
อรหันต์ซัมเมอร์
#1
โพสต์เมื่อ 10 April 2008 - 08:11 AM
อย่าดูถูกไปนะคร๊าบ ขนาดเรื่อง THE OTHER ยังทำให้ใครบางคนในที่ทำงาน นิมนต์พระที่มาบิณฑบาตรหน้าบ้าน เข้ารับสังฆทานในบ้านทุกเดือน เพราะสงสารวิญญาณติดที่กลัวไม่ได้รับบุญแล้วไปผุดไปเกิดไม่ได้
ได้ความว่าอย่างไร เหมาะสมแค่ไหน เหมาะจะพาลูกหลานไปดูหรือเปล่า จะมารายงานให้ทราบคืนนี้ครับ
แล้วถ้าใครอยากไปดูด้วยกัน และพร้อมที่จะเลี้ยงข้าวผมด้วย ก็เรียนเชิญนะครับ
#2
โพสต์เมื่อ 10 April 2008 - 08:50 AM
เดี๋ยวนี้หากมีหนังเกี่ยวกับพระภิกษุเข้าฉายผมไม่กล้าไปดูเลยครับ ขนาดเพื่อนชวนไปดูผมยังไม่ไปเลย ยอมผิดใจเพื่อนดีกว่า - -"
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#3
โพสต์เมื่อ 10 April 2008 - 09:35 AM
#4
โพสต์เมื่อ 10 April 2008 - 12:29 PM
#5
โพสต์เมื่อ 10 April 2008 - 12:53 PM
คุณเคยเข้าวัด กับคุณBlissinessman ครับ ขอบคุณที่เตือนสติผมนะครับ
การอนุโมทนาบาปนั้น คือ การยินดีในสิ่งผิดที่เขากระทำ ผมไม่ได้ชื่นชมยินดีในสิ่งที่เขากระทำ ที่ผมต้องเข้าไปดูเพราะมีหลายคนใกล้ตัวผมที่ยังไม่เข้าใจในเรื่องบุญ-บาปมากนัก ต้องการดูมาขอคำแนะนำว่าควรดูหรือไม่
ถ้าจะบอกว่า หนังละคร ทำให้ใจฟุ้งซ่านห้ามดูซะเลย มันก็ถูก แต่ในบางครั้ง การเปิดใจคนบางกลุ่มให้ยอมรับทีละเล็กละน้อยจากสื่อหลายๆทาง มันก็จะง่ายกว่าการที่เราลากเขามาเข้าวัดแล้วจับนั่งสมาธิเลยนะครับ
อย่างน้อยๆ ผมก็บวชมาแล้ว มีพระอาจารย์ที่เมตตาอบรมสั่งสอนมาอย่างดี ผมก็คงพอที่จะแยกแยะและให้คำแนะนำกับเนื้อหาของหนังได้ในระดับหนึ่ง อะไรที่ดีผมก็จะได้แนะนำให้ทำตาม อะไรที่ไม่ดีไม่เหมาะสมผมก็จะอธิบายให้เข้าใจ
ส่วนการแต่งกายเลียนแบบพระนั้น ผมว่าอยู่ที่เจตนาและการนำเสนอมากกว่า ถ้ามาแต่งสงฆ์แล้วทำล้อเลียนตลกโปกฮา อันนี้ก็รับกันไปเต็มๆนะครับท่าน(รับอะไรคงไม่ต้องบอก) แต่ถ้าแต่งแล้วเพื่อแสดงออกให้เหมาะสมแก่การเป็นพระ เพื่อนำเสนอในแง่มุมที่เป็นพระที่ถูกต้องเหมาะสม ผมว่าไม่น่าจะเป็นอะไรนะ เพราะการใช้พระจริงมาแสดงร่วมน่าจะไม่เหมาะสมกว่าอีกนะครับ
