ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

ไปเที่ยวอินเดียกับคุณยาย (ตอนที่ 4)


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 2 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 สิอร

สิอร
  • Members
  • 11 โพสต์

โพสต์เมื่อ 12 March 2008 - 11:25 AM



ตอนที่ 4
วันที่ 2
: เยี่ยมบ้านนางสุชาดา


6.00 น. ก๊อกๆๆ...อืมม Morning call ที่เมืองนี้แปลก ไม่ได้มาตามสายปลุกอัตโนมัติเหมือนที่คิดไว้ เป็นอัตโนมือแทน แต่ก็เป็นการเริ่มเช้าวันใหม่ที่ดี วันนี้โปรแกรมแรกของเราคือออกเดินทางไปยังบริเวณที่สันนิษฐานว่าเคยเป็นบ้านของนางสุชาดา ผู้ถวายข้าวมธุปายาสแก่พระพุทธองค์ อากาศในวันนี้จะเย็นกว่าเมื่อวานเนื่องจากฝนตกปรอยๆ ก่อนทางเข้าก็มีหมู่บ้านผู้ยากไร้เช่นเดียวกับที่ภูเขาดงคสิริ แต่มีจำนวนน้อยกว่ามาก คาดกันว่าจะเป็นลูกหลานของนางสุชาดาหรือเปล่าฉันเองไม่แน่ใจ บ้านนางสุชาดานั้นคงจะพังทลายไปตามเวลานับพันปีแล้ว ปัจจุบันก็เหลือเพียงแต่ฐานที่กว้างใหญ่และสูงทีเดียวในระดับหนึ่ง มีต้นหญ้าขึ้นปกคลุมเต็มไปหมด การที่จะเดินขึ้นไปบนฐานสูงนั้นต้องเหยียบตามเชิงดินที่ไม่เท่ากัน เพราะไม่มีบันได จึงต้องระมัดระวังมาก ดินก็เปียกเพราะฝนตกด้วย แต่ลูกหลานนางสุชาดาทั้งหลายที่ติดตามเรามานั้น ดูจะขึ้นลงด้วยความคล่องแคล่วมากทีเดียว

แนบไฟล์  image010_1_.jpg   4.54K   130 ดาวน์โหลด

บริเวณที่สันนิษฐานว่าเคยเป็นบ้าน(ปราสาท)ของนางสุชาดา


จากซากปรักหักพังของเนินดินขนาดใหญ่ที่ยังหลงเหลืออยู่นั้น พอจะสันนิษฐานได้ว่า ในสมัยพุทธกาล บ้านของนางสุชาดา ซึ่งที่จริงน่าจะเรียกว่าปราสาทมากกว่า เพราะตามประวัตินางมีปราสาทถึง 3 หลัง สำหรับ 3 ฤดู ด้วยนางเป็นบุตรสาวของเศรษฐีใหญ่แห่งเมืองพาราณสี และเป็นมารดาของยสกุลบุตร ผู้เป็นเจ้าของ Wording คุ้นหู “ที่นี่...วุ่นวายหนอ ที่นี่...ขัดข้องหนอ” ที่เบื่อหน่ายในความหรูหราร่ำรวยของตนเอง จึงใส่รองเท้าทองคำ (แท้) ออกมาเดินเล่นตอนใกล้รุ่ง จนได้พบพระพุทธองค์และฟังธรรมได้บรรลุอรหันต์ ซึ่งต่อมาได้เป็นพระอรหันต์องค์ที่ 6 ในพระพุทธศาสนา ต่อจากพระปัญจวัคคีย์

แนบไฟล์  DSC07309.JPG   1.58MB   180 ดาวน์โหลด

นี่แหละค่ะ ..ท่านมหาน้อย พระดอกเตอร์ปรีชา ผู้เป็นพระมัคคุเทศก์ให้เรา
จากจุดนี้เรายืนอยู่บนเนินดินที่สูงมาก ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นปราสาทของนางสุชาดา


