
โลกร้อนเพราะ...ขยะ แล้วเราชาววัดจะมีส่วนช่วยวัด
#1
โพสต์เมื่อ 12 May 2008 - 02:09 PM
แต่จะมีสักแนวทางหรือหลายๆแนวทางไหม ที่พวกเราพอจะมีส่วนช่วยลดปริมาณขยะให้กับวัด ที่รักของเรา ในวันอาทิตย์ธรรมดาหรือวันอาทิตย์ต้นเดือนได้บ้าง ขออย่างน้อยคนละ 1 วิธีที่ไม่ซ้ำกันและที่สำคัญที่น่าจะเป็นไปได้นะ ซึ่งอาจเริ่มต้นในวันอาทิตย์นี้เลยหละ เริ่มจากตัวเรา คนใกล้ตัวเรา- คนรอบข้างเราก่อนก็ยังดีนะ แล้วสู่ในวงกว้างต่อไป
ขอขอบคุณกับทุกๆความเห็นครับ สาธุครับ
#2
โพสต์เมื่อ 12 May 2008 - 02:34 PM
#3
โพสต์เมื่อ 12 May 2008 - 03:12 PM
#4
โพสต์เมื่อ 12 May 2008 - 06:32 PM
#5
โพสต์เมื่อ 12 May 2008 - 07:08 PM
#6
*YTTRA*
โพสต์เมื่อ 12 May 2008 - 07:12 PM
#7
โพสต์เมื่อ 12 May 2008 - 08:49 PM
#8
โพสต์เมื่อ 12 May 2008 - 08:58 PM
#9
โพสต์เมื่อ 13 May 2008 - 01:20 AM



#10
โพสต์เมื่อ 13 May 2008 - 07:42 AM
^
^
เห็นด้วยครับ กับคห. 9 ครับ
ถ้าจะตอบกวนๆ เล่นๆ ก็มีเวปบอร์ดอื่นๆ อีกเยอะ ที่คุณสามารถเข้าไปกวนได้ครับ แต่อย่ามากวนเวปธรรมะนี้เลยครับ
กลัวจะเป็นกรรมติดตัวไป
แต่ถ้าคุณพิมพ์ผิด ก็ต้องขออภัยด้วยครับ
#11
โพสต์เมื่อ 13 May 2008 - 09:39 AM
1. ตอนขึ้นพนาวัฒน์ ก็จะมีแนะนำการพับกล่องน้ำ กล่องนม เพื่อลดพื้นที่การจัดเก็บขยะ และที่สำคัญขยะนี้ยังนำไปขายได้สตางค์อีกด้วยแบบนี้ น่าจะรณรงค์การพับกล่องอีกครับ รณรงค์เป็นระยะอย่างต่อเนื่องตลอดไป
และให้สอดคล้องกับป้ายที่จะแนะนำให้มีการใส่ขยะให้ถูกต้องตามภาชนะที่รองรับด้วยครับ ( สงสัยจะตัองมีเจ้าภาพสำหรับงาน นี้ครับ)
2. พยายามใช้แก้วหมุ่นเวียน ( แก้วขาว ที่มีไว้ตามจุดบริการน้ำดื่ม ) เมื่อดื่มน้ำที่จุดน้ำดื่ม หรือ
3. มีขวดพลาสติก ประจำตัวไว้บรรจุน้ำจากถังน้ำดื่มที่มีไว้บริการ เพื่อนำกลับไปทานในที่นั่ง (คล้ายๆกับที่พนาวัฒน์ ลดการใช้น้ำถุง หรือน้ำถ้วย ซึ่งจะเป็นขยะตามมาภายหลัง)
4. เคยเห็นแนวปฏิบัติของผู้ใหญ่บางท่านที่เคารพรัก ปัจจุบันท่านยังอยู่ในสมณเพศ (ชื่อในสมัยท่านยังไม่บวช คือคุณอาพลกฤษณ์) เห็นแล้วทึ่งครับ ท่านจะแนะนำและสอนให้เรา เก็บขยะของเราทุกๆอย่างที่พามาจากบ้าน นำกลับไปทิ้งที่บ้านของแต่ละคน โดยตัวท่านเองจะพกถุงพลาสติกที่พับไว้ดีแล้วติดตัวเสมอๆ อย่างน้อย 1-2 ใบ ไว้คอยเก็บเศษผง หรือขยะต่างๆ เพราะท่านบอกว่า การที่ให้พระท่านมานั่งปวดหัวเรื่องขยะนั้น ไม่ใช่เรื่อง เรื่องมันอยู่ที่ว่า เราพาขยะมา สร้างขยะเอง ก็ควรนำกลับไปทิ้งที่บ้านของเต่ละคน บุญจะได้เกิดอย่างเต็มที่ คณะพระภิกษุ สามเณร-เจ้าหน้าที่ ก็จะได้ลดภาระการดูแลจัดเก็บ ไปทำกิจที่พึงกระทำมากกว่า และเป็นการสืบสานวัฒนธรรมดีๆมาแต่ในอดีตครับ ( เรื่องนี้ แค่แชร์ความเห็นและประสบการณ์ที่ผ่านมาครับ)
