ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

ไปเที่ยวอินเดียกับคุณยาย (ตอนที่ 3)


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 5 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 สิอร

สิอร
  • Members
  • 11 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 February 2008 - 03:13 PM



ตอนที่ 3

ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านและ Post เข้ามานะคะ

จากตอนที่แล้ว ฉันต้องขอแก้ไขข้อมูลหน่อยค่ะ ที่ชาวอินเดียบอกว่าเป็นรอยพระพุทธบาทในวิหารซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปที่พุทธคยานั้น แท้จริงเป็นร่องรอยหักส่วนโคนของศิวลึงค์ อันเนื่องมาจากพื้นที่บริเวณพุทธคยาเดิมอยู่ในความครอบครองของนักบวชชาวฮินดูลัทธิมหันต์ จึงได้สร้างศิวลึงค์ขนาดใหญ่ไว้หน้าพระพุทธรูป ต่อมาเมื่อชาวพุทธเรียกร้องพุทธคยาคืนมาได้ จึงหักทำลายศิวลึงค์นั้นเสีย และปรากฏเป็นร่องรอยทิ้งไว้ ซึ่งฉันเองก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมพระพุทธบาทจึงมีลักษณะกลมๆ

ปัจจุบันวัดของพวกมหันต์ซึ่งมีอาณาเขตใหญ่มากยังรายล้อมอยู่ในบริเวณพุทธคยา มีพระพุทธรูปล้ำค่าอีกมากมายที่อยู่ในเขตวัดของเขาและเรายังไม่สามารถเรียกร้องคืนมาได้ มีบันทึกไว้ว่าตอนนั้น เสาหินพระเจ้าอโศกกลายเป็นส่วนหนึ่งของผนังครัวพวกมหันต์ด้วยซ้ำไป อีกหลายส่วนก็ถูกทิ้งจมอยู่ใต้ดิน พวกเขาถูกจัดอันดับว่าเป็นเศรษฐีของแคว้นพิหารเลยล่ะค่ะ ท่านอนาคาริก ธรรมปาละ พระภิกษุชาวศรีลังกาเป็นผู้นำการต่อสู้เรียกร้องขอคืนพุทธยาให้ชาวพุทธ แล้วฉันจะนำเรื่องของการต่อสู้ของท่านมาเล่าให้ฟังภายหลังนะคะ

ฉันขอเล่าเรื่องต่อเลยนะคะ ยังเป็นวันแรกในอินเดียอยู่ค่ะ

วันที่ 1

: ภูเขาดงคศิริ สถานที่พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญทุกขรกริยา

จากพุทธคยาเราเดินทางต่อไปยังภูเขาดงคศิริ อันเป็นสถานที่ๆ พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญทุกขรกริยา การเดินทางลำบากพอสมควร เพราะถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ (ไม่มีลาดยาง) ตัวฉันเอียงซ้ายขวาตลอด มีจังหวะบัมพ์เป็นระยะๆ บวกกับเสียงแตรที่ดังลั่น ทำให้ฉันไม่สามารถหลับและพูดคุยกับคนในรถได้เลย รถบัสฉิ่งฉับของเราแล่นผ่านแม่น้ำเนรัญชรา ซึ่งเป็นแม่น้ำที่มีความสำคัญมาก เป็นที่ๆพระพุทธองค์ทรงลอยถาดทองคำซึ่งนางสุชาดาใส่ข้าวมธุปายาสนำมาถวายในคืนวันที่ก่อนจะทรงตรัสรู้ เพราะนางคิดว่าพระพุทธองค์เป็นเทวดา ด้วยพระรัศมีที่เปล่งปลั่งงดงามนั่นเอง ทั้งนี้คาดว่าคงจะเป็นแม่น้ำที่กว้างใหญ่มากในสมัยพุทธกาล เพราะในปัจจุบันน้ำในแม่น้ำแห้งเหือดไปหมดแล้ว เหมือนทะเลทรายอันกว้างใหญ่ ที่น่าแปลกคือถ้าขุดลึกไปประมาณสองศอกจะพบน้ำ เพราะใต้ผืนทรายนั้นยังเป็นน้ำอยู่ ชาวบ้านสามารถหย่อนเบ็ดตกปลาลงไปได้ด้วย ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดคือ ทุกๆ วันวิสาขบูชา น้ำที่แม่น้ำนั้นจะขึ้นมาเต็ม เหมือนกับว่าพุทธานุภาพของพระองค์ บันดาลให้เกิดขึ้น อะไรหนอเป็นเหตุให้แม่น้ำใหญ่สายนี้กลายสภาพเป็นเพียงผืนทราย..หรือเป็นเพราะว่ากิเลสของมนุษย์ที่เพิ่มขึ้นๆ จนเผาไหม้ให้สายน้ำเนรัญชรานี้เหือดแห้งลง? แม่น้ำนี้คงเป็นเครื่องเตือนใจให้กับมนุษย์ได้..