เมื่อหมู่คณะเดินไปถึงบนยอดฐานแล้วก็จัดแจงเอากล้องมาถ่ายภาพกันตามระเบียบ จากนั้นพวกเราก็เดินลัดเลาะตามร่องสวนของชาวบ้านเพื่อที่จะไปยังจุดที่พระพุทธองค์ทรงลอยถาดทองคำ ระหว่างที่เดินไป เราจะได้พบกับภาพของชาวบ้านทำกิจวัตรประจำวันกันอยู่ ชายคนหนึ่งกำลังแปรงฟันด้วยแปรงที่ทำมาจากกิ่งไม้เนื้ออ่อน ท่าทางของเขาไม่เคอะเขินต่อสายตาของพวกเราที่มองแบบไม่เคยเห็นมาก่อน โอ้โฮ..ทำให้นึกภาพออกเลยว่า หลายพันปีที่ผ่านมาแปรงสีฟันยี่ห้อนี้ยังติดอันดับยอดนิยมไม่เปลี่ยนแปลง

แนบไฟล์  DSC07318.JPG   2MB   167 ดาวน์โหลด

ระหว่างทางเดินจากบ้านนางสุชาดาไปริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา



พืชผักสวนครัวที่ชาวบ้านปลูกไว้ระหว่างทางนั้นช่างสวย และน่ากินมาก คงเป็นเพราะได้ปุ๋ยหมักชั้นเยี่ยม.....เมื่อเดินไปถึงจุดที่พระพุทธองค์ทรงลอยถาดทองคำ ซึ่งบริเวณนั้นมีต้นไทรต้นใหญ่ ยืนแผ่กิ่งก้านอยู่ ตามพุทธประวัตินั้นหลังจากที่พระองค์ทรงตัดสินพระทัยเลิกการทำบำเพ็ญทุกขรกริยาแล้ว ท่านได้เสด็จลงจากเชิงเขาดงคสิริ มายังหมู่บ้านของนางสุชาดา พระองค์ได้เสด็จมายังใต้ร่มไทร ซึ่งเป็นต้นเดียวกับต้นที่นางสุชาดาได้มาบนบานเอาไว้ขอให้ได้ลูกชาย และเมื่อได้ลูกชายสมปรารถนาแล้ว นางได้จัดทำข้าวมธุปายาส หุงต้มด้วยน้ำนมโคสดอย่างดี ให้สาวใช้มาทำความสะอาดที่ทางไว้ล่วงหน้า เมื่อหญิงรับใช้ได้เห็นพระพุทธองค์ นางคิดว่าเป็นรุกขเทวดา จึงไปบอกกับนางสุชาดา นางรีบมายังต้นไทรด้วยความปิติ และถวายข้าวมธุปายาสพร้อมกับถาดทองคำ พระกระยาหารมื้อนี้เป็นมื้อที่สำคัญมาก หลังจากเสวยท่านได้ทรงอธิษฐานเสี่ยงบารมีว่า ถ้าจะได้ตรัสรู้บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้ถาดนี้ลอยทวนน้ำ ปรากฏว่าถาดก็ได้ลอยทวนกระแสน้ำตามคำอธิษฐาน

ต้นไทรที่พวกเราเห็นอยู่ตรงริมฝั่งแม่น้ำนี้ คงจะเป็นต้นเดียวกัน หรือหน่อเนื้อของต้นไทรในพุทธประวัติเป็นแน่ ตรงกันข้ามของฝั่งแม่น้ำเนรัญชราที่เรายืนกันอยู่นั้น ก็คือมหาวิหารพุทธคยานั่นเอง สถานที่สำคัญทางพุทธประวัติในเมืองพุทธคยา ก็ครบสมบูรณ์ตามโปรแกรมที่จัดเตรียมไว้แล้ว ดังนั้นก่อนที่พวกเราจะเดินทางออกจากเมืองคยาเพื่อไปยังสังเวชนียสถานสำคัญต่อไป พวกเราจึงได้ไปกราบลาพระศรีมหาโพธิ์อีกครั้ง พร้อมกับร่วมทอดผ้าป่า ณ วัดไทยพุทธคยา

