ชายคนหนึ่งมีภรรยาอยู่ 4 คน
ภรรยาคนที่.1 เขารักที่สุด ไปไหนมาไหนด้วยกันตามใจตลอดอยากได้อะไรเขาหาให้ทุกอย่าง
ภรรยาคนที่.2 เขารักมากเขาจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อภรรยาคนนี้และจะไปหาภรรยาคนนี้เสมอ
ภรรยาคนที่.3 เขารักรองลงมา ดูแลเอาใจใส่พอควร แวะไปหาบางเป็นครั้งคราว
ภรรยาคนที่.4 เขาไม่เคยสนใจไม่เคยดูแลเอาใจใส่ ไม่คิดถึงเลยด้วยซ้ำ
ต่อมาชายคนนี้ไปกระทำความผิดร้ายแรงและถูกจับ ต้องถูกประหารชีวิตก่อนที่จะ
ถูกประหารเขาขอร้องว่าเขาขอกลับบ้านเพื่อไปร่ำลาภรรยาสุดที่รักซักครั้ง
ผู้คุมเห็นใจจึงอนุญาตเมื่อกลับมาถึงบ้าน
เขารีบตรงไปหาภรรยาคนที่.1 เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้ ฟังและถามภรรยาคนที่.1 ว่า “ ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 1 จะทำอย่างไร ?” ภรรยาคนที่.1 ตอบน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ ถ้าเธอตาย เราก็จบกัน ” คำตอบที่ได้รับเหมือนสายฟ้าที่ผ่าเปรี้ยง!! ลงมาที่เขาอย่างจัง เขารู้สึกเจ็บปวดและเสียใจเป็นอย่างยิ่ง นึกเสียดายว่าเขาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เลย
จากนั้นเขาก็ ไปหาภรรยาคนที่.2 ด้วยอาการเศร้าโศก เล่าเรื่องราวต่างๆ
ให้ฟังและถามคำถามเดิมกับภรรยาคนที่ 2 ว่า “ ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่.2
จะทำอย่างไร ?” ภรรยาคนที่.2 ก็ ตอบอย่างหน้าตาเฉยว่า “ ถ้าเธอตาย ฉันจะมีใหม่ ” เหมือนสายฟ้า!! ผ่าลงมาซ้ำที่เขาอย่างจัง เขารู้สึกเสียใจมากและนึกเสียดายว่าที่ผ่านมาเขาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เช่นกัน
เขาเดินคอตกมาหาภรรยาคนที่.3 เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังและถามภรรยาคนที่.3 ว่า “ ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่.3 จะทำอย่างไร ?” ภรรยาคนที่.3 ตอบว่า “ ถ้าเธอตาย ฉันจะไปส่ง ” ทำให้เขาคลายความเศร้าโศกขึ้นมาได้บ้าง อย่างน้อยก็ยังมีภรรยาที่จริงใจกับเขา
ก่อนกลับไปรับโทษ เขานึกขึ้นมาได้ว่ามีภรรยาอีกคนซึ่งเขาไม่เคยไปหาเลย เขาจึงไปหาภรรยาคนที่.4 และถามว่า “ ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่.4 จะทำอย่างไร ?” ภรรยาคนที่.4 ตอบว่า “ ถ้าเธอตาย ฉันจะตามไปด้วย ” แทนที่เขาจะดีใจกลับนึกเสียใจหนักขึ้นไปอีก เพราะ...มัน สายเกินไปเสียแล้ว ช่วงที่เขามีชีวิตอยู่ เขาไม่เคยเห็นค่าของภรรยาคนนี้ แต่ภรรยาคนนี้ไม่คิดที่จะทิ้งเขา จะติดตามเขาไปอยู่ด้วย
ชายคนนี้ก็กลับไปรับโทษประหารเมื่อเขาตาย ภรรยาคนที่.4 ก็ตายตามไปด้วย
ทุกคนก็มีภรรยา 4 คนนี้ มีคำถามว่า ภรรยาทั้ง 4 คนเป็นใคร ?
ลองคิดกันก่อน นะ แล้วค่อยดูเฉลย
ทีนี้เรามาดูกันว่า ภรรยาคนที่ 1, 2, 3 และ 4 เป็นใครกันบ้าง
ภรรยาคนที่.1 = ร่างกายของเราเพราะเวลาเรามีชีวิตอยู่เราจะบำรุงบำเรอด้วยสิ่งของทุกอย่างอยากได้อะไรก็หาให้ แต่พอเราตายทุกอย่างก็จบกัน
ภรรยาคนที่.2 = ทรัพย์สมบัติเพราะเวลาเรามีชีวิตอยู่เราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมาแต่พอเราตายมันกลับไม่ไปกับเราแต่ไปเป็นของคนอื่น
ภรรยาคนที่.3 = พ่อแม่ ลูกเมีย ญาติ พี่ น้อง เพราะพอเราตาย เขาจะทำศพให้เรา ทำบุญไปให้ แปลว่า เขาแค่ไปส่งเราเท่านั้น
ภรรยาคนที่.4 = บุญกับบาป เมื่อเราตาย ไป เราไม่สามารถเอาอะไรไปด้วยได้
มีเพียงแค่ บุญกับบาปเท่านั้นที่จะตามเราไป

ภรรยา 4 คน.......ยาวสักหน่อย แต่น่าคิดนะ
เริ่มโดย film123, May 23 2008 08:11 PM
มี 8 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 23 May 2008 - 08:11 PM
#2
โพสต์เมื่อ 24 May 2008 - 06:26 AM
คุ้นๆแฮะ..
แต่สาระ แง่คิดดีๆแบบนี้ ต้อง..
สาธุ.. สาธุ.. สาธุ..