หากเรานั่งรถผ่านและได้มองไปในท้องแม่น้ำที่แห้งเหือดนั้น เราจะพบกับประชาชนชาวอินเดียมาใช้สอยพื้นที่บริเวณผืนทรายอันกว้างใหญ่นั้น บ้างก็มาวิ่งเล่น บ้างก็พาสัตว์มากินหญ้า บ้างก็แยกตัวออกไปนั่งยองๆ ไม่ใช่ว่าเป็นแค่คนสองคนเท่านั้นที่แสดงอิริยาบถเช่นนี้ แต่กินบริเวณกว้างพอควร ฉันจึงโฟกัสสายตาให้ใกล้ขึ้นอีกเพื่อสังเกตพฤติกรรมอันน่าฉงน จึงได้พบภาพการปล่อยทุกข์ลงสู่พื้นทราย พระอาจารย์ท่านได้เล่าว่าเป็นธรรมดาของคนที่นี่ ท่านยังได้ชี้ให้เห็นถึงข้อดีของส้วมสาธารณะนี้ว่า ถ้าคนอินเดียล้านคนปลดทุกข์พร้อมๆ กัน วันนึงๆ จะได้ปุ๋ยหมักวันละกี่ตัน? คงประหยัดงบประมาณได้มากทีเดียว เป็นเรื่องที่น่าคิดมาก แล้วถ้าใครมาอินเดียเห็นกะหล่ำดอกโตๆ ก็น่าคิดต่อไปอีกว่าเขาใช้ปุ๋ยอะไรรดนะ? คิดไปคิดมาฉันจึงตัดสินใจเอาสายตาออกจากจุดโฟกัสนั้นเสีย


แนบไฟล์  DSC07280.JPG   1.66MB   114 ดาวน์โหลด

แม่น้ำเนรัญชราที่แห้งเป็นทรายกลายเป็นลานเอนกประสงค์


เมื่อรถแล่นผ่านแม่น้ำไปแล้วก็เหมือนกับว่าเข้าใกล้ภูเขาดงคสิริมากขึ้นทุกที สองข้างทางเริ่มเป็นบ้านเรือนซึ่งทำมาจากดิน ก่อตัวขึ้นเป็นหลังเล็กๆ เล็กขนาดที่คนยืนในนั้นไม่ได้ บางหลังก็มีแต่ผนังคงเป็นเพราะวัสดุที่ใช้ไม่ทนทานพอ ฉันสังเกตเห็นก้อนดินกลมแบน มีร่องรอยของรอยนิ้วมือแปะอยู่เต็มผนังบ้านทุกหลัง พี่ไกด์บอกว่ามันคือก้อนขี้วัวผสมกับหญ้าแห้ง ปั้นเป็นแผ่นกลมๆ แล้วนำมาตากบนผนังบ้าน ซึ่งมีข้อดีคือ หนึ่งไม่ต้องก้มให้เมื่อย สองถ้าแห้งแล้วก็จะตกลงมาเอง คนอินเดียนั้นใช้เป็นถ่านในการหุงต้ม จุดไฟ ขี้วัวเป็นชนวนสำคัญในการจุดไฟ หน้าที่ของการปั้นขี้วัวเป็นของแม่บ้าน ถ้าหากวันไหนมีปากเสียงกับพ่อบ้าน วันนั้นแม่บ้านคงจะไม่ล้างมือก่อนไปปั้นโรตีสินะ..จะอึ๋ย..