วันที่ 2
: บินจากเมืองคยาสู่เมืองพาราณสี


พวกเราเดินทางออกจากเมืองคยาสู่เมืองพาราณสีด้วยเที่ยวบินพิเศษของการบินไทย ทำให้เราสามารถย่นเวลาการเดินทางจาก 10 กว่าชั่วโมง เป็นแค่ 45 นาที สนามบินที่พาราณสีนั้น ก็มีสภาพที่ไม่ต่างไปจากสนามบินที่คยานัก แต่ดูเหมือนว่าสภาพของผู้คนดูจะมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าคยามากๆ ที่สนามบินนั้น มีรถจอดมากมาย เป็นรถที่หน้าตาเหมือนกันหมด คาดว่าคงจะเป็นรถที่คนอินเดียผลิตกันเองเพราะไม่เคยเห็นรถแบบนี้ที่ไหนมาก่อน สีทั้งหมดเป็นสีขาว เรามาถึงพาราณสีบ่ายมากแล้ว พวกเราจึงไม่มีเวลามากนักก่อนที่พิพิธภัณฑ์ประจำเมืองสารนาถจะปิด นอกจากจะต้องรีบขึ้นไปยังรถบัสที่จอดเตรียมไว้ ฉันและน้องเลือกที่นั่งด้านหลังสุดตามเดิม...ก็เพราะรู้ตัวว่าเด็กที่สุดในรถนั่นเอง

เมื่อถึงพิพิธภัณฑ์พวกเราก็เดินเรียงแถวเข้าประตูพิพิธภัณฑ์กันได้โดยสะดวก เนื่องจากว่าค่าเข้าพิพิธภัณฑ์ทางทัวร์ได้ทำการตระเตรียมไว้แล้ว เมื่อเข้าไป เราจะพบกับหัวเสาของพระเจ้าอโศกซึ่งมีความใหญ่โตมากกว่าที่ฉันได้คิดเอาไว้มาก หัวเสานี้ทำจากหินทรายก้อนเดียว เป็นรูปพญาสิงห์สี่ตัวยืนหันหลังชนกัน ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าอโศก และยังเป็นข้อกังขาในหมู่นักโบราณคดีปัจจุบันนี้ว่า ช่างในยุคนั้นใช้อะไรเคลือบเสาหิน จึงยังคงความเงางามอยู่จนถึงปัจจุบัน แม้เวลาจะผ่านเลยมาหลายพันปีก็ตาม ที่ฐานมีรูปธรรมจักรสลับกับรูปของสัตว์สี่ชนิด คือ ช้าง ม้า สิงห์ โค สัตว์ทั้งสี่นี้จะคอยเฝ้าพิทักษ์ธรรมจักร คือ พุทธศาสนา ซึ่งอินเดียได้นำมาเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติดังที่เห็นปรากฏอยู่ในตราแผ่นดินของประเทศอินเดียนั่นเอง คติการสร้างของสัตว์นี้ นักวิชาการได้แปลความหมายต่างๆ กันออกไป เช่น ความหมายแห่งอำนาจ ความกล้าหาญ ปัญญาชาญฉลาด และพลังความอดทนแข็งแรง ด้านล่างมีอักษรเทวนาคี แปลได้ว่า “ความจริงเท่านั้นมีชัยชนะเหนือทุกสิ่ง”

แนบไฟล์  lion_capital_787_1_.jpg   9.79K   111 ดาวน์โหลด

เสาหินพระเจ้าอโศกส่วนยอด ที่แสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์เมืองสารนาถ
ตอนเข้าไปเขาห้ามถ่ายรูป จึงต้องไปหาภาพจากwebsiteมาให้ดูค่ะ


