พี่จำเป็นต้องไปขู่คนพาลเพื่อให้รีบมาจ่ายหนี้โดยเร็ว จนฝ่ายนั้นเดิมทำท่าจะไม่ยอมจ่ายชำระหนี้ ยอมจ่ายแต่โดยดี เกินกว่าจำนวนที่คาดว่าจะได้รับ แต่จำนวนเงินก็ยังไม่เท่ากับความสูญเสีบยที่ได้รับ คงจะมีเวรต่อกันทำอย่างไรจะได้ไม่ต้องมีเวรต่อกันอีก บางทีเราไม่เคยคบคนพาลแต่ก็ต้องเจอเพราะมีมากเหลือเกิน

ไปขู่คนพาลให้กลัวเพื่อให้รีับมาชำระหนี้บาปไหม
เริ่มโดย 330371, Mar 15 2008 04:16 PM
มี 6 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 15 March 2008 - 04:16 PM
#2
โพสต์เมื่อ 15 March 2008 - 05:51 PM
แล้วไปขู่เขาทำไมอ่า ไปขู่เขาก็เท่ากับเราไปผูกเวรกับเขาอีกอ่าจิครับ น่าจะมีวิธีเจรจาหรือหนทางแบบสันติวิธีนะครับ ถ้าเป็นผม หากผมไม่เดือดร้อนเรื่องเงินจริงๆและไม่ใช่นี่ก้อนโตอะไร ผมจะยกหนี้ให้เขาไปเลย แล้วให้เขามาใช้เราในชาติหน้า เป็นลูกน้องหรือคนใช้เราชาติละสตางค์แทน คุ้มยิ่งกว่าคุ้มครับ *-*
ผมมีตัวอย่างไม่ใช่ใครอื่น คุณพ่อของหลวงพ่อทัตตะนี่เองครับ หลวงพ่อทัตตะท่านเล่าว่า คุณพ่อของท่านให้เพื่อนยืมเงิน(ผมจำได้คร่าวๆว่าประมาณ20000บาท ในสมัยนั้นถือว่าเป็นเงินที่มากโขอยู่ทีเดียว) โดยบอกกับคนที่มาขอยืมว่า "เงินก้อนนี้ได้ตัดบ/ชแทงศูนย์ไปแล้วอย่าได้วิตก หากไม่มีมาคืนก็ไม่เป็นไรแต่หากมีแล้วค่อยเอามาคืนก็ได้ไม่รีบร้อน" แล้วเพื่อนคนนี้ก็หายไป หลายปีต่อมาเขากลับมาหาคุณพ่อของหลวงพ่อทัตตะอีกครั้ง โดยที่เอาเงินมาคืนพร้อมดอกเบี้ยที่เขา+เพิ่มให้เสร็จสับทั้งที่คุณพ่อของหลวงพ่อทัตตะท่านไม่ได้คิดถึงเรื่องดอกเบี้ยเลยแม้แต่น้อย ที่สำคัญ ท่านไม่รับเงินก้อนนั้นคืนด้วยนะครับ โดยพูดกลับเพื่อนท่านว่า "เงินก้อนนี้จะไม่ขอรับคืน หากแต่ให้คุณเอาเก็บไว้เป็นเงินก้อนไว้ใช้สำหรับช่วยเหลือคนที่แบกหน้ามาขอความช่วยเหลือคุณต่อไป" เสียเงินแค่ก้อนเดียว แต่สามารถรักษานําใจและมิตรภาพไว้ได้ คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม
ผมมีตัวอย่างไม่ใช่ใครอื่น คุณพ่อของหลวงพ่อทัตตะนี่เองครับ หลวงพ่อทัตตะท่านเล่าว่า คุณพ่อของท่านให้เพื่อนยืมเงิน(ผมจำได้คร่าวๆว่าประมาณ20000บาท ในสมัยนั้นถือว่าเป็นเงินที่มากโขอยู่ทีเดียว) โดยบอกกับคนที่มาขอยืมว่า "เงินก้อนนี้ได้ตัดบ/ชแทงศูนย์ไปแล้วอย่าได้วิตก หากไม่มีมาคืนก็ไม่เป็นไรแต่หากมีแล้วค่อยเอามาคืนก็ได้ไม่รีบร้อน" แล้วเพื่อนคนนี้ก็หายไป