สภาพแวดล้อมเหล่านี้ถ้ามองอย่างผิวเผินแล้วก็เป็นที่แน่นอนว่าจะต้องรู้สึกแขยง แต่ถ้าเรามองพร้อมกับเปรียบเทียบ เราจะได้แง่คิดหลายๆ อย่างเลยทีเดียว โดยเฉพาะภูมิปัญญาชาวบ้านแบบอินเดียๆ เมื่อใกล้ถึงขึ้นเรื่อยๆ บ้าน..หรือน่าจะเรียกว่ากระท่อมดินหลังน้อยก็เพิ่มมากขึ้นๆ รถของเราก็กลายเป็นจุดสนใจไปในทันที เด็กน้อยทั้งหลายที่มอมยิ่งกว่าหนุมานคลุกฝุ่นมองรถเราตาเป็นมัน ต่างโบกไม้โบกมือ ยิ้มแย้มต้อนรับเราด้วยความยินดี มากกว่านั้นเด็กทั้งหลายเริ่มวิ่งตามรถเรา พวกเขาแกร่งมากค่ะ เขาวิ่งตามรถทัน เด็กแต่ละคนนั้นตัวขาวโพลนเพราะฝุ่นจากล้อรถ ผมหยิกแดงอินเทรนด์ก็คงเพราะแดด บ้างก็ไว้ทรงเด้ดร็อค (สังกะตัง) เด็กผู้หญิงทุกคนนุ่งชุดแซกติดระบาย มีรอยฉีกขาดเพิ่มความเซอร์ ที่สำคัญทุกคนเท้าเปลือย บางคนวิ่งมาพร้อมกับอุ้มน้องที่ตัวยังแดงอยู่เลย ไม่ว่าจะมีบุคลิกอย่างไรทุกคนมีจุดมุ่งหมายเดียวคือรสบัสทั้งสามคันของพวกเรา

ฉันได้ยินเสียง Thailand Thailand มาเป็นระยะๆ จะมีที่ไหนในโลกอีกไหมที่ทำให้ฉันรู้สึกเป็นคนสำคัญได้มากเท่านี้! แน่แหละประชากรทั้งหมู่บ้านมีประมาณ 2000-3000 คน ล้วนแต่เป็นขอทานทั้งนั้น พวกนี้เป็นวรรณะจัณฑาล เป็นวรรณะที่ต่ำที่สุด ไม่ถูกจัดอยู่ในระบบวรรณะด้วยซ้ำ ไม่มีอาชีพ แต่อาจจะมีพวกศูทรบ้าง (พ่อค้า) คือ ค้าไม้ ค้าหิน โดยพวกเขาจะสกัดหินจากภูเขาด้วยแรงมือกับสิ่วเท่านั้น และนำไปขายเพื่อใช้ในการก่อสร้าง เห็นสภาพพวกเขาแล้วบอกไม่ถูกเลยว่าดีใจแค่ไหนที่ได้เกิดเป็นคนไทย

เมื่อรถบัสจอดก็เหมือนเป็นสัญญาณให้เด็กหยุดวิ่งด้วย เด็กเหล่านี้มารอรับทานจากนักท่องเที่ยว ซึ่งก็มีแต่คนไทยเท่านั้นแหละที่ให้ ทานที่คณะเราเตรียมมาแจกนี้ ก็จะเป็นพวกขนม ท้อฟฟี่ เศษตัง ปากกา ดินสอและที่นิยมมากก็เห็นจะเป็นยาหม่องขาวตราลิงถือลูกท้อ เพราะพวกเขานับถือว่าลิงหรือหนุมานนั้นเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งที่นับถือบูชากัน แต่พระอาจารย์แนะนำให้แจกทานหลังจากทุกคนได้ขึ้นรถแล้ว จึงค่อยให้ทางหน้าต่าง ไม่เช่นนั้นใครที่ยังหลงอยู่ข้างล่างคงจะโดนรุมทึ้งจนไม่ได้ขึ้นรถแน่

