ตอนที่ 7 ..ตอนจบ
สวนลุมพีนีวัน สถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ
เวลาของท้องถิ่นเนปาลเร็วกว่าอินเดีย 15 นาที และช้ากว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง 15 นาที ทางการเนปาลได้ดูแลสถานที่แห่งนี้อย่างดี มีต้นไม้โดยรอบร่มรื่น จุดที่พระพุทธองค์ประสูตินั้นได้สร้างวิหารมหาเทวีขึ้นทับ ซึ่งภายในก็ไม่ได้มีอะไรมาก เพราะคงต้องการรักษาสภาพเดิมไว้เพราะเป็นวิหารใหม่เนื่องจากได้มีการขุดค้นใหม่และพบจุดที่ได้ยืนยันว่าเป็นจุดที่พระองค์ประสูติ ห่างจากตำแหน่งเดิมที่เคยคิดว่าใช่ไม่มากนัก โดยทางการญี่ปุ่นได้ใช้งบประมาณ 30 ล้านบาทเพื่อสืบเสาะหาจุดที่แน่นอน ภายในทำเป็นทางเดินโดยรอบบริเวณที่ถูกค้นพบใหม่ ด้วยเป็นจุดที่ทางเดินค่อนข้างแคบผู้คนจึงไปแออัดตรงนั้นเสียมาก เพราะต้องการที่จะสักการะ และถ่ายภาพเอาไว้ ความโกลาหลของการเบียดเสียดจึงทวีความแรงขึ้นอีก ฉันเข้าไปช้ากว่าคนอื่นๆ จึงสามารถมองเห็นภาพโดยรวมของความโกลาหลนั้นอย่างชัดเจน ฉันเลยตัดสินใจที่จะรอให้ม็อบของสาธุชนเบาบางลงก่อน เมื่อเหตุการณ์เริ่มสงบฉันจึงเดินเอาตัวแทรกตามคนอื่นๆไป ฉันขอ บอกตามความจริงว่า ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก และแล้วฉันก็ได้มายืนอยู่ ณ จุดนั้น มองลงไปเบื้องล่าง แล้วก็เห็นหินโบราณที่เป็นจุดที่เมื่อกว่า 2600 ปีมาแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะทรงประสูติ ณ จุดนี้ หินนี้ได้มีการสร้างตู้กระจกครอบไว้ แต่ก็สามารถมองทะลุไปได้ ฉันไม่รีรอที่จะหยิบกล้องออกมาถ่ายภาพ....แชะ สำเร็จ แถมรูปสลักหินรูปพระนางตอนเหนี่ยวกิ่งต้นสาละที่ติดอยู่บริเวณนั้นมาอีกหนึ่งรูป

ตำแหน่งที่ค้นพบใหม่และยืนยันว่าเป็นจุดที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ

บริเวณที่ขุดพบ

รูปสลักหินพระนางสิริมหามายาตอนประสูติจ้าชายสิทธัตถะ
เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ ฉันจึงรีบแทรกตัวออกมา แล้วรีบสาวเท้าตามหมู่คณะส่วนใหญ่ไป ซึ่งกำลังออกไปชมเสาพระเจ้าอโศกกัน ที่อยู่ด้านหลังของวิหาร เสานี้ ก็เหมือนเสาต้นอื่นๆ คือ หัวเสาได้หักหายไปแล้ว เหลือเพียงแต่ลำต้นซึ่งยังพอที่จะแสดงถึงความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของพระพุทธศาสนา เสาต้นนี้มีจารึกไว้ประมาณว่า พระเจ้าอโศกได้มาสักการะที่นี่ และได้สร้างเสาเอาไว้เมื่อปีที่ 20 ของรัชกาลของพระองค์ (ประมาณพุทธศตวรรษที่สาม)
บรรยากาศข้างนอกเริ่มโพล้เพล้ เนื่องด้วยเป็นเวลาบ่ายคล้อย ทำให้รู้สึกสงบจิตสงบใจได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญไม่มีพวกขอทานที่มาตามงอนง้อเหมือนในอินเดียให้เราต้องรำคาญใจ แต่อย่างว่าการมีขอทานเหล่านั้นก็ยิ่งเป็นการท้าทายให้เรารักษาใจให้มั่นคง ไม่หงุดหงิดขุ่นเคืองใจ (ซึ่งฉันมักจะแพ้ตัวเองเสมอ) การเดินทางระยะไกลครั้งสุดท้ายของเราคือ การเดินทางโดยเครื่องบินของสายการบิน Cosmic Air จากสนามบินเมืองไพราวา เนปาล เพื่อออกเดินทางสู่นครกาฐมาณฑุ เมืองหลวงของเนปาล ที่จริงในการเดินทางมากราบสังเวชนียสถานตามปกติแล้ว จะสิ้นสุดที่ลุมพินี แต่กรุ๊ปเราเป็นคณะพิเศษ จึงเดินทางต่อเข้ากาฎมาณฑุ เมืองหลวงของเนปาลด้วย ซึ่งเป็นอีกประเทศหนึ่งที่น่าเที่ยวมากๆ สถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาก็เยอะ แถมแหล่งShopping ก็โดนใจฉันมากเลย
พวกเราต้องกราบนมัสการลาพระอาจารย์ที่สนามบินนี้ ก่อนที่ท่านจะเดินทางโดยรถไฟกลับไปยังวัดไทยพุทธคยา เหลือเพียงพระคุณเจ้า 3 รูปที่เดินทางมากับพวกเราแต่แรก จะว่าไปเที่ยวบินนี้ก็ถือได้ว่าเป็นไฮไลท์ของทริปนี้ก็ว่าได้...
: บินสู่นครหลวงของเนปาล
เพียง 40 นาทีต่อมา พวกเราก็มายืนอยู่ ณ หน้าสนามบินตรีภูวัน นครกาฐมาณฑุ เพื่อรอรถที่จะรับเราไปยังโรงแรม Hyatt Regency แค่ด้านหน้าของโรงแรมก็ทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นกับความมีระดับห้าดาวของที่นี่ พอเดินเข้าพ้นประตูโรงแรมเข้ามาก็ยิ่งประทับใจ เพราะที่ล้อบบี้ มีพนักงานคอยแจกน้ำต้อนรับ บริเวณที่นั่งของล้อบบี้ก็มีรูปสถานที่จำลองที่สำคัญๆ ต่างๆ ของเนปาล ทั้งสถูปและเจดีย์แบบจำลอง ทำให้พวกเราอดไม่ได้ที่จะไปยืนข้างๆ เพื่อถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน เมื่อแยกย้ายกันไปตามห้องแล้ว ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ เพราะห้องฉันได้อยู่ชั้นหนึ่งซึ่งถ้าเปิดประตูระเบียงออกไปแล้วจะพบกับสวนของโรงแรมที่จัดเอาไว้อย่างสวยงาม แต่เนื่องจากว่าเรามาถึงกันมืดแล้ว เลยต้องระงับจิตระงับใจที่จะออกไปเดินเล่นในวันพรุ่งนี้เช้าแทน
มื้ออาหารเย็นวันนั้น ดูทุกคนต่างมีความสุขกันเป็นพิเศษ ฉันสัมผัสได้จากสีหน้าตอนที่ทุกคนถือจานเปล่าเพื่อที่จะไปตักอาหาร ทุกคนดูสนใจและตื่นตาตื่นใจกับอาหารมาก เพราะเป็นอินเตอร์จริงๆ ตักนู่นนิดนี่หน่อย ทั้งภาชนะ การตกแต่งของอาหารและสถานที่อันสวยงามของโรงแรมยิ่งทำให้บรรยากาศของมื้อเย็นนี้ดูจะเต็มไปด้วยความสุขมากขึ้น เฮ้อ...ยินดีต้อนรับเข้าสู่เนปาลค่ะ
วันที่ 5
: นมัสเตเนปาล
หลังจากมื้อเช้ามื้อแรกของเนปาล ฉันและน้องไม่รีรอที่จะรุดหน้าไปยังสวนของโรงแรมเพื่อสำรวจความสวยงามรอบๆ ที่สวนเขาได้ทำทางเดินเป็นหลายทาง ฉันและน้องได้เดินแยกกัน ฉันเดินไปและอ้อมไปทางรั้วของโรงแรมซึ่งติดกับบ้านเรือน บ้านแถวนั้นดูน่ารักและมีสีสันมาก เนื่องจากเป็นเวลาเช้าจึงเห็นคนกำลังออกจากบ้าน เพื่อที่จะเดินทางไปยังที่ทำงานบ้าง โรงเรียนบ้าง ฉันหันไปยังมุมๆ หนึ่งที่ไกลออกไปมาก ฉันเห็นยอดของเจดีย์ ตอนนั้นไม่ทราบว่าเป็นที่ไหน เพราะเจดีย์เนปาลนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และจะทำเหมือนกันในหลายๆ ที่ด้วย คือลักษณะขององค์เจดีย์เป็นรูปโอคว่ำ ที่เหนือขึ้นไปคือบัลลังค์นั้นจะมีสัญลักษณ์ที่สำคัญของเขาเลยคือ Buddha’s Eyes (พระเนตรของพระพุทธองค์) ตอนหลังจึงทราบว่าเป็นเจดีย์พุทธนาถที่เลื่องชื่อของเนปาลนั่นเอง