ไม่รู้นะครับ ผมอาจจะเปิดใจกว้างเกินไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าอย่างนี้แล้วกันนะครับ กระทู้นี้จะจบลงตรงนี้ ผมจะไม่เข้ามาเล่าว่าเป็นยังไงแล้วกัน แต่ถ้าใครยังสนใจในมุมมองเรื่องนี้อยู่ก็ขอให้ฝากข้อความไว้ที่ข้อความส่วนตัวของผมละกัน
ขอบคุณทุกคนมากครับ ไปแล้วๆ
อนุโมทนาบุญด้วยครับ
ปิดกระทู้
#6
โพสต์เมื่อ 10 April 2008 - 07:04 PM

#7
โพสต์เมื่อ 10 April 2008 - 07:28 PM
#8
โพสต์เมื่อ 10 April 2008 - 08:48 PM
หลังจากที่ดูจนจบเรื่อง โดยไม่มีการลำเอียงแต่อย่างใด ขอบอกว่า ถ้ามีเงินเหลือใช้เหลือเฝือก็ไปดูกันได้ครับ สนุกพอสมควร แต่ไม่ถึงกับฮาโรงแตก พอจะมีสาระให้ได้ติดมือมานิดๆหน่อยๆ แต่ถ้ามีตังค์พอดีๆเอาไปซื้อสื่อธรรมะของหลวงพ่อดีกว่าครับ
ไม่ขอพูดถึงชื่อเรื่องนะครับ เพราะจะเป็นเรื่องที่พูดกันไม่รู้จบ แต่จากเนื้อเรื่องแล้ว ไม่เหมาะสมจริงๆครับ
เนื้อหาของหนังค่อนข้างสับสน ไม่ค่อยมีที่มาที่ไปให้เข้าใจสักเท่าไหร่ เหมือนกับว่าบทหนังน่าจะยาวสักแปดชั่วโมงแล้วตัดมาฉายแค่ชั่วโมงกว่าๆ ไม่ค่อยแน่ใจว่าหนังต้องการสื่ออะไรกันแน่ แต่ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจ...มั๊ง
บทพระ ไม่มีอะไรน่าตำหนิหรือนอกลู่นอกทาง นอกจากพระหนุ่มๆดูจะเป็นฆราวาสมากไปหน่อย (เอ...หรือเราเจอแต่พระที่เป็นพระกันจนชินหว่า)
บทเณร ดูจะเกินเลยไปนิดนึง ดูเหมือนจะเอาความคิดของผู้ใหญ่ยัดเยียดเข้าไปในบทมากไปหน่อยจนบทของเด็กดูเกินเด็ก แก่นเกิน เพ้อฝันเกิน จนบางบทดูก้าวร้าวทีเดียว ไม่เหมาะสม...ไม่เหมาะสม...
สรุปว่า ถ้าจะพาเด็กไปดู ผู้ใหญ่ควรให้คำแนะนำอธิบายทำความเข้าใจกับเด็กๆด้วยครับ
นึกว่าจะมีหนังที่ให้สาระดีๆบ้างแล้วเชียว เสียดายจัง
แต่ถ้าใครที่มีความสามารถเขียนบทละครทีวีได้ก็น่าจะลองเอามาต่อยอดดูนะครับ ปรับให้เหมาะสม ก็น่าจะได้ละครน่ารักๆดีๆเอาไว้ดูกันได้ครับ (เคยทำแต่กำกับละครเวที ไม่ถนัดด้านทีวีหรือหนังครับ)
จบ !!!