หลังจากฟังประวัติ พร้อมกับยืนถ่ายรูปกับความยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนาแล้ว ก็แยกกันเดินตามห้อง จุดที่วางหัวเสานั้นเป็นศูนย์กลางของห้องจัดแสดง มีทางแยกออกไปทางซ้าย ขวา ด้านหนึ่งเป็นศิลปะของศาสนาพราหมณ์ อีกด้านเป็นศิลปะของศาสนาพุทธ ฉันเดินไปทางศิลปะของศาสนาพุทธก่อน ภายในนั้นมีพระพุทธรูปมากมาย ทั้งองค์เล็ก องค์ใหญ่ ปางต่างๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นปางปฐมเทศนา เป็นลักษณะของศิลปะคุปตะ ซึ่งถือว่าเป็นยุคทองของศิลปะอินเดียเลยทีเดียว ลักษณะเด่นของศิลปะคุปตะคือ ลักษณะจีวรเป็นลักษณะเหมือนผ้าเปียกน้ำ ดังนั้นจีวรจึงไม่ดูแข็งกระด้าง เมื่อมีลักษณะเปียกน้ำ จีวรจึงลู่ตามสรีระของพระพุทธองค์ จึงถือว่าเป็นฝีมือช่างที่มีความอ่อนช้อยและละเอียดอ่อนมาก ที่มุมสุดของห้องจัดโชว์นั้น เป็นพระพุทธรูปคุปตะ ปางปฐมเทศนา ทำจากหินทรายที่ฉันกล่าวถึงในตอนแรก

แนบไฟล์  sarnath_787_1_.jpg   19.61K   122 ดาวน์โหลด

พระพุทธรูปคุปตะ ปางปฐมเทศนา ทำจากหินทราย
ภาพนี้ นำมาจากwebsiteเช่นกันค่ะ


พระพุทธรูปองค์นี้นั้นเป็นองค์ที่มีความสวยงามเป็นเลิศ เป็นศิลปะชิ้นเอกชิ้นหนึ่งของโลก ทำจากหินทราย สูง 5 ฟุต 3 นิ้ว ( 1 เมตร 60 ซม.) ทางอินเดียได้ส่งพระพุทธรูปองค์นี้เข้าร่วมการประกวดต่างๆ แม้จะถูกทุบทำลายจนพระนาสิกหัก แต่ก็ได้ชนะเลิศติดต่อกันหลายปี จนคณะกรรมการถึงกับต้องขอให้งดส่งเป็นเพราะว่า มิฉะนั้นประติมากรรมชิ้นอื่นคงจะไม่ได้มีสิทธิ์ได้รับรางวัลเป็นแน่ ด้วยความมีคุณค่าทั้งในด้านจิตใจและด้านศิลปกรรมเช่นนี้ ทางพิพิธภัณฑ์จึงต้องเข้มงวดรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษ พวกเราจึงไม่สามารถถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกได้ นอกจากชื่นชมช่างฝีมือชาวพุทธอินเดียโบราณและจดจำความงดงามนี้ไว้ในใจของเรา

หลังจากเดินดูความเจริญรุ่งเรืองของอินเดียในสมัยก่อนเรียบร้อยแล้ว ก็เดินออกจากห้องจัดแสดง อากาศภายนอกฟ้าครึ้มเล็กน้อย ฝนก็เริ่มตกลงมาปรอยๆ พร้อมกับเวลาก็ลดน้อยลง พวกเราจึงต้องอดใจไว้รอไปดูป่าอิสิปตนมฤคทายวันในวันพรุ่งนี้ซึ่งอยู่ติดกับบริเวณของพิพิธภัณฑ์นั่นเอง ระหว่างเดินกลับมีชาวบ้านนำเสนอขายของที่ระลึกเป็นพระพุทธรูปองค์จำลองที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ ขนาดเล็กกว่าฝ่ามือเล็กน้อย โดยเพิ่มความน่าสนใจว่าทำมาจากดินสังเวชนียสถาน แต่จะจริงหรือไม่จริงก็คงไม่ใช่ดินจากเมืองไทยแน่นอน ผู้ใหญ่หลายคนสนใจที่จะนำไปเป็นของฝาก พระอาจารย์ท่านเลยส่งภาษาอินเดียต่อรองราคาได้ถูกมากจากองค์ละกว่าห้าสิบกว่าบาทเหลือเพียงสิบบาท (แต่ปรากฏว่ารุ่นหลังๆ ที่ไปกันได้มาเพียงองค์ละ 3 บาท!!! อันนี้คงแล้วแต่ความสามารถในการเจรจาต่อรองของแต่ละท่านแล้วล่ะค่ะ) พวกเราได้สั่งเขาเป็นร้อยองค์และให้นำมาส่งในวันรุ่งขึ้นตอนที่เรามาที่นี่อีกครั้ง ตอนที่ขนกลับมาเมืองไทยนั้นหนักมากกกกกค่ะ ขอบอก..แถมฝีมือการ packing ใส่ลังกระดาษของพี่แขกก็ไม่จืดเลย กว่าจะถึงเมืองไทยก็ทุลักทุเล แถมบางกล่องขาดหลุดลุ่ย องค์พระแตกเสียหายไปก็มี แต่ก็เป็นของฝากจากอินเดียที่มีคุณค่า เพราะผู้รับดีใจ ผู้ให้ก็หายเหนื่อยลืมความหนักไปเลยค่ะ