หลายปีต่อมาเขากลับมาหาคุณพ่อของหลวงพ่อทัตตะอีกครั้ง โดยที่เอาเงินมาคืนพร้อมดอกเบี้ยที่เขา+เพิ่มให้เสร็จสับทั้งที่คุณพ่อของหลวงพ่อทัตตะท่านไม่ได้คิดถึงเรื่องดอกเบี้ยเลยแม้แต่น้อย ที่สำคัญ ท่านไม่รับเงินก้อนนั้นคืนด้วยนะครับ โดยพูดกลับเพื่อนท่านว่า "เงินก้อนนี้จะไม่ขอรับคืน หากแต่ให้คุณเอาเก็บไว้เป็นเงินก้อนไว้ใช้สำหรับช่วยเหลือคนที่แบกหน้ามาขอความช่วยเหลือคุณต่อไป" เสียเงินแค่ก้อนเดียว แต่สามารถรักษานําใจและมิตรภาพไว้ได้ คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#3
โพสต์เมื่อ 15 March 2008 - 11:52 PM
ขอเป็นกำลังใจให้ครับ ก็มีคนหลายคนติดหนี้ผมเหมือนกัน ผมก็ยังไม่ได้รับเงินคืนเลยครับ ก็คิดไว้ว่า หากได้เงินคืน จะนำเงินส่วนหนึ่งทำบุญกุศลครับ
#4
โพสต์เมื่อ 16 March 2008 - 05:35 AM
กฏแห่งกรรมทำงานเสมอ ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร...สาธุครับ
#5
โพสต์เมื่อ 17 March 2008 - 07:05 PM
พลาดไปแล้วคับพี่น้อง ก่อนจะให้ใครยืมเงิน หลวงพ่อทัตตะบอกว่า
ต้องแน่ใจว่า ถ้าเขาไม่คืน เราจะไม่เดือดร้อน
ฉะนั้น ถ้าขอเยอะ เราไม่ให้ยืมครับ
ต้องหัดปฏิเสธคนด้วยนะครับ
แต่กรณีนี้ หลวมตัวไปแล้วใช่มั๊ยครับ
ถามว่า คุณกลัวอะไรมากกว่ากัน
กลัวเวน หรือกลัวไม่ได้คืน
เราไปทวง คือไปช่วยเขาคิดคับ ว่าจะหาเงินจากไหนมาจ่ายเรา
ขายบ้าน ขายรถ ขายสิ่งของ ก็ว่ากันไปคับ
ต้องแน่ใจว่า ถ้าเขาไม่คืน เราจะไม่เดือดร้อน
ฉะนั้น ถ้าขอเยอะ เราไม่ให้ยืมครับ
ต้องหัดปฏิเสธคนด้วยนะครับ
แต่กรณีนี้ หลวมตัวไปแล้วใช่มั๊ยครับ
ถามว่า คุณกลัวอะไรมากกว่ากัน
กลัวเวน หรือกลัวไม่ได้คืน
เราไปทวง คือไปช่วยเขาคิดคับ ว่าจะหาเงินจากไหนมาจ่ายเรา
ขายบ้าน ขายรถ ขายสิ่งของ ก็ว่ากันไปคับ
ชีวิตคือการเดินทาง ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง
#6
โพสต์เมื่อ 17 March 2008 - 08:17 PM
ไม่อยาก จองเวร กันต่อไป ง่ายๆค่ะ ไม่ต้องลงทุน แค่ คิด อโหสิกรรม เท่านั้นแหละ
เงินที่ให้ยืม ต้องเป็นเงินในส่วนที่ไม่ทำให้เราเดือดร้อน คิดอย่างนั้น จึงให้ยืม
เมื่อให้ไปแล้ว แทงเป็น 0 ได้เลยค่ะ เพราะบางคน เดือดร้อนจริงๆ ถึงต้องมาขอ
ก็ถือว่า ทำบุญสงเคราะห์ญาติ เพื่อนร่วมโลกไป
เปลี่ยน เงิน ให้เป็น บุญ ซะ ชาตินี้พอมีพอใช้ เก็บไว้ใช้ชาติหน้าบ้างก็ดีเน้อ..