แต่สาระ แง่คิดดีๆแบบนี้ ต้อง..
สาธุ.. สาธุ.. สาธุ..

ชีวิตคือการเข้ากลาง..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..
#3
โพสต์เมื่อ 24 May 2008 - 09:30 AM
แง่คิดดีมากๆเลยค่ะ
เป็นการเปรียบเทียบที่เข้าใจง่าย
อนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ สาธุ
เป็นการเปรียบเทียบที่เข้าใจง่าย
อนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ สาธุ
บุญกับบาปเท่านั้นที่บังคับเราอยู่
ถ้าสั่งสมบุญ ชีวิตก็รุ่งเรือง
ถ้าสั่งสมบาป ชีวิตก็ร่วงโรย
#4
โพสต์เมื่อ 24 May 2008 - 10:22 AM
จริงด้วยเหะ คนทั่วไปสมัยนี้ไม่เคยคิดและไม่เคยที่จะสนใจเรื่องบุญบาปเลยสักนิดเดียว ซึ่งก็คือภรรยาคนที่4นี่เอง ซึ่งก็ตรงกับสภาพจิตใจมนุษย์ในปัจจุบัน อีกทั้งในความเป็นจริง คนที่ดีๆมักไม่ค่อยถูกเลือก แต่กลับเลือกที่จะครองคู่กับคนที่ไม่ได้รักเราจริง หุหุ
ขออนุโมทนากับบทความดีๆเช่นนี้ด้วยนะครับ
ขออนุโมทนากับบทความดีๆเช่นนี้ด้วยนะครับ
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#5
โพสต์เมื่อ 24 May 2008 - 10:38 AM
เห็นภาพชัดเจนเลยคะ อ่านเคยผ่านตามาแต่ก็ลืมไปบ้าง การเอามาอ่านซ้ำก็ถือว่าเป็นการดี
อนุโมทนาบุญด้วยคะ สาธุ ^/\^
อนุโมทนาบุญด้วยคะ สาธุ ^/\^
#6
โพสต์เมื่อ 25 May 2008 - 10:12 AM
แต่ถ้าไม่มีภรรยาคนที่สองที่ดีคือไม่มีปัจจัยหรือรถยนต์การสร้างบารมีก็ยากแล้วก่อนจะละโลกจะกินจะใช้ก็ต้องภรรยาคนที่สอง
ส่วนภรรยาคนที่หนึ่งถ้าดูแลไม่ดี เจ็บป่วยไม่แข็งแรงอยู่ ร.พ ตลอดป่วยไม่สบายมันจะไปสร้างบารมีได้อย่างไรและการที่ดูแลสุขภาพร่างกายให้ดีมีชีวิตยาวยาวก็จะได้สร้างบารมีนานนาน
ส่วนภรรยาคนที่สามคือลูกเมียญาติมิตรยังไงไงก็ต้องดูแล โดยเฉพาะพ่อแม่ถ้าไม่ดูแลถือว่าเป็นคนอกตํญญู
ดังนั้นต้องดูแลภรรยาทั้งสี่ให้สมดุลโดยใช้ปัญญาในการดูแลภรรยาทั้งสี่ครับ
ส่วนภรรยาคนที่หนึ่งถ้าดูแลไม่ดี เจ็บป่วยไม่แข็งแรงอยู่ ร.พ ตลอดป่วยไม่สบายมันจะไปสร้างบารมีได้อย่างไรและการที่ดูแลสุขภาพร่างกายให้ดีมีชีวิตยาวยาวก็จะได้สร้างบารมีนานนาน
ส่วนภรรยาคนที่สามคือลูกเมียญาติมิตรยังไงไงก็ต้องดูแล โดยเฉพาะพ่อแม่ถ้าไม่ดูแลถือว่าเป็นคนอกตํญญู
ดังนั้นต้องดูแลภรรยาทั้งสี่ให้สมดุลโดยใช้ปัญญาในการดูแลภรรยาทั้งสี่ครับ
พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#7
โพสต์เมื่อ 25 May 2008 - 06:20 PM
ขออนุโมทนาสาธุครับ
#8
โพสต์เมื่อ 26 May 2008 - 04:30 PM
สาธุครับ สำหรับบทความดีๆ
#9
โพสต์เมื่อ 27 May 2008 - 09:51 PM
อนุโมทนาด้วยอีกคนครับ ได้แง่คิดขึ้นมาอีกแฮะ