บ้านเรือนรอบโรงแรมที่พัก

มหาเจดีย์พุทธนาถ (Bodhnath) ที่เรามองเห็นได้จากโรงแรมในยามเช้า

พอตอนสายเราได้เข้าไปสักการะ..งดงามยิ่งนัก

เจดีย์ในเนปาล จะมีสัญลักษณ์พระเนตรของพระพุทธองค์ (Buddha's Eyes) ปรากฏอยู่เกือบทุกเจดีย์
เวลาบอกว่า 8 โมง ซึ่งนั่นคือเวลาที่รถออก ฉันจึงรีบวิ่งไปยังที่จอดรถทันที เส้นทางของเราในเช้านี้คือการเดินทางไปสักการะมหาเจดีย์เพาธนาถหรือพุทธนาถ เป็นพุทธเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเนปาล รอบๆ เจดีย์ยังมีสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของฉันไปจากความยิ่งใหญ่ของเจดีย์ นั่นคือ บรรดาร้านรวงขายของที่ระลึกต่างๆ แต่ฉันก็ตัดสินใจที่จะทำภารกิจหลักให้เสร็จเสียก่อนคือสักการะพระเจดีย์ เอ..หรือว่าเป็นภารกิจรองนะ? ฮ่าๆๆๆ ดังนั้นฉันจึงเดินตามหมู่คณะไป ก่อนอื่นพวกเราก็เดินชมความงามโดยรอบ และเวียนประทักษิณ ซึ่งก็เป็นโอกาสอันงามที่ฉันจะได้เล็งร้านที่น่าสนใจเอาไว้
รอบๆ ลานพระเจดีย์มีคนนำข้าวเปลือกมาตาก โดยเกลี่ยไปรอบๆพื้น ฉันยืนดูอยู่สักพักด้วยความสนใจ จากตรงจุดที่ฉันยืนนั้น เมื่อมองขึ้นไปยังเจดีย์จะเห็นคนที่เดินอยู่บนลานเวียนประทักษิณตัวเท่าไม้ขีด ก็ด้วยเพราะขนาดที่ใหญ่โตของเจดีย์เพาธนาถ อีกตรงหนึ่งที่ฉันชอบก็คือ แนวธงที่ติดห้อยลงมาจากยอดเจดีย์ถึงพื้น โดยเป็นทั้งสี่มุมของเจดีย์ สามารถสร้างสีสันให้กับเจดีย์ได้ไม่น้อย ชาวเนปาลบอกว่าเป็นธงแห่งพุทธมนต์ เมื่อลมพัดก็จะพัดพาความศักดิ์สิทธิ์แห่งมนต์นั้นมาห่อหุ้มคุ้มครองตัวเราและบ้านเมืองไว้ พวกเขาจึงนิยมติดธงบูชาพระเจดีย์กันมาก เมื่อชมความงามของเจดีย์จากเบื้องล่างแล้ว ก็เดินขึ้นบันไดเพื่อที่จะไปชมความงามจากด้านบนบ้าง ข้างบนนั้นทัศนียภาพดีมากๆ ฉันสามารถมองเห็น Buddha’s Eyes ได้อย่างจุใจและเต็มตา ทั้งยังสามารถมองเห็นบ้านเรือนรอบได้ๆ ด้วย (มองเห็นร้านค้าที่เล็งไว้) ที่สำคัญเหนือกลุ่มเมฆสีขาวนั้น ถ้าสังเกตดีๆ เราจะเห็นเทือกเขาหิมาลัย ที่ทอดตัวยาวตามเส้นขอบฟ้า สวยงามจริงๆ ถึงแม้ว่าจะมองเห็นได้ไม่ชัดเท่าไหร่นัก เพราะฟ้าไม่ค่อยเปิดมาก แต่ก็สร้างความประทับใจให้ฉันได้ไม่น้อย


