สมณะทั้ง 4 จำพวก: การบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนา
เรียนรู้เกี่ยวกับสมณะทั้ง 4 จำพวกในพระพุทธศาสนา ซึ่งรวมถึงการบรรลุโสดาปัตติผล, สกิทาคามีผล, อนาคามีผล และอรหัตตผล ที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมของอริยมรรค และความสำคัญของธรรมะเพื่อประชาชน
สมณะทั้ง 4 จำพวก คือ
สมณะผู้ได้บรรลุโสดาปัตติผล สกิทาคามีผล อนาคามีผล อรหัตตผล
แม้สมณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ไม่เกิดในลัทธิของอัญเดียรถีย์
แต่ย่อมเกิดในพระพุทธศาสนา ซึ่งแวดล้อมด้วยอริยมรรคเท่านั้น
เพจ พุทธพจน์เตือนใจ
ธรรมะเพื่อประชาชน
ก
สังฆคุณ
อรุณสว่างยามเช้า กับ พุทธพจน์เตือนใจ ตอนที่ 3,430
ในสมณะทั้ง 4 จำพวก คือ สมณะผู้ได้บรรลุโสดาปัตติผล สกิทาคามีผล อนาคามีผล และอรหัตตผล แม้สมณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ไม่เกิดในลัทธิของอัญเดียรถีย์ แต่ย่อมเกิดในพระพุทธศาสนา ซึ่งแวดล้อมด้วยอริยมรรคเท่านั้น เมื่อภิกษุปฏิบัติตามหลักอริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติที่เป็นกลางๆ ครั้นปฏิบัติครบถ้วนถูกส่วน มรรคสมังคีคือ การประชุมรวมกันของมรรคก็บังเกิดขึ้น เป็นดวงปฐมมรรคที่ใสสว่างอยู่ภายใน การน้อมจิตเข้าสู่เส้นทางสายกลางภายในนี้เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทาอย่างแท้จริง
ดวงปฐมมรรคนี้ เป็นต้นทางที่จะเข้าสู่ความเป็นสมณะภายใน เป็นดวงธรรมที่เปรียบเสมือนเครื่องกลั่นใจ หรือประทีปส่องใจให้ดำเนินจิตเข้าไปสู่กลางของกลางภายใน เมื่อใจหยุดนิ่งถูกส่วนก็จะเข้าถึงดวงธรรมภายใน ที่ละเอียดยิ่งๆ ขึ้นไป ตั้งแต่ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ จะกลั่นใจให้ละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ จนเข้าไปถึงกายภายใน ตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม กายต่างๆ เหล่านี้ ที่ซ้อนกันอยู่ภายในตัวของเรา เป็นกายที่ยังตกอยู่ในภพสาม เมื่อหยุดนิ่งสมบูรณ์ขึ้นไป ก็จะผ่านดวงธรรม 6 ดวงเป็นชั้นๆ ที่ละเอียดยิ่งขึ้น ก็จะเข้าไปถึงธรรมกายโคตรภู ซึ่งอยู่ระหว่างปุถุโคตรและอริยโคตร คือ ใจมีกำลังมากพอที่จะถอนจากความเป็นปุถุชน แต่ก็ยังไม่ถึงกับเป็นพระอริยเจ้า เหมือนผลไม้ที่ห่ามกำลังพอดี ไม่ใช่ผลไม้ดิบและยังไม่สุกเต็มที่
ครั้นปฏิบัติหยุดนิ่งเข้ากลางของกลางภายใน ที่ละเอียดลึกซึ้งเข้าไปอีก จนได้เข้าถึงธรรมกายพระโสดาบัน ผู้หลุดพ้นจากสังโยชน์ และอนุสัยกิเลสในเบื้องต้นได้แล้ว ผู้ปฏิบัติถึงตรงนี้ท่านเรียกว่า เป็นสมณะที่ 1 เป็นทักขิไณยบุคคลผู้มีใจน้อมไปสู่กระแสพระนิพพาน หลุดพ้นจากกรงขังได้ในระดับหนึ่งแล้ว เมื่อปฏิบัติจนเข้าถึงธรรมกายพระสกิทาคามี ท่านเรียกว่า สมณะที่ 2 จะกลับมาเกิดอีกเพียงชาติเดียวเท่านั้นก็จะหลุดพ้นจากวัฏสงสาร ซึ่งเปรียบเสมือนคุกใหญ่ที่ขังสรรพสัตว์ไว้ ไม่ให้พบอิสระเสรีที่แท้จริง