ปล. คุณท่านสิริปโภครับ มายั่วให้อยากแล้วจากไปแบบนี้ มีเคืองนะครับ เฮอะ...ไม่ง้อก็ได้ เดี๋ยวเราสั่ง BenTo Set ไปถวายเพลพระดีกว่า เผื่อคนใจร้ายจะกลับใจมาเลี้ยงข้าวเรา เหอ เหอ
ปล.(อีกครั้ง) ถ้าจะให้เพื่อนชาวต่างชาติดูหนังแล้วเข้าใจเรื่องราวในพระพุทธศาสนาบ้าง ลองให้ดูเรื่อง Six Sense หรือ The Other นะครับ แล้วเราอธิบายให้เขาเข้าใจหลักของพระพุทธศาสนาได้เลยง่ายๆ
มีอะไรชี้แนะเชิญได้เลยนะครับ
อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ
#9
โพสต์เมื่อ 10 April 2008 - 09:07 PM
เรื่องแบบนี้ เมื่อเมียงมองอย่างเปิดกว้าง เป็นกลางในทางกฎแห่งกรรม เป็นหลัก
อาจพิจารณาเรื่อง เจตนา + ผลกระทบทั้งสองด้าน คือ ได้ และ เสีย ก็สมควรนะครับ
๑ ) เจตนา ( เหตุ )
ฝ่ายคณะสร้างภาพยนต์ นักแสดง รวมถึงคนสนับสนุนที่อยู่ในวงการอุตสาหกรรมภาพยนต์ด้วย
ถ้าปฐมเจตนา สะอาด ไม่มุ่งสร้างภาพเสียหาย บิดเบือนคุณของพระรัตนตรัย
เีพียงเป็นเรื่องทำมาหากิน ยังไม่ใช่ มิจฉาอาชีพ ๕
อีกทั้งบทภาพยนต์และระหว่างการสร้างภาพยนต์ การแสดง การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การตลาด
ก็ไม่คิด หรือก่อให้เกิดการลบหลู่ ดูหมิ่น ปรามาสสิ่งที่เกี่ยงเนื่องกับพระรัตนตรัย
ผมคิดว่า ก็ไม่ได้เป็นบาปกรรมอะไร
เพราะเจตนา คือ มโนกรรม ไม่ได้มาจากอกุศลจิต
พอจำได้ว่า เคยมีภาพยนต์เกี่ยวกับพระธุดงค์ ที่สงบเสงื่ยมสง่างาม น่ากราบไหว้
ถ้าใครชมแล้ว รู้สึกศรัทธาในความเป็นภิกษุ ก็น่ามีคุณมากกว่ามีโทษ ( แต่ผมไม่ได้ชมภาพยนต์เรื่องนี้ )
แต่
ภาพยนต์ที่สร้างเพื่อเชิดชูเกียรติคุณ ของพระรัตนตรัยอย่างแท้ จะมีสักเรื่องไหม
เพราะเดี๋ยวนี้ มีแต่ภาพยนต์เพื่อการบันเทิงและธุรกิจ ทำมาหาเงินเลี้ยงชีพ และชื่อเสียงในทางโลกียะ ซะมากกว่ากระมัง
และภาพยนต์แบบนี้ มีีโอกาสก่อให้เกิดกุศลจิต น้อยนัก
ฝ่ายผู้ชม
ก่อนชมภาพยนต์ ละคร โดยมากคงไม่มีเจตนาในทางอกุศลอะไร
ฉะนั้น ก็ไม่น่าเป็นบาปกรรมอะไร
๒ ) ผลกระทบที่ตามมา ( ผล ) ไม่มองเรื่องตัวเลขรายได้ เศรษฐกิจ
ซึ่งก็มีทั้งสองด้าน ( ทวิลักษณ์ ) ในที่นี้หมายถึง ภาพยนต์เรื่องนั้น ๆ
ก่อให้เกิดกุศลจิต หรือ อกุศลจิต ต่อพระรัตนตรัย ของผู้คนในสังคม
ใครชมแล้ว ยิ่งศรัทธาในพระรัตนตรัย หรือยิ่งลดความศรัทธา ในพระรัตนตรัย
แม้ใครที่ยังไม่ชม แค่ร่วมวิพากษ์วิจารณ์ ภาพยนต์เรื่องนั้น ๆ
เขาวิพากษ์ วิจารณ์ ในทางไหน ก่อกุศล หรือก่ออกุศล
ถ้าผลกระทบออกมาในทางกุศล มากกว่า ก็น่าอนุโมทนา สาธุ