ธงแห่งพุทธมนต์ เมื่อลมพัดก็จะพัดพาความศักดิ์สิทธิ์แห่งมนต์นั้นมาห่อหุ้มคุ้มครองเราไว้
ที่มุมของเจดีย์ ฉันเห็นคู่รักนั่งดูวิวด้วยกัน ที่นี่นอกจากจะเป็นที่พึ่งทางใจแล้ว ก็คงเป็นที่พักผ่อนทางกายของคนที่นี่ด้วย แต่เป็นค่านิยมของผู้คนแถบนี้อยู่แล้วที่จะไม่ทำอะไรกันเกินเลย มีกาลเทศะตามสถานที่ ภาพคู่รักที่เห็นจึงเป็นส่วนหนึ่งซึ่งกลมกลืนกับบรรยากาศที่นี่ไป พวกเราเดินไปยืนที่จุดๆหนึ่งซึ่งเป็นจุดสักการะพระพุทธรูป ตรงนั้นมีถ้วยซึ่งภายในมีเหมือนน้ำสีแดงๆ คนแถวนั้น ซึ่งน่าจะเป็นผู้ดูแลเจดีย์แห่งนี้เขาเอานิ้วจิ้มน้ำแดงๆนั่น แล้วนำมาเจิมให้ ด้วยหน้าตาแบบลูกผสมหลากหลายเผ่าพันธุ์ที่มีมาแต่เดิมของฉันแล้ว พอแต้มสีแดงที่หน้าผากยิ่งทำให้ฉันละม้ายคล้ายคนท้องถิ่นของที่นั่นเข้าไปอีก
หลังจากเดินดูความยิ่งใหญ่และวิวโดยรอบแล้วฉันจึงกราบเจดีย์และเดินลงมาข้างล่าง เพื่อจะบรรลุภารกิจที่คิดไว้ตั้งแต่ต้น ฉันเดินแยกออกมากับน้องและรีบมุ่งหน้าไปยังร้านค้าที่เล็งเอาไว้ ของที่นี่ราคาไม่ถูกมาก เพราะเค้าคงตั้งราคาไว้ให้นักท่องเที่ยว ฉันจึงต้องแวะเข้าหลายร้านเสียหน่อยเพื่อเปรียบเทียบราคา เมื่อสำเร็จสมประสงค์แล้ว ฉันก็ได้เดินตามกลุ่มซึ่งกำลังเข้าไปในเวิ้งๆหนึ่ง ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องตามสไตล์เนปาล
จากนั้นพวกเราก็ออกเดินทางเพื่อชมทัศนียภาพรอบๆ เมือง ซึ่งงานแกะสลักประดับบ้านเรือนและสถานที่สำคัญต่างๆ เค้าจะทำจากไม้ทั้งสิ้น รวมทั้งยังเป็นที่มาของชื่อเมืองกาฐมาณฑุ คือมณฑปที่ทำด้วยไม้นั่นเอง ฝีมือของเขาประณีตมาก ที่สำคัญคือว่าทางการเขารักษาโบราณสถานต่างๆ ไว้ดีมาก เพราะว่างานไม้นั้นมักจะผุผังไปได้ง่าย แต่ประเทศเขาอากาศแห้งและฝนตกน้อย จึงช่วยไม่ให้ไม้ของเขาผุพังได้เร็วเหมือนบ้านเรา

ในมณฑปไม้โบราณที่ตั้งอยู่ใจกลางนครกาฎมาณฑุ อันเป็นที่มาของชื่อเมือง มีรูปแกะสลักหนุมานที่เขาสักการะบูชา

รูปสลักพระพิฆเณศ เป็นที่สักการะบูชาด้วยเช่นกัน

ร้านขายของที่ระลึก

ฉันซื้อตุ๊กตาหุ่นกระบอกของเขากลับมาเป็นที่ระลึกด้วย
พวกเราเดินไปหยุดอยู่บริเวณที่ขายสินค้ากลางเมือง เขาขายกันกลางแจ้ง บางคนก็ได้ของติดไม้ติดมือกันไป อย่างว่าซื้อของแถบนี้ก็ต้องมีฝีปากในการต่อรองราคากันด้วย เพราะราคาที่เขาตั้งไว้นั้นบางทีมากกว่าเป็นสิบเท่าเลยก็มี เวลามีค่ามากสำหรับเราในวันเกือบสุดท้ายนี้ ล้อของรถบัสจึงหมุนต่อเนื่องและไปหยุดหมุนที่บริเวณพระมหาเจดีย์สวยัมภูวนาถ ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก เจดีย์นี้คล้ายกับเจดีย์เพาธนาถแต่ต่างกันที่ปล้องไฉนบนยอดเจดีย์เป็นทรงกลม แต่เจดีย์เพาธนาถเป็นทรงเหลี่ยม เจดีย์นี้มีอายุมากกว่าสองพันปี ประดิษฐานอยู่เนินเขากลางหุบเขากาฐมาณฑุ มีชื่ออีกอย่างว่า Monkey Temple คำตอกย้ำว่าเป็น Monkey Temple ก็วิ่งมาคอยต้อนรับพวกเราแล้ว เจ้าจ๋อน้อยใหญ่ มาเจ๋ออย่างไม่กลัวคนตลอดทางเดินขึ้นไปยังเจดีย์อันศักดิ์สิทธิ์นี้