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ทำไปหมดแล้วค่ะ อโหสิกรรมเรียบร้อย จนคนขอยืม บอกเองว่า ไม่อยากติดหนี้ข้ามชาติ
ถ้ามี นะ ถ้ามี จะต้องเอามาคืน เราบอกไปแล้วว่า เราอโหสิกรรม ไม่มีก็ไม่ต้องคืน เงินเป็นแสน ถ้าหามาคืนโดยทางไม่สุจริต อย่าเอามาคืนเราดีกว่า ว่ามั้ยคะ...
เอ.. หรือว่า ชาติที่แล้ว ติดหนี้คนอื่น อย่างนี้หนอ..
เงินที่ให้ยืม ต้องเป็นเงินในส่วนที่ไม่ทำให้เราเดือดร้อน คิดอย่างนั้น จึงให้ยืม
เมื่อให้ไปแล้ว แทงเป็น 0 ได้เลยค่ะ เพราะบางคน เดือดร้อนจริงๆ ถึงต้องมาขอ
ก็ถือว่า ทำบุญสงเคราะห์ญาติ เพื่อนร่วมโลกไป
เปลี่ยน เงิน ให้เป็น บุญ ซะ ชาตินี้พอมีพอใช้ เก็บไว้ใช้ชาติหน้าบ้างก็ดีเน้อ..
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ทำไปหมดแล้วค่ะ อโหสิกรรมเรียบร้อย จนคนขอยืม บอกเองว่า ไม่อยากติดหนี้ข้ามชาติ
ถ้ามี นะ ถ้ามี จะต้องเอามาคืน เราบอกไปแล้วว่า เราอโหสิกรรม ไม่มีก็ไม่ต้องคืน เงินเป็นแสน ถ้าหามาคืนโดยทางไม่สุจริต อย่าเอามาคืนเราดีกว่า ว่ามั้ยคะ...
เอ.. หรือว่า ชาติที่แล้ว ติดหนี้คนอื่น อย่างนี้หนอ..
#7
โพสต์เมื่อ 18 March 2008 - 09:21 AM
พี่ไม่ได้ให้เขายืมเงินหรอกค่ะแต่เรื่องมันซับซ้อนคือเรียกได้ว่าเป็นพวกโจรมิจฉาชืพพี่อาศัยอิทธิพลของทางบ้านพี่ขู่ คิดว่าไม่บาปเพราะเขาเป็นคนไม่ดี(อันธพาล) แต่ได้รับคำตอบจากพี่น้องชาว DMC แล้วก็รู้สึกเป็นบาปเพราะถึงพวกนั้นจะเป็นคนพาลแต่เราพลาดไปแล้ว ขอบคุณในคำตอบที่มีค่าทุกๆคำตอบรู้สึกว่าชาวDMC เป็นผู้มีคุณธรรมสูงๆกันทั้งนั้น โชคดีจริงๆที่ได้อยู่ในบุญ ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญด้วยค่ะ ถ้ามีปัญหาจะเขียนมาถามก่อนตัดสินใจทำเรื่องบาปกรรมไปแล้ว พี่โชคดีที่มี ได้พบคนดีๆWEB ดีๆในโลกที่ยุ่งเหยิงอย่างปัจจุบันนี้