

เท่านั้นแหละ พี่เขาก็ขุดอดีตมาเลย บอกว่า วัดนี้เขาเคยเข้ามาตั้งแต่ยังเป็นศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม ก่อนจะมาเป็นวัดวรณี ซะอีก สมัยอยู่ ม.ศ 2 โน่นไปนั่งสมาธิกับอาจารย์ที่โรงเรียนพอไป แรก ๆ ก็ดี แต่ไป ๆ มาๆ มีความรู้สึกว่า วัดนี้ไม่ได้สอนตามที่พระพุทธเจ้าสอนเลย เหมือนเขียนตำราขึ้นมาใหม่ เป็นลัทธิใหม่ ที่สำคัญเขาบอกว่าเพื่อเขาที่เคยจะมาบวชวัดนี้ เงินไม่พอต้องใช้เป็นหมื่น ๆ เลยบวชไม่ได้ เราก็เถียงเขาว่า ถ้าพี่เคยอ่านพระไตรปิฎก พี่จะรู้ว่าคำสอนเนี่ยไม่ได้เกินเลยไปจากนั่น และเรื่องบวชก็เหมือนกัน แฟนเราก็บวชธรรมทายาทที่วัดนี้ ไม่ได้ใช้เงินซักบาท มีเจ้าภาพดูแลอย่างดีเลย เขาก็บอกว่าสมัยโน้นอาจไม่เหมือนสมัยนี้ก็ได้ และที่สำคัญเขาเชื่อในสิ่งที่วัดถูกโจมตีทุกอย่าง เราก็บอกว่าความจริงเป็นอย่างไร คนในรู้ดีที่สุด เพราะแฟนเราก็เคยมาเป็นอาสาสมัครให้ที่วัดอยู่หลายปีมาก ๆ และก็อยู่ในช่วงที่วัดถูกโจมตีด้วย แต่พี่เขาก็ไม่ฟังเราเลย เอาแต่ความรู้สึกของตัวเอง พ่นออกมาให้เราฟัง เราเลยพูดอะไรไม่ออก ใจฝ่อเลยจริง ๆ แต่ก็ช่างเถอะ อย่างที่หลวงพ่อเคยบอกว่า ถ้าบุญเขาไม่เปิดต่อให้เอาช้างไปฉุดก็ไม่มาหรอก ก็หวังว่าซักวัน ดาวธรรม ที่เราเปิดกรอกหูเขาเนี่ย อาจจะเข้าไปอยู่ในใจเขาบ้างก็ได้
เล่าสู่กันฟังนะ ขอระบายความอัดอั้นตันใจหน่อยค่ะ