ผมคิดว่า ถ้าตัวเอง ยังไม่ได้ชมภาพยนต์เรื่องนี้ และยังไม่ชัดเจนเรื่องผลกระทบในทางเสียหายต่อพุทธาจักร
ผมก็ไม่ขอต่อต้่านอะไร แต่ก็ไม่สนับสนุนภาพยนต์แนวสนุกสนาน บันเทิง มาเกี่ยวข้องกับพระสงฆ์องค์สามเณร
เท่าที่เจ้าของกระทู้แสดงทัศนะมานั้น ผมคิดเองว่า
การไปดูภาพยนต์เรื่องนี้ จะเกิดประโยชน์ มากกว่า โทษแก่เจ้าของกระทู้ มากกว่าครับ
และถ้าสามารถใช้โยนิโสมนสิการ ทำความเข้าใจถูก ให้แก่คนรู้จักที่เข้าใจผิดตอพระรัตนตรัย ก็จะเป็นบุญกุศลต่อเจ้าของกระทู้เองครับ
ป.ล. แต่ถ้าเรื่อง ชื่อภาพยนต์ โดยส่วนตัวผมคิดว่า ไม่เหมาะสม ไม่ควรใช้ชื่อนี้
เพราะ นำของที่ควรไปคู่กับของไม่ควร นั้นไม่ควรครับ
#10
โพสต์เมื่อ 10 April 2008 - 10:10 PM
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#11
โพสต์เมื่อ 10 April 2008 - 10:15 PM
แต่...อย่าลืมว่ากฏแห่งกรรมเค้าไม่ได้ต่างจิตต่างใจแบบเราๆ เพราะใช้บรรทัดฐานเดียวกัน

#12
โพสต์เมื่อ 10 April 2008 - 11:48 PM
ความคิดในกระทู้สู้ความรู้จริงของครูไม่ใหญ่ไม่ได้จ้า....
ความคิด กับ ความจริง อาจจะไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
ถ้าศึกษาธรรมะกันจริงๆ
"สัมมาทิฏฐิ" มีอยู่หัวข้อนึง...ที่บอกว่า "เชื่อว่าโลกนี้มี"
ขยายความคือ เชื่อว่าโลกนี้มีเวลาจำกัด เป็นต้น
เอาเวลาไปทำในสิ่งที่ได้ประโยชน์ต่อการไปพระนิพพานจะดีกว่า
อยู่บนโลกแต่ต้องไม่ติดโลก ถ้าอยากพ้นโลกกันอ่ะนะ
ถ้าก้าวแรกคือ "สัมมาทิฏฐิ" ยังไม่แน่นปึ้ก แล้ว "สัมมาสมาธิ" จะถึงกันได้อย่างไร
แต่ถ้าดูเพื่อเอามาใช้ในงานพระศาสนาก็คงพออนุโลมกันได้
จบการเสนอความเห็น ^^
#13
โพสต์เมื่อ 11 April 2008 - 03:38 AM
#14
โพสต์เมื่อ 11 April 2008 - 11:33 AM
แสดงถึงความไม่เข้าใจ และไม่เคารพในพระอรหันต์
พระอรหันต์เป็นผู้หมดกิเลส เป็นเพศภาวะที่สูงส่ง ซึ่งไม่มี ในปุถุชนคนทั่วไป
แต่ชื่อของภาพยนต์เรื่องนี้ พอฟังก็ขัดหู ทำให้คิดว่า เด็กที่ปิดเทอมมาบวชเณร
ช่วงปิดภาคเรียน บวชแล้วก็บรรลุเป็นพระอรหันต์เลย
ก็คิดว่าผู้สร้างอยากจะตั้งชื่อให้น่าสนใจ และแปลกใหม่ ให้คนมาดูเยอะๆ
เอาแบบเว่อร์ๆเข้าไว้ โดยไม่ดูว่าสมควรหรือไม่
ทำให้คิดต่อไปอีกว่า คราวนี้คนทั่วไปไม่ว่าอะไร
คราวหน้าเค้าจะดึงของสูงยิ่งๆขึ้นไปกว่าคำว่าอรหันต์
เอามาเล่นเอามาโปรโมทภาพยนต์ของเค้าอีกหรือเปล่า
#15
โพสต์เมื่อ 11 April 2008 - 12:44 PM

#16
โพสต์เมื่อ 11 April 2008 - 07:51 PM
#17
โพสต์เมื่อ 15 April 2008 - 10:37 AM
ลูกพระธรรม
#18
โพสต์เมื่อ 16 April 2008 - 10:56 PM
#19
โพสต์เมื่อ 16 April 2008 - 11:03 PM