เพื่อนๆ สังเกตไหมครับว่าในสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์บังเกิดขึ้น
เป็นสูตรสำเร็จเลยหรือเปล่าครับ ที่จะต้องมีสิ่งเหล่านี้
1. เป็นยุคสมัยที่ยังไม่มีความเจริญใด ๆ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่าง ๆ จะยังไม่เกิดขึ้น
2. ปาฏิหาริย์ สิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆ การเหาะเหิรเดินอากาศ ถือเป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับยุคนั้น นาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ จะมาปรากฏตัวหรือพูดคุยสื่อสารกับมนุษย์ได้เป็นปกติ
3. ผู้คนที่เกิดในแคว้นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะต้องมีหน้าตาแบบแขกขาว จะไม่มีหน้าตาแบบฝรั่ง แบบจีน หรือแบบนิโกรเด็ดขาด
4. การแต่งตัวของเศรษฐีหรือผู้มีอันจะกินในยุคนั้นจะสวยงาม เลิศหรูอลังการ
5. การตั้งชื่อของผู้คนสมัยนั้น จะออกแนวบาลีสันสกฤต สะกดยาก แต่ฟังเพราะ
6. หมู่คณะหรือนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาอย่างพวกเรา จะไม่ได้อยู่โลกมนุษย์ในยุคนั้น แต่จะอยู่ที่ดุสิตบุรี วงบุญพิเศษ หรือภพภูมิอื่น ๆ ตามกำลังบุญ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่มีโอกาสได้พบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
นี่เป็นข้อสังเกตของผมเองนะครับ ถ้าใครมีข้อเสนอแนะอย่างไร ช่วยบอกด้วย ขอบคุณครับ

เพื่อนๆ ว่าจริงไหม
เริ่มโดย cpj, Jun 25 2008 04:18 AM
มี 10 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 25 June 2008 - 04:18 AM
#2
โพสต์เมื่อ 25 June 2008 - 08:02 AM
น่าคิดๆ
#3
โพสต์เมื่อ 25 June 2008 - 09:49 AM
ถ้าถามว่า ยุคที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น จะต้องเป็นแต่ยุคโลเทค เสมอไปหรือเปล่า คุณครูไม่ใหญ่เคยบอกว่า ในอดีต (กัปไหนไม่ทราบท่านไม่ได้บอกไว้) ก็เคยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดในยุคไฮเทค ที่เทคโนโลยีก้าวหน้าล้ำสมัยครับ (ล้ำสมัยยิ่งกว่ายุคปัจจุบันอีกนะครับ)
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องแก้ความเข้าใจนะครับว่า การเหาะเหินเดินอากาศ ไม่ว่าในสมัยไหนก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดานะครับ สมัยก่อนผู้ที่จะเหาะเหินเดินอากาศได้ จะมีเฉพาะนักบวชที่มีอำนาจสมาธิจิต ผู้ใดเหาะเหินเดินอากาศได้ ผู้คนที่ได้เห็นก็จะตื่นเต้นเลื่อมใสศรัทธาไม่ได้รู้สึกเป็นเรื่องธรรมดาแต่อย่างใด หากการเหาะเป็นเรื่องธรรมดามากอย่างที่เข้าใจ ผู้คนที่เห็นคนเหาะได้ ก็จะไม่สนใจอะไร แต่นี่ตรงข้ามครับ
อีกทั้งการแต่งตัีวของผู้มีอำนาจราชศักดิ์รวมทั้งเศรษฐีไม่ว่ายุคสมัยไหน ก็เลิศหรูอลังการทั้งนั้นนะครับ
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องแก้ความเข้าใจนะครับว่า การเหาะเหินเดินอากาศ ไม่ว่าในสมัยไหนก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดานะครับ สมัยก่อนผู้ที่จะเหาะเหินเดินอากาศได้ จะมีเฉพาะนักบวชที่มีอำนาจสมาธิจิต ผู้ใดเหาะเหินเดินอากาศได้ ผู้คนที่ได้เห็นก็จะตื่นเต้นเลื่อมใสศรัทธาไม่ได้รู้สึกเป็นเรื่องธรรมดาแต่อย่างใด หากการเหาะเป็นเรื่องธรรมดามากอย่างที่เข้าใจ ผู้คนที่เห็นคนเหาะได้ ก็จะไม่สนใจอะไร แต่นี่ตรงข้ามครับ
อีกทั้งการแต่งตัีวของผู้มีอำนาจราชศักดิ์รวมทั้งเศรษฐีไม่ว่ายุคสมัยไหน ก็เลิศหรูอลังการทั้งนั้นนะครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#4
โพสต์เมื่อ 25 June 2008 - 10:40 AM
ไม่รู้สิ รู้แต่ว่าอยากกลับดุสิตกับหมู่คณะ แหะๆ
#5
โพสต์เมื่อ 25 June 2008 - 11:07 AM
ตอบคำถามสั้นๆนะ..