เมื่อได้เข้าถึงธรรมกายพระอนาคามี ท่านเรียกว่า สมณะที่ 3 ผู้ที่หลุดพ้นจากกามราคะได้เด็ดขาดแล้ว สุดท้ายเมื่อบุญบารมีแก่กล้าเต็มเปี่ยม ปฏิบัติธรรมใจหยุดในหยุดถูกส่วนเต็มที่ ก็จะเข้าถึงธรรมกายพระอรหัต เป็นพระอรหันต์ผู้หมดจดจากอาสวกิเลส ท่านเรียกว่า เป็นสมณะที่ 4 เพราะสังโยชน์ 10 คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ ปฏิฆะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องผูกสัตว์ไว้ในภพหรือเชื่อมภพเอาไว้ ได้ถูกทำลายด้วยอรหัตตมรรคหมดสิ้นแล้ว
คำว่าสมณะแท้ คือผู้ได้เข้าถึงพระรัตนตรัย ตั้งแต่โคตรภูบุคคลเรื่อยไปถึงพระอริยเจ้า เป็นพระอริยสงฆ์ในบวรพระพุทธศาสนา ท่านเป็นผู้ออกบวชเพราะเห็นทุกข์เห็นภัยในการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อปฏิบัติตามหลักอริยมรรคที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำเอาไว้ ก็ได้ตรัสรู้ตามเป็นอนุพุทธะ ผู้มีชัยชนะในการทำสงครามภายใน ใจของท่านจึงเป็นอิสระ ไม่ถูกบังคับด้วยกิเลสอาสวะ ไม่ตกเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร ท่านจึงเป็นศูนย์รวมแห่งความบริสุทธิ์ ความดีงาม และบุญกุศล ใครได้ทำบุญกับสมณะเหล่านี้ ก็จะได้รับผลบุญมากมายมหาศาล ดังพุทธพจน์ที่ว่า
พืชที่หว่านลงในนาอันประกอบด้วยองค์ 8 ประการ คือ นาที่ไม่เป็นที่ลุ่มๆ ดอนๆ ไม่เป็นที่ปนหินปนกรวด ไม่เป็นที่ดินเค็ม เป็นที่ไถลงลึกได้ มีทางน้ำเข้าได้ มีทางน้ำออกได้ เป็นที่มีเหมืองและมีคันนากั้นน้ำ ย่อมให้ผลมากแก่เจ้าของฉันใด เช่นเดียวกับสมณะผู้ประกอบด้วยองค์ 8 ประการในโลกนี้ คือ เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นสัมมาสังกัปปะ มีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ ย่อมเป็นที่ตั้งแห่งความเป็นบุญเขตอันเลิศแก่ทายกผู้ทำบุญ ฉันนั้น
เมื่อเราได้ยินได้ฟังดังนี้แล้ว ก็อย่าคิดไปแสวงหาเนื้อนาบุญที่อื่นนอกจากพระพุทธศาสนา และแม้การทำบุญสร้างบารมีในบุญเขตเป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่การสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่ควรทำด้วย ดังนั้นเราควรทำทั้งสองอย่างให้เหมาะสม จะได้เจริญทั้งทางโลกและทางธรรม
"จากส่วนหนึ่ง ของรายการธรรมะเพื่อประชาชน โดย หลวงพ่อธัมมชโย"
#เพจพุทธพจน์เตือนใจ
Facebook|https://www.facebook.com/Ven.Apirak/