แนบไฟล์  DSC07301.JPG   1.65MB   138 ดาวน์โหลด

เด็กๆ วิ่งตามรถบัสของเรา


สถานที่ที่พระองค์ทรงบำเพ็ญทุกขรกริยานั้น อยู่ประมาณกลางภูเขา (ภูเขาลูกไม่ใหญ่) จึงต้องเดินขึ้น แต่ทางเดินนั้นได้ทำไว้เป็นอย่างดีแล้ว อย่างไรก็ตามการเดินสวนทางแรงโน้มถ่วงขึ้นเขาในระยะทางไกลพอควรนั้น ก็ทำให้พวกเราเหนื่อยกันมาก สำหรับผู้สูงวัยก็ได้มีการจัดเตรียมสี่ล้อเล็กไว้บริการขึ้นลงด้วย ระหว่างการเดินขึ้นไปก็มีผู้คนมาต้อนรับเรา อัธยาศัยเขาพอๆ กับกลุ่มคนที่หน้าพุทธยา พวกเขาคอยช่วยเหลือเรา คอยพยุง คนเหล่านี้มีไม้เท้าไว้สำหรับให้เช่าในการไต่เขา ไม้ละสิบรูปี คณะทัวร์นี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอดีตวัยรุ่น (พระอาจารย์ท่านว่าไว้) แต่ทำไมทุกคนถึงทำท่าทะมัดทะแมงในการขึ้นเขาเหลือเกิน คงเป็นเพราะจะแสดงให้ผู้มีอัธยาศัยดีเหล่านั้น รับรู้ว่าเรายังไม่ต้องการความช่วยเหลือของเขา...ขอบใจนะจ๊ะ

แนบไฟล์  DSC07281.JPG   1.58MB   104 ดาวน์โหลด

ทางขึ้นเขาดงคสิริ สถานที่ทรงบำเพ็ญทุกขรกิริยา



ด้านบนมีพนักงานต้อนรับ (ฉันขอเรียกว่าอย่างนั้น) คอยแจกชาอยู่ พอพักหายเหนื่อยแล้ว จึงได้ทยอยเข้าไปยังถ้ำของพระพุทธองค์ เป็นถ้ำที่ขนาดเล็กมาก ต้องก้มตัวแบบต่ำสุดๆ ในการเข้าไป ภายในมีพระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกขรกิริยาอยู่ อากาศข้างในอบอ้าวมากๆ โชคดีที่ไม่มีคนเอาธูปเทียนเข้าไป ฉันกราบลงสามครั้ง จึงรีบเดินออก พอได้สูดอากาศข้างนอกนั้นรู้สึกเย็นสบายมากๆ เหมือนดังคำกล่าวที่ว่าถ้าไม่เจอความทุกข์ก็คงไม่พบกับความสุข ข้างๆ ทางเข้าถ้ำมีห้องประดิษฐานพระพุทธรูปแบบธิเบต คงเป็นเพราะชาวธิเบตเป็นผู้ดูแลที่นี่ พวกเรานั่งพักผ่อนรับลมชมวิวอันงดงามกันอย่างสบายอารมณ์ เพราะบนนี้ไม่มีผู้ที่มีอัธยาศัยดีเหล่านั้นติดตามมาถึง คงจะเป็นไกด์หนุ่มชาวอินเดียที่ชื่อว่าคุณสามี ได้ห้ามทัพไว้

เมื่อทุกคนมานั่งรวมตัวกันพร้อมเพรียง พระอาจารย์ก็นำสวดบูชาพระพุทธคุณ จากนั้นจึงค่อยทยอยกันเดินลงจากเขา แต่ฉันเลือกที่จะมองดูวิวก่อนซักพัก จากจุดที่ฉันยืนนี้ วิวสวยมากๆ เป็นที่โล่งกว้างมีพื้นนาอยู่เบื้องล่าง มีคันนาแบ่งกั้นดูแต่ไกลเป็นระเบียบ คุณแม่ฉันบอกว่าพระพุทธเจ้าทรงชี้ให้พระอานนท์ดูผืนนาของชาวมคธที่แบ่งเป็นช่องรูปทรงสี่เหลี่ยมต่อๆ กัน แล้วพระอานนท์ก็นำไปเป็นแบบของการตัดเย็บจีวรพระนั่นเอง ไกลออกไปเป็นแม่น้ำเนรัญชราที่แห้งเหือด แสงอาทิตย์นั้นรำไรเพราะถูกเมฆบังเป็นบางส่วนน่ามองมากทีเดียว ทางลงนั้นง่ายกว่าทางขึ้นมากๆ แต่ต้องปรับระดับของฝีเท้าให้ดีไม่งั้นอาจจะกลิ้งลงมาได้ และเพื่อที่จะหนีกองทัพชาวบ้านที่มารอขอทาน ฉันกับน้องจึงรีบวิ่งลงอย่างเร็วและขึ้นรถทันที