สำหรับเพื่อนๆ ที่มาไกล จากต่างจังหวัด คนใหม่ คงต้องยกไว้ก่อนครับ ค่อยๆเรียนรู้กันไป
สำหรับเพื่อนๆที่มีแนวทาง ที่จะช่วยกันลดขยะ ก็ลองแบ่งปันกันเข้ามาอีกคิดว่า น่าจะมีอีกหลายๆแนวทางครับ
ส่วน kpi ที่จะวัดเป็นปริมาณ การลดขยะ คงนับจำนวนถุงที่จัดเก็บก็น่าจะพอได้นะครับ
#12
โพสต์เมื่อ 13 May 2008 - 10:12 AM
เห็นด้วย อันนี้ทำไม่ยากค่ะ และหลายๆ คนก็เริ่มทำกันแล้ว
วิธีอื่น...ยังคิดไม่ออกอ่ะ นอกจากนำจานเป็นของตัวเองมา
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#13
โพสต์เมื่อ 13 May 2008 - 11:01 AM
#14
โพสต์เมื่อ 13 May 2008 - 03:43 PM
ขอชื่นชม ท่านที่นำขวดมาเติมน้ำ โดยเติมจากตู้แช่น้ำทั้งน้ำธรรมดา และน้ำเย็น หรือน้ำแดงค่ะ ทำให้ลดขยะจากถุงพลาสติกบรรจุน้ำค่ะ อย่างไรก็ตามก็ขอให้ระวังสุขภาพด้วยนะค่ะ เพราะขวด PET (พลาสติกใสๆ ) เมื่อใช้ไปนานๆ คุณสมบัติของพลาสติกซึ่งเป็นสารเคมีภายใน จะสลายตัวปะปนมากับน้ำ จะทำให้ผู้ดื่มได้รับสารเคมีมาด้วยนะคะ อาจเกิดโรค
และสำหรับท่านที่นำภาชนะการทานอาหารมาจากบ้าน และนำช่วยวัดประหยัดน้ำ โดยนำกลับไปล้างที่บ้านด้วยนะคะ
สำหรับรถที่จอดอยู่กับที่ นานกว่า 3 นาที น่าจะดับเครื่องนะคะ เพราะเครื่องยนต์จะสร้างก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ และ คาร์บอนไดออกไซด์ ทั้งยังแพร่กระจายไปยังเพื่อนๆที่อยู่ใต้สภาฯ หรืออยู่รอบๆข้างค่ะ
ส่วนโฟมถ้าต้องใช้ น่าจะใช้วัสดุที่สามารถย่อยสลายง่าย ทดแทนแต่หากทำไม่ได้ ลองดูโฟมที่ย่อยสลายได้ง่าย (เห็นจากในทีวีมาค่ะ
ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ เพิ่งสมัครสมาชิกใหม่
#15
โพสต์เมื่อ 16 May 2008 - 09:44 AM
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 2 เมษายน ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.กระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.มัวลีน เบอร์มิงแฮม ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย ร่วมกันเปิดนิทรรศการ "รักษ์สุขภาพอนามัยพร้อมใจต้านโลกร้อน" เนื่องในวันอนามัยโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 7 เมษายน ของทุกปี เพื่อสร้างความตระหนักให้ประชาชนและทุกภาคส่วนของสังคม ร่วมกันลดภาวะโลกร้อน
โดยในปีนี้องค์การอนามัยโลกกำหนดคำขวัญวันอนามัยโลกว่า รักษ์สุขภาพอนามัยพร้อมใจต้านโลกร้อน(Protecting Health from Climate Change) เพื่อให้ทุกประเทศทั่วโลกได้ตระหนักถึงปัญหา และร่วมกันแก้ไขสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนจากภาวะโลกร้อนอย่างเร่งด่วน
นายไชยา กล่าวว่า ภาวะโลกร้อนเป็นผลมาจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ทำให้เกิดความแปรปรวนทางธรรมชาติ แนวโน้มจะเกิดถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชากรโลก ทำให้อัตราป่วยและตายเพิ่มสูงขึ้น ที่เห็นชัดเจนคือคลื่นความร้อนทำให้เด็กทารก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจและหลอดเลือดหัวใจ เจ็บป่วยและเสียชีวิตสูงขึ้น และทำให้เกิดโรคติดต่อทางอาหารและน้ำเพิ่มมากขึ้นจากการขาดแคลนน้ำและอาหารสะอาด การระบาดของโรคติดต่อนำโดยแมลง เช่น ไข้เลือดออกและไข้มาลาเรียก็มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ซึ่งประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศยากจนที่มีโครงสร้างพื้นฐานทางสาธารณสุขไม่เข้มแข็ง จะได้รับผลกระทบมากที่สุด
นายไชยา กล่าวว่า สธ.จะเน้นสร้างแรงจูงใจให้บุคลากรสาธารณสุขทั่วประเทศร่วมมือกันประหยัดพลังงาน โดย ออกมาตรการลดภาวะโลกร้อนในระยะต้น 9 ประการ เพื่อให้หน่วยงาน/สถานบริการสาธารณสุขในสังกัดกว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศ ปฏิบัติในแนวเดียวกัน ได้แก่
1. จอดรถและดับเครื่องทันที และติดเครื่องยนต์เมื่อพร้อมที่จะออกรถ
2.เช็กลมยางให้ได้ตามมาตรฐานกำหนด การขับรถที่มีลมยางน้อยทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันถึง 3 เปอร์เซ็นต์
3.ลดการใช้โฟมและพลาสติกที่ไม่ย่อยสลาย
4.ให้ใช้กระดาษทั้ง 2 หน้า
5.ใช้ถุงผ้าใส่เอกสารในการประชุมแทนกระเป๋า
6.ปิดสวิตช์เครื่องใช้ไฟฟ้า/อุปกรณ์สำนักงานเมื่อไม่ใช้งาน
7.ลดการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น เช่น แอร์ กระติกน้ำร้อน ลิฟต์
8.ใช้น้ำอย่างประหยัด และ
9.แต่งกายให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ โดยในฤดูร้อนให้ใส่ผ้าฝ้าย เนื่องจากระบายความร้อนได้ดีกว่า เพื่อประหยัดพลังงานไฟฟ้าในการใช้แอร์
ช่วยๆกัน คนละไม้คนละมือ ลดภาวะโลกร้อนกันนะคะ คุณทำได้..