พระมหาเจดีย์สวยัมภูวนาถ มีอายุมากกว่าสองพันปี เจดีย์นี้คล้ายกับเจดีย์เพาธนาถแต่ต่างกันที่ปล้องไฉนบนยอดเจดีย์เป็นทรงกลม แต่เจดีย์เพาธนาถเป็นทรงเหลี่ยม

เจดีย์มีชื่อที่ชาวบ้านเรียกว่า Monkey Temple
เนื่องจากเป็นที่สูงอากาศด้านบนจึงมีลมโกรกสบาย และแล้วก็ถึงบันได้ขั้นสุดท้าย การต้านแรงโน้มถ่วงในครั้งนี้เนื่องจากว่าไม่สูงมากนัก ฉันจึงไม่เหนื่อยหอบมาก และยังมีแรงพอที่จะเดินไปหมุนลูกล้อที่มีอยู่รอบๆ พระเจดีย์ได้ ลูกล้อนี้ ว่ากันว่าภายในบรรจุพระคัมภีร์อยู่ การได้ไปหมุนจึงเหมือนกับเป็นการหมุนวงล้อของพระธรรม และเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองด้วย แต่ฉันก็หมดความอดทนเสียก่อนที่จะหมุนได้ครบหมด เพราะฉันสนใจกับการบันทึกภาพเสียมากกว่า องค์พระเจดีย์มีขนาดเล็กกว่าพระมหาเจดีย์เพาธนาถมาก แต่ลวดลายที่ประดับประดานั้นมีความวิจิตรมากกว่า ได้อรรถรสในการรับชมคนและแบบ

กงล้อบรรจุพระคัมภีร์ รอบพระเจดีย์

ที่จุดเทียนสักการะ หน้าพระเจดีย์สวยัมภูวนาถ
ต่อกันด้วยภาคบ่ายพี่ไกด์ของเราพาไปยังย่านใจกลางนครกาฐมาณฑุ ไกด์ของเรามีนามสกุลว่า “ศากยะ” เขาอธิบายว่าบรรพบุรุษของเขามาจากศากยวงศ์ซึ่งเป็นราชสกุลของพระพุทธเจ้า คนที่จะใช้นามสกุลศากยะได้นั้น จะต้องแต่งงานกับศากยะด้วยกันเท่านั้น ถึงแม้ผู้ชายที่นามสกุลศากยะไปแต่งงานกับหญิงนามสกุลอื่น เมื่อมีลูกๆ ก็ไม่มีสิทธิใช้ศากยะ เขาจึงภาคภูมิใจกับความเป็นเชื้อสายวงศ์สกุลของพระพุทธเจ้าเป็นยิ่งนัก และมีผู้ที่ใช้นามสกุลนี้ในเนปาลประมาณสามหมื่นคน
จุดไคลแมกซ์ของที่นี่คือ หนุมานโธก้า ถ้าผู้ที่เคารพแล้วบูชาหนุมานนั้น ถือว่าพลาดไม่ได้ที่จะมาไหว้หนุมานที่เก่าแก่นี้ ซึ่งลักษณะของหนุมานโธก้านี้ ไม่ได้เป็นไปตามที่คนไทย จินตานาการไว้ เพราะเมื่อฉันไปเห็นถ้าไม่มีใครบอกว่าเป็นหนุมานฉันเองก็คงไม่ทราบ หนุมานโธก้าที่ฉันเห็นนั้นมีผ้าสีแดงคลุมและมีดอกไม้อยู่รอบๆ แสดงว่าเป็นที่เคารพและสักการะแก่คนเนปาลอย่างไม่ขาดสาย ที่น่าประหลาดใจคือปากหนุมานบวมเจ่อ มาทราบทีหลังว่าหญิงใดต้องการขอให้สามีของตัวเองแข็งแรงก็จะมาอธิษฐานกับหนุมานโธก้าโดยเอาอาหารป้อนใส่ปาก จึงเป็นที่มาของปากหนุมานดังในภาพ

