ชาดก 500 ชาติ
เทวธรรมชาดก-ชาดกว่าด้วยธรรมของเทวดา
เศรษฐีเจ้าสำอางผู้รักความสะดวกสบายเอาแต่ใจตนเองณ พระวิหารเชตวัน นครสาวัตถี เศรษฐีเจ้าสำอางผู้รักความสบาย เมื่อได้ฟังพระพุทธโอวาทก็เกิดความเลื่อมใสในสัจธรรม ปรารถนาจะมาบวชในพระพุทธศาสนา “เอ้า! พวกเจ้าเร่งสร้างกุฏิหลังใหญ่ให้ข้าเร็วเข้า แล้วอย่าลืมสร้างโรงไฟและโรงครัวด้วยหละ ข้าจะเอาไว้เก็บตุนอาหาร”เศรษฐีเจ้าสำอางเมื่อบวชแล้วก็ยังมีเครื่องนุ่งห่มมากมายเกินความจำเป็นเศรษฐีเจ้าสำอาง เมื่อบวชแล้วก็ยังไม่ละกิเลส มีข้าวของเครื่องใช้ เครื่องนุ่งห่มต่างๆ ไว้ใช้จนล้นกุฏิ “ท่านบวชแล้วไยจึงสรรหาความสบาย เหมือนเป็นฆราวาสเล่า ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ากับเราเถิด ท่านจะได้เข้าใจหนทางละทิ้งกิเลสเสียที” “เราไม่เห็นว่า ตัวเราจะทำผิดประการใด พวกท่านนั่นแหละที่คิดมากไปเอง”ภิกษุอดีตเศรษฐีบรรดาลโทสะต่อหน้าพระพุทธองค์“ดูก่อนภิกษุในศาสนาของเรานี้ ล้วนสรรเสริญคุณของความเป็นผู้มักน้อย สันโดษ รักสงบ เพียรผลาญกิเลสให้สิ้นไปมิใช่หรือ? แล้วทำไมท่านกลับถึงทำสิ่งไม่ควรเช่นนี้เล่า” พระภิกษุเจ้าสำรวย ได้ฟังคำพระพุทธเจ้าแล้ว แทนที่จะสำนึกผิดกลับบันดาลโทสะ ประชดประชัน ทำสิ่งมิควรอีกพระราชโอรสแห่งกรุงพาราณสี มหิสสาสกุมารและจันทกุมาร“ถ้าอย่างนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจะนุ่งแต่เพียงผ้าสบงผืนเดียวอย่างนี้เท่านั้น” พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ฟังก็มิได้ทรงถือโทษ กลับทรงพระกรุณาระลึกชาติหนหลัง ด้วยบุพเพนิวาสานุสสติญาณแล้วตรัสเตือนสติพระภิกษุหนุ่มรูปนี้ “ดูก่อนภิกษุ เมื่อชาติปางก่อน ท่านเคยเกิดเป็นผีเสื้อน้ำพระมเหสีพระองค์ใหม่แห่งพระเจ้าพรหมทัตและพระโอรสสุริยะกุมารต้องทนลำบากยากแค้นถึง 12 ปี จึงค้นพบเทวธรรม แต่มาบัดนี้ท่านกลับทิ้งเทวธรรมนั้นอย่างน่าเสียดาย” แล้วพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงเล่าเรื่องการแสวงหาเทวธรรม ในอดีตชาติของพระภิกษุรูปนี้หรือเทวธรรมชาดกให้ภิกษุทุกรูปที่มาเฝ้าได้ฟังกันพระมเหสีทรงกราบทูลขอราชสมบัติให้กับโอรสของตนต่อพระเจ้าพรหมทัตในอดีตกาล สมัยพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์สมบัติ ณ กรุงพาราณสี พระอัครมเหสีทรงมีพระราชโอรสอยู่ 2_พระองค์ พระองค์แรกนาม มหิสสาสกุมาร พระองค์รองนาม จันทกุมาร ต่อมาพระนางก็ได้เสด็จสวรรคตตั้งแต่พระราชโอรสยังทรงพระเยาว์ พระเจ้าพรหมทัต ทรงมีมเหสีใหม่ และทรงโปรดปรานมากพระโอรสทรงกราบลาพระบิดาออกเดินทางไปร่ำเรียนยังนอกเมือง“ท่านพี่... ดูโอรสของเราสิคะ น่ารัก น่าเอ็นดู๊ น่าเอ็นดู” “ฮ่าๆ ใช่น่าเอ็นดูจริงๆ มเหสี หากเจ้าปรารถนาสิ่งใดแก่สุริยะกุมาร ก็ขอมาเถิด ข้าจะให้เจ้าตามประสงค์ทุกประการ” “ถ้าเช่นนั้น หม่อมฉันขอราชสมบัติ กรุงพาราณสี ให้สุริยะกุมารโอรสของเรา นะเพคะ”พระโอรสสุริยะกุมารทรงไต่ถามถึงสาเหตุในการเดินทางของเสด็จพี่ทั้งสองพระเจ้าพรหมทัตถึงจะทรงโปรดปรานพระมเหสีเพียงใด แต่ก็มิได้ทรงหลงลืมความเที่ยงธรรม พระองค์ทรงเรียกพระโอรสมหิสสาสกุมาร และ จันทกุมาร เพื่อบอกแผนการที่วางไว้ “เจ้าสองคน จงเข้าป่าไปแสวงหาพระอาจารย์ แล้วศึกษาหาความรู้วิทยาอาคมให้เชี่ยวชาญเถิดพระโอรสสุริยะกุมารทรงขอเสด็จตามพี่ชายทั้งสองของตนออกนอกวังเมื่อกลับมาแล้ว เจ้าจะได้มาทวงราชสมบัติคืน” พระเจ้าพรหมทัต ทรงรู้ดีว่า หากพระองค์อ้างความถูกต้องตามจารีตไม่ยอมทำตามคำขอของพระมเหสี โอรสทั้งสองก็จะเป็นอันตราย แผนที่พระองค์วางไว้ย่อมเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว สุริยะกุมาร เมื่อเห็นเสด็จพี่ทั้งสองพระองค์ ทรงเครื่องรัดกุมก็เข้าไปไต่ถามพระโอรสทั้ง 3 พระองค์ทรงออกเดินทางไปด้วยกัน“ท่านแม่ ทำเช่นนี้ไม่ถูกต้องเลย ข้าน่ะ ขอไปอยู่ป่ากับท่านพี่สองคนนะ ข้าไม่อยากทำผิดตามท่านแม่” แล้วพระโอรสทั้งสามพระองค์ ก็ออกเดินทางด้วยกัน “สุริยะกุมาร เจ้ายังเล็กนัก ไปหาน้ำมาดื่มเถอะ เดี๋ยวพวกพี่จะช่วยสร้างที่พักเอง” “ว้าว! เจอสระน้ำแล้ว ดีใจจัง เดินมาแป๊บเดียวก็เจอเลย อุ้ย! น้ำใส๊ ใส อ้า! เย็นชื่นใจจริง ๆ”พระโอรสสุริยะกุมารรับคำสั่งจากพี่ชายมาหาน้ำเพื่อเตรียมไว้ดื่มด้วยความไร้เดียงสา สุริยะกุมารหารู้ไม่ว่า ในสระน้ำแห่งนี้มีผีเสื้อน้ำตนหนึ่ง ที่ดำรงชีวิตด้วยการกินเนื้อสัตว์และเนื้อคนอาศัยอยู่ ท้าวเวสสุวรรณ ทรงมีพระกรุณาให้ผีเสื้อน้ำตนนี้สำนึกบาป จึงมีเทวบัญชาบังคับ ผีเสื้อน้ำตนนี้ ไม่ให้ไปออกจับสัตว์และคนกินนอกบริเวณสระน้ำนี้เป็นอันขาดผีเสื้อน้ำผู้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการกินเนื้อสัตว์อาศัยอยู่ในสระน้ำและหากคนที่ลงมาในสระนี้ ถ้าเป็นผู้รู้เทวธรรม ก็ห้ามทำอันตราย ให้ตั้งใจศึกษาเทวธรรมจากผู้นั้น แล้วจึงจะพ้นเวร “เจ้าเด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่า เทวธรรมคืออะไร” “เทวธรรม ก็คือ พระจันทร์กับพระอาทิตย์ไง” “ฮ่า ๆ เจ้าเด็กน้อย อย่ามาโม้เลย ถึงข้าจะไม่รู้ว่าผีเสื้อน้ำจะจับคนและสัตว์ที่มาอาบหรือดื่มกินน้ำจากสระเทวธรรม คืออะไร แต่คำตอบของเจ้า ข้าก็รู้ว่าผิดแน่ๆ ข้าจะขังเจ้าอยู่ในนี้ ไปเป็นอาหารของข้า ฮ่าๆๆๆๆ” “เจ้าอย่าทำอะไรเรานะ ปล่อยไป อึ้ย! ช่วยด้วยๆๆ” “ข้าช่วยเจ้าไม่ได้หรอก เจ้าเด็กน้อย เจ้าต้องเป็นอาหารของข้า ฮ่าๆๆๆ” “ปล่อยข้า ปล่อยเดี๋ยวนี้ ปล่อยเราไป โอ่ย!”