ไม่ทราบว่ามีวิธีปฏิบัติอย่างไรคะเพื่อปิดอบายภูมิ

ปิดอบายภูมิ
เริ่มโดย Moji, Jan 26 2006 10:52 AM
มี 7 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 10:52 AM
#2
โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 11:12 AM
เราสามารถปิดประตูอบายภูมิให้กับตัวเองได้อย่างง่ายๆ โดยอาศัยหลักของพระพุทธองค์ คือ "ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ใส" ครับ
#3
โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 12:59 PM
การน้อมนำเอาพระรัตนตรัยเป็นสรณะอันสูงสุดด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างไม่มีความลังเลหรือคลอนแคลนก็สามารถปิดอบายภูมิได้หลายกัปเลยนะคะ
จริงๆแล้วมีหลายวิธีมากค่ะ
จริงๆแล้วมีหลายวิธีมากค่ะ
เมื่อไหร่หนอจะได้พบทหารหาญ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
สุนทรพ่อ
muralath2@hotmail
#4
โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 03:27 PM
การพ้นนรก
[๙๘] ในลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้เปล่งอุทานนี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่าข้าแต่พระองค์ผู้ไม่มีทุกข์
ทานยังประโยชน์ให้สำเร็จได้แลแม้เมื่อของมีอยู่น้อย การให้ทานได้เป็นการดี อนึ่ง ทานที่ให้แม้ด้วย
ศรัทธาก็ยังประโยชน์ให้สำเร็จได้ อนึ่ง ทานที่ให้แก่บุคคลผู้มีธรรมอันได้แล้ว ยิ่งเป็นการดี บุคคลใดเกิดมา
ย่อมให้ทานแก่ผู้มีธรรมอันได้แล้ว ผู้มีธรรมอันบรรลุแล้วด้วยความหมั่นและความเพียร บุคคลนั้นล่วงพ้นนรก
แห่งยมราช ย่อมเข้าถึงสถานอันเป็นทิพย์ ฯ
ที่มา : เล่ม 15 พระสุตตันตปิฏก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จุตูปปาตญาณ
เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่อญาณเครื่องรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เรานั้นย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมว่า หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านั้น เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก หรือว่าหมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านั้น เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เราย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมด้วยประการดังนี้
ที่มา : เล่ม 1 พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สัตบุรุษ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ปฏิบัติชอบในบุคคล ๔ จำพวก เป็นบัณฑิต ฉลาด เป็นสัตบุรุษ ย่อมบริหารตนไม่ให้เสื่อมเสียเป็นผู้ไม่มีโทษทั้งนักปราชญ์ก็สรรเสริญ และย่อมประสบบุญเป็นอันมาก บุคคล ๔ จำพวกใครบ้าง คือ มารดา ๑ บิดา ๑ พระตถาคต ๑ สาวกของพระตถาคต ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ปฏิบัติชอบในบุคคล ๔ จำพวกนี้แล เป็นบัณฑิตฉลาด เป็นสัตบุรุษ ย่อมบริหารตนไม่ให้เสื่อมเสีย เป็นผู้ไม่มีโทษ ทั้งนักปราชญ์ก็สรรเสริญ และย่อมประสบบุญเป็นอันมาก
นรชนใด ปฏิบัติผิดในมารดา บิดา พระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือในสาวกของพระตถาคต นรชนเช่นนั้น
ย่อมประสบกรรมมิใช่บุญเป็นอันมาก บัณฑิตทั้งหลายย่อมติเตียนนรชนนั้น ในโลกนี้ทีเดียว เพราะเหตุที่ไม่ประพฤติธรรม ในมารดาบิดา และเขาละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมไปสู่อบาย
ส่วนนรชนใดปฏิบัติชอบในมารดาบิดา ในพระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือในสาวกของพระตถาคต
นรชนเช่นนั้น ย่อมประสบบุญเป็นอันมาก บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญนรชนนั้นในโลกนี้ทีเดียว
เพราะเหตุที่ประพฤติธรรมในมารดาบิดา และเขาละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์ ฯ
ที่มา : เล่ม 21 พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาท
ถ้าสรุปรวมให้ย่อเข้าก็ตามที่คุณเกียรติก้องฯ ได้บอกมาแล้วหละครับคือ ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส ครับ
ถ้าปิดอบายแบบชั่วคราว วิธีเร่งรัด คือ ฝึกสมาธิเข้าให้ถึงฌาน 4 ให้ได้ในชาตินี้ ถ้าก่อนละโลกสามารถเข้าฌาน 4 ได้ก็ปิดอบายหนีนรกได้ชั่วคราวครับ ถ้าฌานเสื่อมเมื่อไหร่ก็ดิ่งตรงนรกเฟส 1 ถึงเฟส 8 เลยครับ
ถ้าปิดอบายภูมิจริงๆ ต้องละกิเลส ตัณหาทุกชนิด มีนิพพานเป็นอารมณ์ เข้าถึงธรรมตั้งแต่ระดับโสดาบันบุคคล จนถึงพระอรหันต์จึงจะปิดอบายภูมิได้จริงครับ
วิธีปฏิบัติ คือ ค่อยๆ ฝึกสมาธิไปเรื่อยๆ ทำใจหยุด นิ่ง เฉยๆ ง่ายๆ สบายๆ ทำใจอย่าฝืนอย่าเค้น ถูกส่วนก็เกิดก็เป็น ง่ายๆ ทำเป็นเห็นเองครับ
#5
โพสต์เมื่อ 27 January 2006 - 12:29 PM
ฌาณ4คืออะไรคะ
#6
โพสต์เมื่อ 27 January 2006 - 01:15 PM
ว่าด้วยฌาณ ๔
*****เบื้องต้นทรงกล่าวถึงความเป็นผู้มีศีลสังวร เป็นปกติครับ เพราะการจะได้ฌาน 4 จะต้องมีศีลเป็นจุดเริ่มต้นครับ*****
[๓๐๙] ดูกรสันทกะ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนก
พระธรรม พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง แล้วทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง (คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี)หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้ว ได้ศรัทธาในพระตถาคตเขาประกอบด้วยการได้ศรัทธานั้น ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลีบรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลอยู่ครองเรือน จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้วเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสิกขาและสาชีพของภิกษุทั้งหลาย ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะวางศาสตราแล้ว มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นผู้สะอาด ละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ประพฤติห่างไกล เว้นจากเมถุนอันเป็นกิจของชาวบ้าน ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จพูดแต่ความจริง ดำรงสัตย์ พูดเป็นหลักฐานควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้วไม่ไปบอกข้างโน้น เพื่อให้คนหมู่นี้แตกร้าวกัน หรือฟังจากข้างโน้น แล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อให้คนหมู่โน้นแตกร้าวกัน สมานคนที่แตกร้าวกันแล้วบ้างส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง ชอบคนผู้พร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนผู้พร้อมเพรียงกันกล่าวแต่คำที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษเพราะหู ชวนให้รักจับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่พอใจ ละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำที่เป็นจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐาน มีที่อ้างอิง มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์โดยกาลอันควร เว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม ฉันหนเดียว เว้นการฉันในราตรี งดจากการฉันในเวลาวิกาลเว้นขาดจากการฟ้อนรำขับร้อง การประโคมดนตรี และดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล เว้นขาดจากการทัดทรงประดับและตกแต่งร่างกาย ด้วยดอกไม้ของหอมและเครื่องประเทืองผิวอันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว เว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ เว้นขาดจากการรับทองและเงินเว้นขาดจากการรับธัญญาชาติดิบ เว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ เว้นขาดจากการรับสตรีและกุมารีเว้นขาดจากการรับทาสีและทาส เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ เว้นขาดจากการรับไก่และสุกรเว้นขาดจากการรับช้าง วัว ม้า และ ลา เว้นขาดจากการรับไร่นาและที่ดิน เว้นขาดจากการประกอบทูตกรรมและการรับใช้ เว้นขาดจากการซื้อ และการขาย เว้นขาดจากการฉ้อโกงด้วยตราชั่งการโกงด้วยของปลอม และการโกงด้วยเครื่องตวงวัด เว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวงและการตลบตะแลง เว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจองจำ การตีชิง การปล้นและกรรโชก เธอเป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง
เธอจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง นกมีปีกจะบินไปทางทิศาภาคใดๆ ก็มีแต่ปีกของตัวเองเป็นภาระบินไปฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาต เป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง
เธอเห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิตไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คือ อภิชฌาและโทมนัสครอบงำ ชื่อว่ารักษาจักขุนทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์ เธอฟังเสียงด้วยหู ... ดมกลิ่นด้วยจมูก ... ลิ้มรสด้วยลิ้น ... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ... รู้แจ้งธรรมมารมณ์ด้วยใจแล้วไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อ
สำรวมจักขุนทรีย์ที่เมื่อไม่สำรวมแล้วจะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษาจักขุนทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์ ภิกษุประกอบด้วยอินทรีย์สังวรอันเป็นอริยะเช่นนี้ ย่อมได้เสวยสุขอันบริสุทธิ์ ไม่ระคนด้วยกิเลสเฉพาะตน เธอย่อมทำความรู้สึกตัวในการก้าวไป ในการถอยกลับ ย่อมทำความรู้สึกตัว ในการแล ในการเหลียวย่อมทำความรู้สึกตัว ในการคู้เข้า ในการเหยียดออก ย่อมทำความรู้สึกตัว ในการทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวร ย่อมทำความรู้สึกตัว ในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ย่อมทำความรู้สึกตัวในการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับการตื่น การพูด การนิ่ง ภิกษุนั้นประกอบด้วยศีลขันธ์ อินทรียสังวร สติสัมปชัญญะและสันโดษ อันเป็นอริยะเช่นนี้แล้ว ย่อมเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง ในกาลภายหลังภัต เธอกลับจากบิณฑบาตแล้ว
*****เบื้องกลาง ทรงกล่าวถึงการทำสมาธิ*****
นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอละความโลภในโลก มีใจปราศจากความโลภอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความโลภ ละความประทุษร้าย คือ พยาบาท ไม่คิดพยาบาท มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความประทุษร้ายคือพยาบาท ละถีนมิทธะแล้ว เป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะ มีความกำหนดหมายอยู่ที่แสงสว่าง มีสติสัมปชัญญะอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะ ละอุทธัจจกุกกุจจะ เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบ ณ ภายในอยู่ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะ ละวิจิกิจฉา เป็นผู้ข้ามวิจิกิจฉา ไม่มีความสงสัยในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉา) ภิกษุนั้นครั้นละนิวรณ์ทั้งห้าเหล่านี้อันเป็นเครื่องเศร้าหมองใจ ทำปัญญาให้ถอยกำลังแล้ว เธอสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมบรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจารมีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ดูกรสันทกะ ก็สาวกย่อมบรรลุคุณวิเศษอันโอฬารเห็นปานนี้ ในศาสดาใด วิญญูชนพึงอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในศาสดานั้นโดยส่วนเดียว และเมื่ออยู่ ก็พึงยังกุศลธรรมเครื่องออกไปจากทุกข์ให้สำเร็จได้.