เมื่อหน้าต่างของรถเปิดออกคลื่นมหาชนก็มาประจำที่ มีทุกเพศทุกวัย เมื่อคนบนรถโปรยทาน ความโกลาหลก็เกิดขึ้น ถึงแม้ความวุ่นวายจะมีมากแต่หน้าตาของทั้งผู้ให้ ผู้รับ และผู้อยู่ในเหตุการณ์ ต่างก็มีสีหน้าที่มีความสุขกันทั้งนั้น เมื่อของหมดนั่นก็หมายถึงเวลาออกเดินทาง ซึ่งรถบัสต้องใช้เวลาออกตัวนานมากเนื่องจากมีขอทานเต็มไปหมด ในที่สุดก็ออกมาได้ เด็กๆ ก็วิ่งตามมาส่งเช่นเดิม

แนบไฟล์  DSC07332.JPG   1.48MB   116 ดาวน์โหลดแนบไฟล์  DSC07333.JPG   1.4MB   97 ดาวน์โหลด

ผู้ให้


แนบไฟล์  DSC07304.JPG   1.59MB   111 ดาวน์โหลดแนบไฟล์  DSC07300.JPG   1.59MB   105 ดาวน์โหลด

ผู้รับ

ชาวบ้านนับพันคนมารอรับทานที่คนไทยใจบุญเตรียมไปให้


รถบัสแล่นกลับไปยังโรงแรม ท้องฟ้ามืดแล้ว ฉันหลับๆ ตื่นๆ คุยกับพี่ๆ ในรถบ้าง เมื่อรถจอดน้องหันมาบอกฉันว่ากระเป๋าตังหาย ฉันตกใจมากเพราะในนั้นมีเงินอยู่ 100 ดอลล่าร์ พี่โอซึ่งนั่งอยู่รถคันเดียวกันได้วิ่งไปเอาไฟฉายมาช่วยหา แต่ก็ไม่มีใครหาเจอ คงจะหล่นตอนที่เราวิ่งลงมาจากเขาดงคสิริเพราะเป็นกระเป๋าใบเล็กๆ ที่น้องคล้องคอเอาไว้ ทุกคนคิดกันว่าขอทานคนไหนที่เก็บได้คงโชคดีมากๆ ก็ถือว่าเป็นลาภก้อนโตของเขาไป ตอนนั้นเงินดอลล์แพงซะด้วย (40 บาท) พระอาจารย์ยังแซวว่าน้องเป็นคนที่แจกตังให้ทานมากที่สุดเชียวนะ

หลังจากมื้อเย็นเราก็จะกลับไปยังต้นพระศรีมหาโพธิ์อีกครั้งเพื่อทำวัตรเย็น ที่พุทธคยาตอนกลางคืนต่างจากตอนกลางวันมาก เงียบสงบดี ทุกอย่างดูมืดสนิท ฉันเกิดปวดห้องน้ำขึ้นมาจึงต้องชวนน้องไป ทางเดินนั้นมืดมากๆ เรื่องผีในอินเดียฉันก็ได้ฟังมาเยอะพอสมควร ฉันถึงกับต้องวิ่งเพื่อให้ถึงห้องน้ำเร็วๆ ในตอนเดินกลับฉันอธิษฐานไปด้วยว่าอยากจะให้ใบโพธิ์ตกมาให้ฉันไว้เป็นที่ระลึกจากพุทธคยาสักใบ ในขณะที่กำลังสวดมนต์ทำวัตรเย็นอยู่นั้น ก็มีเจ้าหน้าที่แขกเก็บใบโพธิ์ที่เพิ่งหล่นมาให้ฉันกับน้อง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นใบโพธิ์ที่ฉันเก็บได้กับมือ แต่ฉันก็ปลื้มใจและไม่ลืมที่จะขอบคุณเขา ทางเดินกลับไปขึ้นรถกลุ่มคนผู้มีอัธยาศัยดีที่เราพบตอนกลางวันไม่อยู่แล้ว คงเพราะต้องนอนเอาแรงเพื่อไปทำหน้าที่ตนในวันต่อไป เมื่อถึงโรงแรมก่อนแยกย้ายไปนอน ไกด์ของเราบอกว่าจะมี Morning call ปลุกเวลา 6.00 น.