อนุโมทนาบุญค่ะ
#16
โพสต์เมื่อ 16 May 2008 - 10:06 AM
เลือกการเดินทางแบบไม่เปลืองพลังงาน อาทิ ลดการใช้รถยนต์ด้วยการเดิน ปั่นจักรยาน ทางเดียวกันไปด้วยกัน หรือใช้บริการขนส่งมวลชนถ้าทำได้, ใช้รถอย่างฉลาด ด้วยการเปลี่ยนนิสัยในการขับรถเล็กๆ น้อยๆ, หลีกเลี่ยงการเดินทางในชั่วโมงเร่งด่วน, ขับรถตามความเร็วที่กำหนดไว้, คอยหมั่นตรวจสภาพรถ อยู่เสมอ, วางแผนการเดินทางล่วงหน้าทุกครั้งที่ทำได้, จะซื้อรถคันใหม่ต้องคิด ให้มากขึ้น ฯลฯ (พบคำแนะนำเกี่ยวกับการวางแผนเดินทางแบบไม่เป็นพิษต่อ สิ่งแวดล้อมและการสนับสนุนโครงการลดคาร์บอนได้ที่ www.betterworldclub.com/travel/index.htm)
เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคให้น้อยลง มาสู่การอนุรักษ์ให้มากขึ้น อาทิ "ลดการซื้อของใหม่และนำของเก่ากลับมาใช้อีกครั้ง" ที่ปัจจุบันกลายเป็นกระแสที่กำลังมาแรงในอเมริกาและทั่วโลก, อย่าใช้กระดาษเปลือง, ลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติก
เชื่อไหมว่า บรรจุภัณฑ์ที่เราทิ้งกันคิดเป็นสัดส่วนถึงราว 1 ใน 3 ของขยะที่อัดแน่นอยู่ในหลุมกำจัดทุกวันนี้ทรัพยากรธรมชาติและเชื้อเพลิงฟอสซิลปริมาณมหาศาลถูกผลาญไปในแต่ละปีเพื่อผลิตกระดาษ พลาสติก อะลูมิเนียม แก้ว และสไตโรโฟมสำหรับบรรจุและห่อหุ้มสินค้าที่เราซื้อ !
อย่าลืมว่า การเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งทุกอย่าง ในโลกนี้
ต้องเริ่มต้นที่ ตัวเราเองก่อนเป็นอันดับแรก และ บ้าน ก็เป็นสถานที่แห่งการเริ่มต้น ของทุกๆอย่าง
อนุโมทนาบุญค่ะ
#17
โพสต์เมื่อ 16 May 2008 - 10:11 AM
1. สารภูมิแพ้แพร่ระบาด
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้เกิดปรากฎการณ์ประหลาดขึ้นทุกๆ ช่วงฤดูใบไม้ผลิ นั่นคือ ประชาชนไอ จาม ป็นภูมิแพ้ และหอบหืดกันง่ายขึ้นและบ่อยขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ จากการศึกษาที่ผ่านมา พบว่า วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปกับสภาพมลพิษในอากาศ เป็นสาเหตุสำคัญของอาการดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยใหม่ๆ ชี้ให้เห็นว่า วิกฤตอุณหภูมิโลกร้อนขึ้นและมีระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศมากขึ้น คือต้นเหตุทำให้พืชพรรณต่างๆ ผลิใบเร็วกว่าเดิม ขณะเดียวกันปริมาณละอองเกสรที่ฟุ้งกระจายไปตามอากาศก็มากขึ้นเช่นกัน คนที่เป็นภูมิแพ้หรือหอบหืดเมื่อสูดละอองเหล่านี้เข้าไปมากๆ อาการจึงกำเริบง่าย
2. สัตว์อพยพไร้ที่อยู่
ผลกระทบจากปัญหาโลกร้อน ทำให้สัตว์บางชนิด เช่น กระรอก ตัวชิปมังก์ หรือแม้กระทั่งหนู ต้องอพยพหนีขึ้นไปอยู่บนที่สูงขึ้น
สัตว์ที่กำลังเผชิญปัญหาใหญ่ ได้แก่ "หมีขั้วโลก" ที่ในอนาคตอาจมีชีวิตอยู่ในถิ่นฐานเดิมแถบอาร์กติก ขั้วโลกเหนือไม่ได้ เนื่องจากธารน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็ว
