อรุณสว่างยามเช้า กับ พุทธพจน์เตือนใจ ตอนที่ 3,612
ในสมัยพุทธกาล มีลูกชายเศรษฐีเมืองสาวัตถี ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วเกิดศรัทธา ตั้งใจทำบุญ ไม่ว่าจะถวายทาน ผ้าจำนำพรรษา ผ้าอาบน้ำฝน หรือกฐิน ก็ทำเต็มกำลัง เขาแบ่งทรัพย์ออกเป็น 3 ส่วนคือ ใช้ทำงาน เลี้ยงครอบครัว และทำบุญทำนุบำรุงศาสนา
แม้ทำบุญมาก เขาก็ยังรู้สึกว่าไม่พอ พระภิกษุจึงให้สมาทานศีล 5 และศีล 8 เขาก็รักษาได้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนตั้งใจขอบวช เพราะรู้ว่าการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ขณะเป็นฆราวาสนั้นทำได้ยาก
เมื่อบวชแล้ว ท่านตั้งใจศึกษาอย่างเคร่งครัด แต่เพราะพระอาจารย์เน้นอภิธรรม และพระอุปัชฌาย์เน้นวินัย ทำให้ท่านเครียดเกินไป พยายามทุกอย่างแต่จิตไม่สงบ ร่างกายซูบผอม จึงคิดลาสิกขาเพราะรู้สึกว่าการปฏิบัติยากเกินไป
พระอาจารย์จึงพาไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่า
“ให้เธอรักษาจิตเพียงอย่างเดียว ทำได้ไหม”
ภิกษุกราบทูลว่า “ทำได้”
พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า หากรักษาจิตได้ ก็เท่ากับรักษาศีลได้หมด เพราะจิตเป็นสิ่งละเอียดและควบคุมยาก เหมือนปลาดิ้นบนบก หรือเหมือนการดัดศรให้ตรง หากควบคุมจิตได้ ชีวิตก็จะพบความสุข
แล้วพระองค์ตรัสคาถาว่า
“ผู้มีปัญญา พึงสำรวมจิตที่ล่องไหลไปตามอารมณ์ เพราะจิตที่รักษาดีแล้ว ย่อมนำความสุขมาให้”
เมื่อฟังธรรม ภิกษุรูปนั้นทำใจให้นิ่งตามเสียงพระศาสดา จิตรวมเป็นหนึ่ง และบรรลุพระโสดาบันทันที
บทเรียนจากเรื่องนี้คือ
แม้การรักษาจิตจะยาก แต่ถ้าฝึกจริง ย่อมเข้าถึงธรรมได้แน่นอน ใจที่สงบ จะนำไปสู่ความสุข ละความฟุ้งซ่าน และพาให้ก้าวหน้าในธรรมโดยอัตโนมัติ
ดังพุทธพจน์ที่ว่า
“ผู้ที่สำรวมจิตได้ ย่อมหลุดพ้นจากบ่วงแห่งมาร”
เพราะฉะนั้น ให้หมั่นฝึกใจให้หยุดนิ่งทุกวัน ไม่ปล่อยให้จิตไหลไปเรื่องไร้สาระ หากทำได้สม่ำเสมอ ย่อมเข้าถึงธรรมกายได้ทุกคน
"จากส่วนหนึ่ง ของรายการธรรมะเพื่อประชาชน โดย หลวงพ่อธัมมชโย"
#เพจพุทธพจน์เตือนใจ
Facebook|https://www.facebook.com/Ven.Apirak/
ป้ายกำกับ :