*****ขยายความ "ทำปัญญาให้ถอยกำลังแล้ว" คือ หยุดใช้ปัญญาวิเคราะห์ ไตร่ตรองให้น้อยลงก่อนเพื่อที่จะให้สมาธิรวมตัวเข้าถึง ปฐมฌาน หรือ ฌาน 1 *****
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ดูกรสันทกะ อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายในเป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจารณ์ เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่. ดูกรสันทกะ ก็สาวกย่อมบรรลุคุณวิเศษอันโอหาร เห็นปานนั้น ในศาสดาใด วิญญูชนพึงอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในศาสดานั้นส่วนเดียว และเมื่ออยู่ ก็พึงยังกุศลธรรมเครื่องออกไปจากทุกข์ให้สำเร็จได้.
*****ขยายความ ฌาน 2 ละวิตก วิจารณ์ แปลว่า จิตหยุดนึก หยุดคิด มีแต่ความสบาย สุขใจ เป็นอารมณ์เดียว*****
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ดูกรสันทกะ อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข. ดูกรสันทกะ ก็สาวกย่อมบรรลุคุณวิเศษอันโอฬารเห็นปานนี้ ในศาสดาใด วิญญูชนพึงอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในศาสดานั้นโดยส่วนเดียว และเมื่ออยู่ ก็พึงยังกุศลธรรมเครื่องออกไปทุกข์ให้สำเร็จได้.
*****ขยายความ ฌาน 3 ละปิติ เหลือเพียง สุข และอุเบกขา*****
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ดูกรสันทกะ อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละทุกข์ละสุข และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่. ดูกรสันทกะก็สาวกย่อมบรรลุคุณวิเศษอันโอฬารเห็นปานนี้ ในศาสดาใด วิญญูชนพึงอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในศาสดานั้นโดยส่วนเดียว และเมื่ออยู่ ก็พึงยังกุศลธรรมเครื่องออกไปจากทุกข์ให้สำเร็จได้.
*****ขยายความ ฌาน 4 ละสุขและทุกข์ มีใจเป็นอุเบกขา รวมแน่นเป็นเอกัคตารมณ์ คือ มีอารมณ์เดียวไม่สุขไม่ทุกข์ กรณีที่เป็นฌาน 4 ความเกี่ยวข้องด้วยกายจะต้องหมดไป หูไม่ได้ยินเสียง ยุงกัดก็ไม่รู้สึก เพราะจิตละความสนใจในสังขารหมดแล้ว แม้ความคิดก็หยุดสงบนิ่ง ปราศจากคำพูดในใจ จึงจะเรียกว่า ฌาน 4 ครับ*****
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
*****เบื้องปลาย ทรงกล่าวถึงการทำปัญญา หรือ วิชชา 3 *****
ที่มา : เล่ม 13 พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
#7
โพสต์เมื่อ 29 January 2006 - 04:10 PM
แบบเอาตัวรอดยามวิกฤตถ้าใครนึกถึง พุทธโธ หรือ สัมมา อรหัง ไปนรกไม่ได้ จำมาจากครูบาอาจารย์นะครับ จะนึกได้ต้องทำจนชิน เหมือนกับเวลาคนตกใจแล้วอุทาน ออกมา แล้วแต่จะชินอะไร ผมเวลาขับรถเจอสุนัขข้ามถนน สัมมาอรหัง ออกมาเองโดยอัตโนมัตเลยครับแล้วก็อธิฐานจิตให้สุนัขปลอดภัย ที่แน่ๆแบบหัวหน้าชั้นบอกทุกวันครับ ให้ลืมกรรมชั่วที่ทำไว้ให้หมดไม่นึกถึงและ ไม่ทำกรรมชั่วอีก ให้นึกถึงกรรมดีที่เคยทำไว้และสั่งสมกรรมดีขึ้นเรื่อย ปิดนรกได้แน่ครับ
#8
โพสต์เมื่อ 06 February 2007 - 02:53 PM
ทำจนชำนาญ มีวสี จะได้ใช้ได้ทันท่วงทีในยามที่ต้องการ