ไม่จริงจ๊ะ..
มีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายกว่านี้.. และมีที่มาที่ไป.. อย่าด่วนสรุป
ค่อยๆศึกษาไปแล้วจะรู้เอง ขี้เกียจอธิบายจ๊ะ มันยาว..
ไม่จริงจ๊ะ..

มีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายกว่านี้.. และมีที่มาที่ไป.. อย่าด่วนสรุป
ค่อยๆศึกษาไปแล้วจะรู้เอง ขี้เกียจอธิบายจ๊ะ มันยาว..

ชีวิตคือการเข้ากลาง..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..
#6
โพสต์เมื่อ 25 June 2008 - 11:50 AM
เป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจมากครับ
ในข้อ ๑ เป็นยุคสมัยที่ยังไม่มีความเจริญใด ๆ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่าง ๆ จะยังไม่เกิดขึ้น
ไม่ทราบครับ
แต่หากพิจารณา เรื่อง ปัญจมหาวิโลกนะในข้อ ๑
๑. กาล คือ อายุกาลของมนุษย์จะต้องอยู่ระหว่าง ๑๐๐ ถึง ๑ แสนปี
ก็ไม่มีรายละเอียดว่า กาลนั้น ๆ ยุคนั้น ๆ ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีแค่ไหน
และเท่าที่มีบันทึกในพระไตรปิฎก ยุคที่ผ่านการสังคายนามากกว่า ๑o ครั้ง ในช่วง ๒,๕oo ปีมานี้
ในบทที่เกี่ยวกับพุทธวงศ์ ก็ไม่มีเรื่องไฮ-เทค
อาจเป็นเพราะในยุคพุทธกาลนี้ หากระบุรายละเอียดเรื่องไฮ-เทค คนอาจฟังไม่เข้าใจ หรืออย่างใดก็ตาม
โดยส่วนตัว ผมคิดว่า
เป็นไปได้ที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางพระองค์ หลายพระองค์์
ในจำนวนพระสัพพัญญูพุทธเจ้าในอดีต
ที่มีมากกว่าเมล็ดทรายในท้องมหาสมุทรทั้ง ๔ มีนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน
ทรงอุบัติในยุคสมัยไฮ-เทค
ทั้งนี้เพราะ เมื่อโลกพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถึงที่สุดแล้ว
จะค้นพบทฤษฎีฟิสิกส์ ใหม่ ๆ อีกกี่ร้อยกี่พัน ทฤษฎี
หรือแม้ศาสตร์ด้านไฮ-เทค จะพัฒนาล้ำหน้ามากแค่ไหน
เช่น ลิฟท์อวกาศ เดินทางข้ามจักรวาล อาศัยในดาวเคราะห์อื่น ฯล
ศาสตร์เหล่านี้ ไม่ทำให้พ้นเกิดแก่ เจ็บตาย
กฎฟิสิกส์ใด ๆ ก็ยังไม่พ้นอาณัติไตรลักษณ์
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก็ไม่ทำให้มนุษย์ พ้นวัฏฏะทุกข์
และความรู้ ของบรรดานักฟิสิกส์ นักวิทยาศาสตร์
นั้นล้วนได้มาจาก สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา , นิมิตจากเทพ ที่สอดละเอียดมา
อาจจะมากพอในการพัฒนาวัตถุ ประดิษฐ์นวัตกรรมไฮ-เทค
อาจจะมากพอที่จะเข้าใจ กลไก กระบวนการของ จิต อยู่บ้าง
แต่ไม่มากพอที่จะพัฒนาจิตใจ ให้พ้นวัฏฏะทุกข์ หรอกครับ
อีกทั้งวิทยาการไฮ-เทค ไม่สามารถเติมเต็ม ในตัณหาของปุถุชน ในมนุษยโลก
แม้กระทั่ง ชาวสวรรค์้ในโลกทิพย์ ก็ยังไม่เต็มอิ่ม ในทิพย์สุข ฉันใด
สุดท้ายมนุษย์ในยุคไฮ-เทค ก็ต้องหันมาแสวงหา ต้องศึกษาศาสตร์ด้าน จิต มาพัฒนาเรื่อง จิต ใจ ฉันนั้น
โดยอาศัยความรู้ที่ได้มาจากสัพพัญญุตญาณ ญาณทัสสนะจาก ภาวนามยปัญญา
ซึ่ง อยู่ที่พุทธศาสตร์ ครับ
สรุปทัศนะส่วนตัวในเรื่องนี้ว่า