แนบไฟล์  Copy_of_DSC07255.JPG   2.13MB   178 ดาวน์โหลด

พระพุทธรูปดินเผาจำลองแบบมาจากพระพุทธรูปปางปฐมเทศนา



ก่อนที่จะขึ้นรถนั้น มีเด็กน้อยวนิพกร้องบทสวดมนต์พร้อมกับตีกลองเป็นจังหวะของตัวเอง เสียงของเด็กน้อยใสปิ๊ง ใสจนผู้ใหญ่ในรถต่างหยิบตังให้กันแทบไม่ทัน แต่ละคนก็ให้หลักสิบหลักร้อย จึงทำให้ถึงแม้ว่ารถจะออกแล้วแต่เสียงใสใสยังคงเล็ดลอดตามช่องว่างของรถเข้ามา จากนั้นพวกเราก็กลับโรงแรม โรงแรมนี้ชื่อว่า Taj Ganges จัดว่าเป็นระดับห้าดาวของเขาทีเดียว แล้วก็ไม่ผิดหวัง โรงแรมสวย ที่ล้อบบี้มีนักดนตรีหนุ่มอินเดียตีกลองแขกช่วยให้บรรยากาศเป็นอินเดียมากขึ้น อาหารค่ำมีไอศกรีมอร่อยมาก และวันนี้เป็นวันที่ต่อม ‘Born to shop’ ของพวกเราหลายคนเริ่มทำงาน หลังมื้อเย็นฉันกับน้องเลยตามพวกพี่ๆ ออกมาเดินเล่นดูเมือง หลายคนได้ส่าหรีสีสวยๆ จากร้านค้าในโรงแรมติดมือกลับไปด้วย ก่อนที่จะแยกกันกลับไปพักผ่อนเพื่อที่จะเตรียมตัวไปสถานที่สำคัญอีกแห่ง ซึ่งจะต้องเตรียมลุยกว่าสถานที่อื่นๆ ที่ผ่านมา

แนบไฟล์  DSC07358.JPG   1.63MB   168 ดาวน์โหลด

นักดนตรีที่ล้อบบี้โรงแรม Taj Ganges เมืองพาราณสี


แนบไฟล์  DSC07363.JPG   1.57MB   166 ดาวน์โหลด

ร้านรวงแถวโรงแรมในคืนแรกที่ไปถึงพาราณสี


จบตอนที่ 4 ค่ะ







#2 Honey

Honey
  • Members
  • 31 โพสต์

โพสต์เมื่อ 12 March 2008 - 02:53 PM

พระพุทธรูปคุปตะ ปางปฐมเทศนางามจริงๆค่ะ

ยอดเยี่ยมเลย ไปหารูปจาก website อื่นมาให้ดูด้วย



#3 คนรักบุญ

คนรักบุญ
  • Members
  • 125 โพสต์

โพสต์เมื่อ 12 March 2008 - 10:46 PM

อ้าว จบแล้วเหรอ กำลังอ่านเพลินอยู่เชียว ขอบคุณและอนุโมทนาบุญด้วยค่ะ