หนุมานโธก้าที่หญิงเนปาลมาอธิษฐานขอให้สามีแข็งแรง


เหล่านักพรตเนปาลี
วันที่ 5
: ชมวังกุมารีหลวง
ไม่ไกลกันออกไปเราก็เดินไปยังบริเวณพระราชวัง มีขนาดเล็กกว่าปกติ เป็นเทวสถานของกุมารี ซึ่งจะไม่ได้ออกมาให้เราดูได้ตลอดเวลา แต่จะออกมาตามใจท่าน แต่โชคดีที่ไกด์ของเรา เป็นศากยวงศ์ ก็คือว่ามีเชื้อสายเดียวกันกับกุมารีด้วยจึงได้สิทธิพิเศษในการเข้าพบกุมารี ชาวเนปาลนั้นนับถือกุมารีมาก เขาถือว่าเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง วิธีการเลือกกุมารีมีวิธีการที่ละเอียดซับซ้อนมาก เท่าที่ฉันทราบมาคร่าวๆ ก็คือว่า เขาจะหาเด็กสาวของตระกูลศากยะอายุประมาณ สามถึงห้าปีมาทดสอบ เช่นให้อยู่ในห้องมืด โดยมีรูปเทพเจ้าที่น่ากลัวต่างๆ เสียงหวีดร้องโหยหวน ถ้าเด็กคนไหนร้องไห้ก็ถือว่าไม่ผ่านการทดสอบ จนเหลือหนึ่งเดียวเด็กคนนี้ถือว่าเป็นเทพเจ้าตัวจริง
กุมารีนั้นมีอยู่หลายองค์ด้วยกันตามเมืองต่างๆ แต่กุมารีของกาฐมาณฑุนั้นเป็นกุมารีหลวง คือผู้คนจะให้ความสำคัญ ให้ความเคารพและมียศมากที่สุด ขนาดที่ว่ากษัตริย์ของเนปาลเองยังให้ความคารพ กุมารีนี้จะอยู่ในตำแหน่งไปจนถึงเมื่อร่างกายมีเลือดออกมา (มีประจำเดือน) หรือแม้จะโดนมีดบาดแผลถลอกก็เช่นกัน ก็จะพ้นจากการเป็นกุมารี เมื่อนั้นก็จะถึงคราเลือกกุมารีองค์ต่อๆไป

กุมารีหลวงของนครกาฎมาณฑุ ที่หน้าผากวาดเป็นรูปดวงตาที่ อันหมายถึงตาของเทพเจ้า
อย่างไรก็ตามการที่พ่อแม่มีลูกเป็นกุมารี ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วเวลาหนึ่ง ก็ถือว่าได้รับเกียรติมาก ดังนั้น พ่อแม่จึงผลักดันลูกของตนเองมาก เมื่อได้เป็นกุมารีแล้ว ทั้งครอบครัวก็จะได้ย้ายมาอยู่ที่พระราชวังกับกุมารีด้วย ฝ่าเท้าของกุมารีนั้นจะไม่ได้โดนพื้นเลย กุมารีจึงถูกเรียกอีกอย่างว่า “เทวดาเดินดิน” เมื่อพี่ไกด์ของเราไปเจรจากับครอบครัวของกุมารีแล้ว สักพัก กุมารีก็ได้ออกมาปรากฏให้พวกเราได้เห็นบนหน้าต่างชั้นสองของวังกุมารี เมื่อท่านปรากฏออกมา ทุกคนต่างทำเสียงชื่นชม และประทับใจท่านมากๆ หน้าตาของพระองค์น่ารักมากๆๆ ดูแล้วรู้สึกชื่นใจ ทุกคนต่างอมยิ้มในความน่ารักของท่าน อายุของท่านตอนนั้น น่าจะประมาณ 7 ปี แต่ข้อแม้ที่สำคัญในการมาชมกุมารีคือ ห้ามบันทึกภาพใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงต้องเก็บกล้องเอาไว้อย่างดี เมื่อกุมารีเดินกลับเข้าไป ใบหน้าของฉันและอีกหลายๆ คนก็ยังคงมีรอยยิ้มที่ค้างอยู่ ความรู้สึกก็คงคล้ายๆ กับคนเนปาลคือ แค่ได้เห็นท่านก็ชื่นใจ ท่านเหมือนเป็นกำลังใจให้ผู้คนเนปาลได้ดำเนินชีวิตอย่างเข้มแข็งต่อไป