กาลที่เหมาะสมกับการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่ได้เป็นสูตรสำเร็จ หรือมีข้อจำกัดว่า ต้องเป็นยุคโล-เทค แต่อย่างใดครับ
ถ้ายุคนั้น ๆ อยู่ในกฎ ปัญจะมหาวิโลกนะ ข้อ ๑
อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์อยู่ระหว่าง ๑๐๐ ถึง ๑ แสนปี
แม้จะเป็นยุคไฮ-เทค ก็เป็นไปได้ที่จะมี
พระบรมนิตยโพธิสัตว์มาอุบัติตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ครับ
ที่จริงถ้าท่านใด สามารถสนทนากับบรรดา มหาพรหม ที่มีอายุขัยหลายหมื่นมหากัป
ก็น่าจะพอได้ข้อมูล เรื่อง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเคยอุบัติในยุคไฮ-เทค บ้างหรือไม่ นะครับ
ในข้อ ๑ เป็นยุคสมัยที่ยังไม่มีความเจริญใด ๆ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่าง ๆ จะยังไม่เกิดขึ้น
ไม่ทราบครับ
แต่หากพิจารณา เรื่อง ปัญจมหาวิโลกนะในข้อ ๑
๑. กาล คือ อายุกาลของมนุษย์จะต้องอยู่ระหว่าง ๑๐๐ ถึง ๑ แสนปี
ก็ไม่มีรายละเอียดว่า กาลนั้น ๆ ยุคนั้น ๆ ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีแค่ไหน
และเท่าที่มีบันทึกในพระไตรปิฎก ยุคที่ผ่านการสังคายนามากกว่า ๑o ครั้ง ในช่วง ๒,๕oo ปีมานี้
ในบทที่เกี่ยวกับพุทธวงศ์ ก็ไม่มีเรื่องไฮ-เทค
อาจเป็นเพราะในยุคพุทธกาลนี้ หากระบุรายละเอียดเรื่องไฮ-เทค คนอาจฟังไม่เข้าใจ หรืออย่างใดก็ตาม
โดยส่วนตัว ผมคิดว่า
เป็นไปได้ที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางพระองค์ หลายพระองค์์
ในจำนวนพระสัพพัญญูพุทธเจ้าในอดีต
ที่มีมากกว่าเมล็ดทรายในท้องมหาสมุทรทั้ง ๔ มีนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน
ทรงอุบัติในยุคสมัยไฮ-เทค
ทั้งนี้เพราะ เมื่อโลกพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถึงที่สุดแล้ว
จะค้นพบทฤษฎีฟิสิกส์ ใหม่ ๆ อีกกี่ร้อยกี่พัน ทฤษฎี
หรือแม้ศาสตร์ด้านไฮ-เทค จะพัฒนาล้ำหน้ามากแค่ไหน
เช่น ลิฟท์อวกาศ เดินทางข้ามจักรวาล อาศัยในดาวเคราะห์อื่น ฯล
ศาสตร์เหล่านี้ ไม่ทำให้พ้นเกิดแก่ เจ็บตาย
กฎฟิสิกส์ใด ๆ ก็ยังไม่พ้นอาณัติไตรลักษณ์
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก็ไม่ทำให้มนุษย์ พ้นวัฏฏะทุกข์
และความรู้ ของบรรดานักฟิสิกส์ นักวิทยาศาสตร์
นั้นล้วนได้มาจาก สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา , นิมิตจากเทพ ที่สอดละเอียดมา
อาจจะมากพอในการพัฒนาวัตถุ ประดิษฐ์นวัตกรรมไฮ-เทค
อาจจะมากพอที่จะเข้าใจ กลไก กระบวนการของ จิต อยู่บ้าง
แต่ไม่มากพอที่จะพัฒนาจิตใจ ให้พ้นวัฏฏะทุกข์ หรอกครับ
อีกทั้งวิทยาการไฮ-เทค ไม่สามารถเติมเต็ม ในตัณหาของปุถุชน ในมนุษยโลก
แม้กระทั่ง ชาวสวรรค์้ในโลกทิพย์ ก็ยังไม่เต็มอิ่ม ในทิพย์สุข ฉันใด
สุดท้ายมนุษย์ในยุคไฮ-เทค ก็ต้องหันมาแสวงหา ต้องศึกษาศาสตร์ด้าน จิต มาพัฒนาเรื่อง จิต ใจ ฉันนั้น
โดยอาศัยความรู้ที่ได้มาจากสัพพัญญุตญาณ ญาณทัสสนะจาก ภาวนามยปัญญา