3. "พืช" ขั้วโลกคืนชีพ
ช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ผลจากภาวะน้ำแข็งขั้วโลกละลายเพราะโลกร้อน ส่งผลต่อการดำรงอยู่ของพืชและสัตว์จำนวนมาก ตามปกติ พืชแถบอาร์กติกจะถูกปกคลุมอยู่ในน้ำแข็งตลอดทั้งปี
แต่ปัจจุบัน เมื่อน้ำแข็งละลายมากขึ้นเรื่อย โดยเฉพาะในช่วงก่อนฤดูใบไม้ผลิต จึงทำให้พืชที่เคยถูกห่อหุ้มด้วยน้ำแข็งกลายเป็นอิสระ สามารถเริ่มกระบวนการสังเคราะห์แสงและกลับมาเติบโตขึ้นอีกครั้ง กลายเป็นอีก 1 ปรากฎการณ์ใหม่ของพื้นที่ขั้วโลกเหนือ
4. ทะเลสาบหายสาบสูญ
เรื่องประหลาดๆ ที่เกิดขึ้นในเขตอาร์กติก หรือ ขั้วโลกเหนือยังไม่หมดแค่นั้น มีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า ในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา "ทะเลสาบ" ประมาณ 125 แห่งได้หายสาบสูญไปจากเขตอาร์กติก เป็นสัญญาณหนึ่งที่ช่วยให้เห็นว่า ภัยโลกร้อนส่งผลกระทบเร็วมากต่อสภาพแวดล้อมแถบขั้วโลก
สาเหตุที่ทะเลสาบหายไปก็เพราะ "เพอร์มาฟรอส" ที่เป็นน้ำแข็งแข็งตัวอยู่ใต้พื้นทะเลสาบนั้นละลายหมดสิ้นไป ดังนั้น น้ำในทะเลสาบจึงซึมเข้าสู่พื้นดินข้างใต้ได้ เหมือนกับเวลาเราดึงจุกปิดน้ำออกจากอ่างอาบน้ำแล้วน้ำจึงไหลหมดไปจากอ่างนั่นเอง
นอกจากนี้ การที่ทะเลสาบขั้วโลกหายวับไป ยังส่งผลลูกโซ่ปั่นป่วนไปถึงระบบนิเวศในพื้นที่ที่พึ่งพิงน้ำจากทะเลสาบอีกด้วย
5. น้ำแข็งใต้พื้นโลกละลาย
ภาวะโลกร้อนไม่ได้เพียงแค่ทำให้ธารน้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างต่อเนื่องเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้ชั้นน้ำแข็งถาวรที่มีอยู่ใต้พื้นผิวโลกค่อยๆ ละลายลดปริมาณลงไปเช่นกัน
ผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นตามมาในอนาคตก็คือ จุดใต้พื้นโลก ซึ่งเคยเป็นน้ำแข็งหายไปจนเกิดเป็น "รูรั่ว" ใต้ดินขึ้นมา เมื่อเป็นเช่นนี้สภาพทางภูมิศาสตร์ในพื้นที่ย่อมเปลี่ยนไป
สิ่งปลูกสร้าง หรือ สิ่งก่อสร้างของมนุษย์ เช่น ทางรถไฟ ถนน บ้านเรือน ฯลฯ ซึ่งตั้งอยู่เหนือจุดดังกล่าวมีโอกาสได้รับความเสียหายตามไปด้วย ถ้าปรากฎการณ์น้ำแข็งละลายเกิดขึ้นบนที่สูง เช่น ภูเขา จะก่อให้เกิดภัยธรรมชาติตามมา อาทิ หินถล่มและโคลนถล่ม เป็นต้น
6. ชนวนเกิดไฟป่า
นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยืนยันตรงกันทั่วโลก ว่าภัยโลกร้อนเป็นสาเหตุให้ธารน้ำแข็งละลายและพายุก่อตัวบ่อยและรุนแรงขึ้นกว่าในอดีต ยิ่งไปกว่านั้น ภาวะโลกร้อนยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิด "ไฟป่า" ได้ง่ายขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก
และชาติเมืองหนาวในซีกโลกตะวันตก ซึ่งตามปกติไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องไฟป่า ก็เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้กันแล้ว เหตุเพราะสภาพป่าแห้งกว่าเดิม จึงเป็นเชื้อไฟอย่างดี
7. ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงอยู่รอด
โลกร้อนส่งผลให้หน้าหนาวหดสั้นลง และหน้าร้อนมาถึงเร็วขึ้น บรรดา "นกอพยพ" หลายสายพันธุ์ต่างมึนงง ปรับ "นาฬิกาชีวภาพ" ในตัวของมันให้เข้ากับสภาพความผันแปรของฤดูกาลที่บิดเบี้ยวไปไม่ทัน สัตว์ที่จะเอาชีวิตรอดจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนในทุกวันนี้ได้ต้องเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรงที่สุดเท่านั้น
ในที่สุดสัตว์ที่อยู่รอดจะต้อง "กลายพันธุ์" หรือปรับพันธุกรรมในตัวมันเสียใหม่ เพื่อรับมือภัยโลกร้อนให้ได้ และมีสัตว์หลายชนิดกำลังวิวัฒนาการตัวเองเช่นนั้นอยู่
8. ดาวเทียมโคจรเร็วกว่าเดิม
การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าถ่านหิน ยวดยานพาหนะ ฯลฯ คือ ตัวการสำคัญของวิกฤตโลกร้อน
ล่าสุดพบว่า เจ้าก๊าซตัวเดียวกันนี้เองที่ขึ้นไปสะสมมากขึ้นในชั้นบรรยากาศโลก ได้กลายเป็นต้นเหตุทำให้ "ดาวเทียม" ที่อยู่ในวงโคจรโลกเคลื่อนที่เร็วกว่าเดิม
ตามปกติ อากาศในบรรยากาศชั้นนอกสุดของโลกจะเบาบาง แต่โมเลกุลของอากาศจะยังคงมีแรงดึงดูดมากพอในการทำให้ดาวเทียมโคจรช้าๆ ดังนั้น เราอาจเคยได้ยินข่าวกันมาบ้างว่า ผู้ควบคุมต้องจึดระเบิดดาวเทียมเป็นระยะๆ เพื่อให้ดาวเทียมโคจรต่อไปอย่างถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม เมื่อคาร์บอนไดออกไซด์ลอยไปสะสมในบรรยากาศชั้นล่างมากไป จะทำแรงดึงดูดของบรรยากาศชั้นนอกสุดลดกำลังลง ดาวเทียมจึงโคจรเร็วกว่าปกติ
9. ภูเขากระเด้งตัวเหนือพื้นโลก
ภูเขาและเทือกเขาสูงหลายแห่งทั่วโลกกำลังขยายตัว "สูง" ขึ้น เพราะผลจากโลกร้อน! นั่นเป็นเพราะ ตามธรรมชาติที่ผ่านๆ มานับพันปี ยอดภูเขาในเขตหนาวเย็นโดยทั่วไปจะมี "น้ำแข็ง" ปกคลุมอยู่ ทำหน้าที่เป็นเหมือนกับตุ้มน้ำหนักที่คอยกดทับให้ฐานล่างของภูเขาทรุดต่ำลงไปใต้พื้นผิว
เมื่อน้ำแข็งบนยอดเขามลายสูญสิ้นไป ส่วนฐานล่างที่เคยถูกกดจมดินลงไปจะค่อยๆ กระเด้งคืนตัวกลับมาเหนือผิวโลกอีกครั้ง
10. โบราณสถานเสียหาย
โบราณสถาน เมืองเก่าแก่ ซากปรักหักพังทางประวัติศาสตร์ ฯลฯ อันเป็นสิ่งแสดงถึงวัฒนธรรมอันรุ่งเรื่องของมนุษย์ในอดีตได้รับผลกระทบจากโลกร้อน
เหตุเพราะโลกร้อนทำให้อากาศทั่วโลกแปรปรวน ทั้งเกิดพายุ น้ำท่วม ภัยแล้ง ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูง และล้วนแต่ยิ่งสร้างความเสียหายให้กับมรดกตกทอดทางประวัติศาสตร์ดังกล่าว ซึ่งมีสภาพทรุดโทรมอยู่แล้ว
โบราณสถานอายุ 600 ปีในจังหวัดสุโขทัยของประเทศไทยเรา ก็เคยเสียหายอย่างหนักเพราะภัยน้ำท่วมใหญ่ ซึ่งเป็นผลจากภัยโลกร้อน มาแล้วเช่นกัน
#18
โพสต์เมื่อ 21 May 2008 - 01:06 PM
ทั้งยังมีพี่ๆประจำจุดคอยสับเปลี่ยนถุงเพชรพลอยให้ใหม่ เมือถุงเดิมเต็ม งานหน้าถ้าเพิ่มการพับกล่องบรรจุนม-น้ำผลไม้ด้วยก็จะดีครับ สาธุครับ