แนบไฟล์  DSC07262.JPG   1.52MB   120 ดาวน์โหลด

เราได้ถวายยาซึ่งนำมาจากเมืองไทยให้แก่พระภิกษุรูปนี้ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ท่านได้ให้พรแก่เราด้วยค่ะ


จบตอนที่ 3






#2 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 29 February 2008 - 04:18 PM

อนุโมทนา เจ้าของกระทู้อีกครั้ง สำหรับการแบ่งปันบันทึกท่องเที่ยวเชิงศาสนวัฒนธรรม ครับ

เคยทราบมาบ้างว่า
ชาวอินเดียที่ยากจน ไม่อายที่จะขอทานเพื่อประทังชีวิต แต่ละอายการลักขโมย
ดังนั้นคดีความการลักขโมยจึงมีน้อย เมื่อเทียบกับคนยากจน จำนวนมาก

ไม่ทราบว่าจริงแค่ไหน เจ้าของกระทู้พอทราบไหมครับ

ที่ถามเรื่องนี้เพราะสนใจว่า

ทำไมคนบางชนชาติ แม้ยากจน ชีวิตลำบาก แต่ก็ไม่ลักขโมย ไม่ยอมผิดศีลข้อ ๒
และสตรีก็ไม่ขายบริการทางเพศ

เขาถูกปลูกฝังแนวคิด ความเชื่ออะไรมา

แต่คนอีกหลายชนชาติ ชีวิตยากจน ลำบากน้อยกว่าคนชาติข้างต้น
เพียงแต่กินอยู่ไม่เลิศหรูเท่านั้น
แต่กลับขาดหิริ-โอตตัปปะ ในการดำรงชีพ ด้วยการลัก ขโมย ขายยาเสพติด ขายบริการทางเพศ
เพื่อได้ทรัพย์มาให้กินดี อยู่ดี มีหน้าตาในสังคม

มันแปลกดีนะ

#3 สิอร

สิอร
  • Members
  • 11 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 March 2008 - 06:38 PM

ขอบคุณที่ติดตามคะ

สำหรับเรื่องขโมย
มีพระอาจารย์ได้เล่าให้ฟังว่า ขณะขึ้นรถไฟที่อินเดีย
โดนโปะยาสลบ รู้สึกตัวอีกทีเงินถูกขโมยไปหมดย่าม

แสดงว่าเรื่องขโมยในอินเดียก็มีเช่นบ้านเรา
เพียงแต่จำนวนนั้นคงจะน้อยกว่า
ประกอบกับคนในอินเดียคนจนและคนรวยมีช่องว่างระหว่างกันมาก
อย่างไรก็ตามปริมาณคนจนก็ยังเยอะอยู่ เพราะฉะนั้น
ขโมยก็คงไม่รู้ว่าจะขโมยคนจนกันเองทำไมละมั้งคะ

สำหรับเรื่องปัญหาอื่นๆที่ไม่พบเหมือนคนไทย
คงเป็นเพราะศรัทธาที่เหนียวแน่นมากๆของประชนชาวอินเดีย
ศรัทธาที่มีต่อคำสอนและศาสนา
ขึ้นชื่อว่าศาสนา คำสอนสอนหลักก็คือให้คนตั้งมั่นอยู่ในความดี
เพียงแต่ว่า เป้าหมายในการเป็นคนดีต่างกัน
แต่โดยทั่วไปหลักการไม่โกงกินกัน ก็เป็นเรื่องพื้นฐานของทุกๆศาสนา
เพราะฉะนั้น ความศรัทธาที่เหนียวแน่นของคนอินเดีย(ต่อเทพเจ้าเสียส่วนใหญ่)
อาจจะมีผลต่อการปฏิบัติตนของชาวอินเดียก็เป็นได้คะ happy.gif

#4 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 03 March 2008 - 01:14 AM

ขอบคุณเจ้าของกระทู้ สำหรับข้อมูล ความรู้เพิ่มเติมครับ

ชอบทรรศนะที่ว่า

QUOTE
ขึ้นชื่อว่าศาสนา คำสอนสอนหลัก ก็คือให้คนตั้งมั่นอยู่ในความดี
เพียงแต่ว่า เป้าหมายในการเป็นคนดีต่างกัน
แต่โดยทั่วไปหลักการไม่โกงกินกัน ก็เป็นเรื่องพื้นฐานของทุกๆศาสนา



#5 คนรักบุญ

คนรักบุญ
  • Members
  • 125 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 March 2008 - 09:28 PM

ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

#6 Honey

Honey
  • Members
  • 31 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 March 2008 - 07:16 PM

อนุโมทนาบุญค่ะ

เขียนสนุกและได้รับความรู้ด้วย ทำให้อยากไปอินเดียมากขึ้น
สักวันคงได้ไปค่ะ...

ติดตามตอนต่อไปอยู่ค่ะ