ซึ่ง อยู่ที่พุทธศาสตร์ ครับ
สรุปทัศนะส่วนตัวในเรื่องนี้ว่า
กาลที่เหมาะสมกับการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่ได้เป็นสูตรสำเร็จ หรือมีข้อจำกัดว่า ต้องเป็นยุคโล-เทค แต่อย่างใดครับ
ถ้ายุคนั้น ๆ อยู่ในกฎ ปัญจะมหาวิโลกนะ ข้อ ๑
อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์อยู่ระหว่าง ๑๐๐ ถึง ๑ แสนปี
แม้จะเป็นยุคไฮ-เทค ก็เป็นไปได้ที่จะมี
พระบรมนิตยโพธิสัตว์มาอุบัติตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ครับ
ที่จริงถ้าท่านใด สามารถสนทนากับบรรดา มหาพรหม ที่มีอายุขัยหลายหมื่นมหากัป
ก็น่าจะพอได้ข้อมูล เรื่อง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเคยอุบัติในยุคไฮ-เทค บ้างหรือไม่ นะครับ
#7
โพสต์เมื่อ 25 June 2008 - 01:05 PM
ตอบข้อ6 หมู่คณะเราจะลงมาเกิดในช่วงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันปรินิพพานแล้ว แต่ถ้าใครจะตั้งความปรารถนาพบพระพุทธเจ้าก็ได้ครับ อาจจะอยู่ดุสิตบุรีเหมือนกันแต่ไม่ใช่วงบุญพิเศษ เพราะวงบุญพิเศษมุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรม ฝ่ายปราบ ส่วนพระสัมมาสัมพุธิเจ้าฝ่ายโปรด และคนที่ได้เกิดพบพระพุทธเจ้า ต้องมีบุพกรรมสืบเนื่องกันมาแต่อดีตชาติครับ ถึงจะได้เจอกันได้ ซึ่งทุกสิ่งที่อย่างล้วนย่อมมีเหตุ เราเกิดมาในยุคนี้เจอหมู่คณะก็มีเหตุในอดีต ที่เราเคยเป็นหมู่คณะกัน จึงได้มาเจอกันอีก..และสั่งสมบุญบารมี พักกลางทางที่ดุสิตบุรี วงบุญพิเศษ ได้เวลาก็จะลงมาเกิดสร้างบารมีในโลกมนุษย์อีกในช่วงพุทธันดรหน้า ซึ้งเป็นกัปสุดท้ายของภัทรกัปนี้ แต่จะหลังจากพุทธปรินิพพานแล้ว คล้ายๆชาตินี้อ่ะครับ

#8
โพสต์เมื่อ 25 June 2008 - 06:24 PM
อ่านกระทู้นี้ ทำให้มีกำลังใจในการปฎิบัติสมาธิขึ้นอีกมาก
...........................
นั่งสมาธิ ให้นิ่งกว่าเดิม
นั่งสมาธิ ให้นุ่มกว่าเดิม
นั่งสมาธิ ให้แน่นกว่าเดิม
และนั่งให้นานกว่าเดิม
นานกระทั่ง ได้ฌาณพอจะ back to the past หรือ future ได้
เมื่อนั้นก็คงจะมานั่งตอบให้หายสงสัยได้น่ะครับ
thanks to เจ้าของกระทู้ที่ทำให้ผมเกิดความอยากนั่งน่ะครับ
...........................
นั่งสมาธิ ให้นิ่งกว่าเดิม
นั่งสมาธิ ให้นุ่มกว่าเดิม
นั่งสมาธิ ให้แน่นกว่าเดิม
และนั่งให้นานกว่าเดิม
นานกระทั่ง ได้ฌาณพอจะ back to the past หรือ future ได้
เมื่อนั้นก็คงจะมานั่งตอบให้หายสงสัยได้น่ะครับ
thanks to เจ้าของกระทู้ที่ทำให้ผมเกิดความอยากนั่งน่ะครับ
ไฟล์แนบ
#9
โพสต์เมื่อ 26 June 2008 - 02:48 PM
เหมือนกันครับเกิดกำลังใจในการปฏิบัติธรรมดีมากเลยครับ
#10
โพสต์เมื่อ 26 June 2008 - 06:52 PM
ก็น่าจะเป็นไปในทำนองนั้น แต่ก็คงจะไม่เสมอไป
#11
โพสต์เมื่อ 27 June 2008 - 10:12 PM
(๑) บางพุทธกาลมีพระเจ้าจักรพรรดิ มีจักรแก้ว,ต้นกัลปพฤกษ์, ซึ่งอธิษฐานจิตขอได้ทุกสิ่ง, น่าจะเป็น super machine ที่วิทยาการสูง