พระโอรสสุริยะกุมารถูกผีเสื้อน้ำจับขังไว้“สุริยะกุมารเจ้าอยู่ไหนเนี่ย ท่านพี่มหิสสาสกุมารเรียกหาแล้วนะ อุ้ย! สระน้ำ ขอแวะดื่มน้ำก่อนล่ะกัน เดี๋ยวค่อยตามหาสุริยะกุมารต่อ” “หยุดก่อน เจ้าเด็กน้อย ตอบข้ามาสิว่า เทวธรรมคืออะไร” “เทวธรรมคืออะไรว้า? ไม่เห็นเคยได้ยินเลย ตอบๆ มันไปก่อนแล้วกัน” “เทวธรรม ก็คือ ทิศทั้ง 4 ไง เจ้าไม่รู้หรอกหรอ?”พระโอรสจันทกุมารทรงตามหาสุริยะกุมารและได้มาเจอกับผีเสื้อน้ำ“ทิศทั้ง 4 หรอ เอ! แล้วท้าวเวสสุวรรณเนี่ย จะให้เราตามหาทิศทั้ง ทำไมวะ ต้องไม่ใช่แน่ๆ ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก ข้าจะจับเจ้าไว้เป็นอาหารอีกคน ฮ่าๆๆๆ อิ่มแน่ๆ มื้อนี้ ฮ่าๆๆๆ” “ไม่นะ ปล่อยเรา เจ้าผีเสื้อน้ำน่าเกลียดน่ากลัว ปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะ” “ขัดขืนไปก็ไร้ประโยชน์ ยังไงเจ้าก็ไม่รอดหรอก ฮ่าๆๆๆ”พระโอรสจันทกุมารถูกผีเสื้อน้ำจับไปขังไว้เพื่อเป็นอาหาร“ช่วยด้วยๆๆๆ ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย” “สุริยะกุมาร กับ จันทกุมารหายไปไหนกันเนี่ย เอ๊ะ! รอยเท้าเด็ก ต้องเป็นน้องทั้งสองของเราแน่ แต่ทำไมรอยเท้า จึงมีแค่รอยที่ลงไปในสระน้ำล่ะ สระน้ำนี้ต้องมีอันตรายแน่ๆ” “พ่อหนุ่ม เจ้าเดินทางมาไกล ไม่ไปดื่มน้ำ อาบน้ำในสระให้สบายก่อนเล่า”พระโอรสมหิสสาสกุมารออกเดินตามหาน้องทั้งสองของตนจนมาถึงสระและเจอผีเสื้อน้ำ“เจ้าเป็นใคร เจ้าจับน้องทั้งสองของเราไปใช่ไหม?” “ใช่! ข้าจับน้องของเจ้าไปเอง ข้าเป็นผีเสื้อน้ำ จับคนกินได้ทุกคน เว้นเสียแต่คนผู้นั้นจะรู้ว่าเทวธรรมคืออะไร?” “ถ้าท่านอยากรู้ เทวธรรม เราจะอธิบายให้ฟัง แต่ต้องให้เราชำระร่างกายให้สะอาดซะก่อน จัดที่นั่งเราให้สูงกว่าพื้น แล้วเจ้าต้องพนมมือฟังด้วยความเคารพ”ผีเสื้อน้ำได้ซักถามถึง เทวธรรม หลักธรรมที่ตนรอคอยผู้ที่รู้มาบอกตน“ได้! ได้เลย โอ้ว! รอมานาน วันเนี้ย ข้าจะได้รู้ว่า เทวธรรม คืออะไร” “เทวธรรม คือ ผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในธรรมอันผ่องแผ้ว ประกอบด้วย หิริโอตตัปปะ หิริ คือ ความละอายต่อบาป ละลายในการคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว โดยตัวเองเป็นเหตุ โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวต่อผลของบาปพระโอรสมหิสสาสกุมารได้นำหลักเทวธรรมบอกกล่าวแก่ผีเสื้อน้ำเช่น กลัวตกนรก กลัวโดนติฉินนินทา ซึ่งผู้อื่นเป็นเหตุ” “โอ้ว! ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะยึดหลักเทวธรรม เอาไปปฏิบัติ เอาล่ะข้าอนุญาตให้ท่านดื่ม และใช้น้ำในสระนี้ได้ตามใจชอบ แต่น้องชายของท่านน่ะ ข้าขอคืนให้คนเดียวเท่านั้น เพราะข้าทนหิวมานาน คราวนี้จะขอกินอิ่มๆ อีกสักมื้อ”พระโอรสมหิสสาสกุมารทรงขอชีวิตน้องชายคนเล็กคืนจากผีเสื้อน้ำ“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอสุริยะกุมารน้องคนเล็กของข้าคืนเถิด” “ฮ่าๆ ท่านบัณฑิต ท่านรู้จักเทวธรรม แต่ทำไมท่านไม่ปฏิบัติตามหลักเทวธรรม ท่านปล่อยให้น้องชายคนเล็ก แล้วน้องคนโตของท่าน ที่มีอายุมากกว่า ซึ่งถือว่ามีคุณธรรมสูงกว่า ท่านไม่ให้เกียรติต่อคุณธรรมนี้หรอกรึ?”ผีเสื้อน้ำคืนน้องชายให้มหิสสาสกุมารทั้งสองคน“นี่แหละ คือเทวธรรม น้องคนเล็กไม่ได้เกิดร่วมมารดา เดียวกับเรา ถ้าเราไม่ได้ตัวเขากลับไป ย่อมมีคนครหา ว่าเราสองพี่น้อง รวมหัวกันฆ่าน้องคนเล็กเพื่อหวังในราชสมบัติ” “น่าสรรเสริญท่านจริง ๆ ท่านเป็นผู้รู้ และผู้ปฏิบัติเทวธรรมโดยแท้ เราจะคืนน้องให้ท่านทั้งสองคน”มหิสสาสกุมารทรงสังเกตเห็นดาวนักขัตฤกษ์มัวหมอง“ข้าขอบใจท่านมาก ที่ปล่อยน้องข้า แต่ดูก่อนเถิด ตัวท่านเกิดมากินเลือดกินเนื้อของผู้อื่น ก็เพราะบาปที่สร้างไว้แต่ชาติปางก่อน ชาตินี้ท่านจงเลิกทำบาปเสียเถิด” จากนั้นทั้งสามกุมารก็อาศัยอยู่ในป่ากับผีเสื้อน้ำตนนั้น จนวันหนึ่ง มหิสสาสกุมาร สังเกตเห็นดาวนักขัตฤกษ์มัวหมองมหิสสาสกุมารและน้องทั้งสองพระองค์เสด็จกลับพระราชวังพร้อมกับผีเสื้อน้ำก็ทราบว่าพระราชบิดาเสด็จสวรรคตแล้ว มหิสสาสกุมารพาน้องทั้งสองกลับเมือง พร้อมกับพาผีเสื้อน้ำไปด้วย “เจ้าผีเสื้อน้ำ เราไม่ควรจัดที่อยู่และหาอาหารให้เจ้ากินแล้ว จากนี้ไป เจ้าจงใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ และบำเพ็ญ ศีล ภาวนาเถิด เจ้าจะได้พ้นบาปกรรมสักที”มหิสสาสกุมารเสด็จขึ้นครองราชย์และทรงมอบตำแหน่งที่เหมาะสมกับน้องทั้งสองพระองค์เมื่อมหิสสาสกุมาร เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติแล้ว ก็พระราชทานตำแหน่งมหาอุปราชให้แก่จันทกุมาร และทรงแต่ตั้งสุริยะกุมารเป็นเสนาบดีผีเสื้อน้ำในครั้งนั้น ต่อมาเป็น พระภิกษุเจ้าสำอางส่วนสุริยะกุมาร ต่อมาเป็น พระอานนท์จันทกุมาร ต่อมาเป็น พระสารีบุตรมหิสสาสกุมาร คือ อดีตชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้าพระคาถาประจำชาดก-------------------------คนดีผู้อดกลั้นไว้ซึ่งความชั่ว ประกอบด้วย หิริและโอตตัปปะตั้งมั่นอยู่ในธรรมอันผ่องแผ้ว ท่านเรียกว่า “ผู้มีธรรมของเทวดาในโลก”
รับชมคลิปวิดีโอ  
http://goo.gl/xiiDt