ ม า ร
มีองค์ประกอบ ๕ ส่วนด้วยกัน คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ได้แก่ร่างกายและจิตใจของเราที่ไม่สมประกอบ พิการไปด้วยเหตุอันใดอันหนึ่ง เช่นสุขภาพไม่ดี ร่างกายเสื่อมโทรม เจ็บไข้ได้ป่วย ก็เลยทำให้ขันธ์ของเราเป็นมารแก่ตัวเอง แม้ที่สุดการที่กินข้าวผิดเวลา นอนดึกๆ ดื่นๆ หรืออยู่ในอิริยาบถเดียวต่อเนื่องกันไปนานๆ เช่น นั่งนานๆ เลยทำให้ปวดเมื่อยเกินเหตุ รวมทั้งการที่ตัวเรามีประสาทสัมผัสเสื่อม ความจำเสื่อม ความคิดไม่แล่น การตัดสินใจยืดยาด ไม่เด็ดขาด เหล่านี้เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นขันธมารบั่นทอนความดีของเราลงทั้งสิ้น
3.อ ภิ สั ง ข า ร ม า ร ได้แก่ ผลกรรมชั่วในอดีตที่ตามมาล้างมาผลาญเรา แม้เราเลิกการกระทำเหล่านั้นแล้ว บาปกรรมก็ยังตามล้างผลาญไม่ลดละ แม้แต่ชาวบ้าน เขาก็ไม่เชื่อถือเรา ตามสาปแช่งเรา ตายแล้วยังแถมตกนรกหมกไหม้อีกด้วย พอเกิดมาใหม่ก็พิการ ใบ้ บ้า ปัญญาอ่อน
4.มั จ จุ ม า ร คือความตายที่คอยจ้องตัดรอนชีวิตอยู่ทุกขณะจิต หากประมาทเมื่อใด เพียงหายใจเข้าแล้วไม่หายใจออกก็ตาย ออกแล้วไม่เข้าก็ตาย ยิ่งไม่ออกไม่เข้ายิ่งตายเร็วหนักเข้าไปอีก รวมทั้งความกลัวตายที่พลอยผสมโรง ริดรอนกำลังใจด้วย
5.เ ท ว บุ ต ร ม า ร ซึ่งอยู่นอกตัวเรา แต่ก็พร้อมจะเข้ามาสิงในตัวเราเมื่อไหร่ก็ได้ มันมีตัวตนจริงๆ พร้อมที่จะแสดงตัวออกมาด้วยกายหยาบก็ได้ กายละเอียดก็ได้ แม้แต่ท้องพระอรหันต์อย่างพระมหาโมคคัลลานะซึ่งทีฤทธิ์มาก มันก็ยังเข้าไปได้ง่ายๆ หากมันได้โอกาสก็พร้อมจะพิฆาตเข่นฆ่าเราทันที
รายละเอียดเรื่องมาร5ฝูงสามารถหาอ่านได้จากเวปนี้เลยนะครับ
http://www.dhamma.ne...mma/Mara/1.html
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#3
โพสต์เมื่อ 21 September 2006 - 11:03 AM

สำหรับเรื่องมาร 5 ฝูง คุณครูได้เมตตาอธิบาย เมื่อต้นเดือนมกราคม 2548 ที่ผ่านมา

กระทู้ที่เกี่ยวข้องกับมาร 5 ฝูง ที่พี่ๆ กัลฯ ได้ร่วมอธิบายไว้ก่อนแล้วอย่างละเอียด
สามารถหาอ่านได้ตาม link ข้างล่างนี้ครับ (Read Only Topic)
http://www.dmc.tv/fo...wtopic=2824&hl=
#5
โพสต์เมื่อ 21 September 2006 - 12:22 PM
[email protected]
#6
โพสต์เมื่อ 21 September 2006 - 12:45 PM
แต่หลวงพ่อบอกว่าจริงๆแล้วต้องกลับกันครับ
คือถ้ามารยิ่งน้อย บารมีจะยิ่งมีเยอะขึ้น
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#7
โพสต์เมื่อ 21 September 2006 - 12:58 PM
คือถ้ามารยิ่งน้อย บารมีจะยิ่งมีเยอะขึ้น
"มารมีบารมีลด มารหมดบารมีเพิ่ม"
#8
โพสต์เมื่อ 21 September 2006 - 04:36 PM
#9
โพสต์เมื่อ 21 September 2006 - 05:11 PM
ไม่เสมอไปนะครับ แต่น่าจะแสดงว่ามีวิบากกรรม และวิบากมาร มาส่งผลพร้อมๆ กัน ทำให้มารตามรังควาญได้มาก
ดูอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีบารมีติดตัวมาเต็มเปี่ยม ยังโดนมารรังควาญเลยครับ
แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง
#10
โพสต์เมื่อ 21 September 2006 - 05:40 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#11
โพสต์เมื่อ 21 September 2006 - 06:27 PM
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#12
โพสต์เมื่อ 21 September 2006 - 08:51 PM
อย่าไปยอมแพ้ (ชะเอิงเอย)
ต้องสู้ ...จึงจะชนะ
#13
โพสต์เมื่อ 21 September 2006 - 11:21 PM
ต่างกันยังไง
#14
โพสต์เมื่อ 21 September 2006 - 11:26 PM
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#15
โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 02:15 AM
ต้องถึงธรรมอย่างเสบย แน่แท้
ให้ทำอย่างที่เคย สอนสั่ง
นั่ง บ่ มีข้อแม้ จักได้ธรรมครอง
สุนทรพ่อ
มาร่วมกันสร้างสันติสุขให้กับโลกกันเถอะ
#16
โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 10:38 AM
ต่างกันยังไง
วิบากกรรม คือผลจากการกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจ ในทางดีและไม่ดีล้วนมีผลทั้งสิ้น
และวิบากกรรมที่ติดตัวมาข้ามชาติ จะทำให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่รู้จักหมดสิ้น
เพื่อรับผลของกรรม เช่น การดื่มสุราเป็นปกติ ก็จะมีวิบากกรรมให้มาเกิดเป็นคนปัญญาอ่อน
วิบากมาร คือเศษของวิบากกรรมที่เราได้ใช้มาเกือบหมดแล้วเหลือเป็นแค่เพียงเศษกรรม
เล็กๆ น้อยๆ แต่หลายๆเศษของวิบากกรรมนั้น ก็ยังรวมส่งผลให้ได้รับผลแห่งกรรมนั้นๆได้อีก
#17
โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 12:29 PM
#18
โพสต์เมื่อ 23 September 2006 - 09:00 AM
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#19
โพสต์เมื่อ 23 September 2006 - 10:59 AM
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#20
โพสต์เมื่อ 24 September 2006 - 01:41 PM
yes เพราะถ้าเป็นคนเขียนกฏเองได้ เขาก็ไม่เขียนกฏที่ปล่อยให้ตัวเองจะตกอยู่ในกฏนั้นหรอก
จะวางตัวผู้เขียนกฏไว้เป็นตัวควบคุมเกมทั้งหมด แล้วให้คนอื่นๆ เดินไปตามเกมที่เขาเขียนไว้