หน้าต่างบานกลางชั้นบน คือบานที่กุมารีออกมาปรากฏ

ประตูวังโบราณ

วัวที่ชาวฮินดู ในเนปาลเคารพ เพราะเป็นพาหนะของพระศิวะ
และแล้วก็ถึงเวลาที่สาวๆ ตั้งตารอ คือ เวลาที่ทางทัวร์จะให้เวลาอย่างอิสระ เพื่อที่จะให้เลือกชมสินค้าพื้นเมืองตามใจชอบ สินค้าพื้นเมืองที่พลาดไม่ได้เลยคือ ผ้า Pashminaอันเลื่องชื่อ แต่ก็ต้องดูดีๆ กันหน่อย อย่างคำกล่าวที่ว่าตาดีได้ตาร้ายเสีย ฉันแยกเดินช้อปกับคุณแม่ โดยคุณแม่ไปกับคุณยายไปได้ผ้าคลุมไหล่สวยๆ มาหลายผืนซึ่งบางเบามากขนาดดึงรอดผ่านแหวนได้ทั้งผืน ส่วนฉันไปกับน้อง ฉันได้กระเป๋ามาหลายใบ เป็นกระเป๋าที่ทำมาจากขี้ไหม และเป้ที่เหมือนกับเส้นไหมพันกันยุ่งๆ ออกมาน่ารักดี แล้วก็ได้ผ้าพันคอที่ถูกใจอีกหลายผืน เนื่องจากราคาสามารถต่อรองได้ ฉันจึงเพลิดเพลินกับการเลือกซื้อของมาก
ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะหมดไปเร็วเสมอ ตะวันได้ตกไปนานจนมืด นั่นหมายถึงเวลาที่เราต้องขึ้นรถเพื่อกลับไปยังโรงแรมก็ได้มาถึงแล้ว ถึงตัวฉันจะขึ้นรถแล้ว แต่ใจฉันได้ติดอยู่ตามร้านค้าพื้นเมืองเหล่านั้น เมื่อตรวจดูจำนวนเงินที่เหลืออยู่จึงสามารถที่จะดึงใจฉันกลับเข้ามาได้ เหตุด้วยจำนวนเงินที่ร่อยหรอนี่เอง...
คืนนี้ ฉันนอนดึกเป็นพิเศษเพราะว่าเป็นคืนสุดท้าย จึงนั่งคุยกับเพื่อนๆ พี่ๆ ที่เดินทางไปด้วยกันเกือบอาทิตย์ แต่กว่าจะเริ่มกล้าที่จะคุยกันก็จวนจะกลับแล้ว เลยรู้สึกเสียดายเวลานิดหน่อยที่พอได้คุยกันสนุกสนานก็เกือบวันสุดท้ายแล้ว
วันที่ 6 วันสุดท้าย
: เมืองมรดกโลก “บัคตาปูร์”
เช้าวันรุ่งขึ้น เช้าวันสุดท้ายที่เนปาล พวกเราไปเยี่ยมเมืองมรดกโลก “บัคตาปูร์” ความสวยงามของเมืองนั้นไม่แพ้นครกาฐมาณฑุเลยทีเดียว ตามโปรแกรมแล้วเราจะได้ไปชมพระราชวังโบราณที่มีประตูทองคำและหน้าต่าง 55 บาน แต่น่าเสียดายที่พวกเราไปในช่วงที่กำลังซ่อมแซม เลยได้เห็นแต่อุปกรณ์ก่อสร้างเท่านั้น เมืองนี้ศิลปกรรมส่วนใหญ่ของเขาก็ทำด้วยไม้เช่นเดียวกับเมืองกาฐมาณฑุ จากนั้นเราก็ไปชมเทวาลัยนายะทาโปลา สูง 30 เมตร ซึ่งเป็นศาสนาสถานที่สูงที่สุดในเนปาล ภายในมีเสาค้ำลงสี 108 ชิ้น แสดงภาพเทวีในปางต่างๆ ตัววัดตั้งอยู่บนฐานเขียงห้าชั้น มีรูปปั้นหินขนาดใหญ่ขนาบข้าง คอยดูแลรักษาสถานที่ เชื่อกันว่ารูปปั้นที่ถัดขึ้นไปแต่ละคู่มีอำนาจมากกว่าคู่ที่ถัดลงมาสิบเท่า

เทวาลัยนายะทาโปลา

บริเวณเมืองมรดกโลก บัคตาปูร์
เมืองที่นี่ค่อนข้างสะอาด ที่สำคัญยังขึ้นชื่อเรื่องการทำเครื่องปั้นดินเผาด้วย ตามตรอกซอกซอยของที่เมืองนี้ มีร้านค้าอยู่มากมายให้เดินเลือกซื้อกันไม่หวั่นไม่ไหว ราคาย่อมเยากว่าที่ตลาดเมื่อคืนเสียด้วย ไม่รู้ว่าจะโทษตัวฉันเองหรือโทษร้านค้าดี เพราะฉันแทบจะไม่ได้สนใจบ้านเมืองเท่าไหร่นัก ก็เอาเวลาที่จะต้องพิจารณารายละเอียดความสวยงามของเมืองไปทดแทนกับเวลาช้อปปิ้งแทน ฉันเดินรั้งท้ายของกลุ่ม เพราะมัวแต่เสียเวลากับการถามไถ่ราคา และตัดสินใจ สักพักฉันก็ได้ยินเสียงเรียกของคุณแม่ให้รีบไปขึ้นรถ ฉันจึงรีบกุลีกุจอวิ่งตามไปทันที แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันหน้าไปกล่าวคำลากับเมืองที่สวยงามแห่งนี้
เวลาเที่ยงครึ่งของวันสุดท้ายพวกเราก็มารอเช็คอินกันที่สนามบินตรีภูวันกันแล้ว การมาสนามบินครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อที่จะต่อเครื่องไปยังสถานที่อื่นๆ แต่มารอเครื่องเพื่อที่จะไปยังสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์และอบอุ่นที่สุด นั่นคือประเทศไทย ความทรงจำตลอดเกือบหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาเต็มเอียดทั้งในสมุด ในกล้องและในความทรงจำส่วนตัวของฉันเอง ความสนุก ความประทับใจ เกร็ดความรู้เล็กน้อยๆ ต่างๆ ที่ฉันได้มานั้นก็ถูกจัดและเรียบเรียงลงในหน้ากระดาษนี้แล้ว
การเดินทางไปสังเวชนียสถานส่วนใหญ่จะมีแต่ผู้ใหญ่ไปกัน มีผู้น้อยอย่างฉันไม่มากนักที่ได้ไป แต่ไปแล้วสนุก ไม่ลำบากอย่างที่เล่าลือ เพราะผู้ว่าการรัฐพิหารคนปัจจุบันเป็นชาวพุทธ พุทธคยาอยู่ในรัฐพิหาร ทางการจึงตัดถนนใหม่ ทำให้บางแห่งแทนที่จะนั่งรถ 7 ชั่วโมงก็เหลือเพียง 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะอีกทั้งเดี๋ยวนี้การบินไทยเปิดบินไป คยาและพาราณสี ทุกสัปดาห์ แต่ในหน้าร้อนลดลงเหลือสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จากที่บินในหน้าหนาวอาทิตย์ละ 4 ครั้ง คงเป็นเพราะหน้าร้อนคงร้อนมาก เห็นบอกว่าถึง 52 องศา จึงบินน้อยลง ฉันคิดว่าเราชาวพุทธอย่างน้อยในชีวิตนี้น่าจะมีโอกาสได้ไปกราบสังเวชนียสถาน ณ ดินแดนของพระพุทธองค์สักครั้งหนึ่ง
เรื่องราวทั้งหมดนี้คงต้องขอบคุณป้าตู่ (คุณนารีลักษณ์ วิมุกตานนท์ ผู้อำนวยการใหญ่การบินไทย) ที่ได้จัดรายการท่องแดนพุทธภูมินี้ขึ้นมาให้พวกเราได้ช้อปทั้งบุญ ช้อปทั้งของพื้นเมืองสวยๆ งามๆ อย่างโดนใจ
...ต้องขอบคุณป้าปิ๋ว (คุณสุชาดา ยุวบูรณ์) ที่มองเห็นฉันจดอะไรขยุ้กขยิ้กอยู่ในสมุดระหว่างที่นั่งอยู่บนรถบัส ถึงได้รู้ว่าเป็นบันทึกของการเดินทางทริปนี้และเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันจดบันทึกนี้ได้ตลอดรอดฝั่ง
..ขอบคุณคุณแม่ที่ช่วยเกลาข้อความให้
..ขอบคุณทุกท่านทีอ่านมาถึงบรรทัดนี้และโพสต์มาให้กำลังใจ
.. และที่สำคัญที่สุดก็คงจะเป็นคุณยายที่ต้องกราบขอบพระคุณ เพราะถ้าไม่ใช่จากที่คุณแม่จะพาคุณยายมากราบสังเวชนียสถานแล้ว ฉันและน้องก็คงไม่ได้มาเที่ยวสนุกๆ ยังงี้กับคุณยาย ได้ทั้งบุญ ได้ทั้งท่องเที่ยว ทั้งยังได้เจอคุณลุง คุณป้าและพี่ๆ ที่น่ารักอีกหลายคน...นมัสเตค่ะ
เอกสารอ้างอิง - พุทธประวัติจากสังเวชนียสถานในอินเดีย ของ คุณไพโรจน์ (ลออ) คุ้มไพโรจน์