เข้าใจในความปรารถนาดี และเจตนารมณ์ที่ดีของคุณ เถลิงเกียรติ
และข้อมูลสาระที่นำมาเผยแผ่ก็มีประโยชน์อย่างยิ่ง..
เข้าใจว่าแนวทางของทุกคนล้วนปรารถนาดีต่อพระพุทธศาสนา.. แนวทางของเราเป็นแนวทางเดียวกัน..
เพียงแต่ที่เราต้องการเน้นย้ำ.. ในเรื่อง
การรักษาใจของสาธุชน
มิใช่เป็นการให้เอาหูไปนาเอาตาไปไร่.. ปล่อยปละละเลยความเป็นอยู่ของพุทธบุตร
แต่ต้องการเน้นย้ำแค่ 2 ประเด็นที่เกี่ยวพันกันคือ..1. เมื่อเรารู้อะไรมากแล้ว.. สิ่งที่ต้องรักษาไว้ให้ได้คือ.. ใจเราเอง.. ทั้ง 3 วาระของการทำทานกับพุทธบุตร2. เมื่อเรารู้อะไรมากแล้ว.. การบอกต่อด้วยความหวังดี.. ควรระมัดระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากสิ่งที่เราบอกกล่าวออกไปให้ครบวงจรด้วย.. (รับผิดชอบในคำพูดตัวเองให้ครบวงจร)
โดยประเด็นนี้ แบ่งออกเป็น 3 ด้านคือ..
2.1 ผลที่อาจทำให้สาธุชนผู้ได้รับสาร.. เสื่อมศรัทธาใส่บาตรกับพุทธบุตรน้อยลง
ทำให้พุทธบุตรที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบ.. พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย มีความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก..
แน่นอนว่าคนที่พูดออกไปโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบแล้วเกิดเหตุเช่นนี้ เขาย่อมติดวิบากกรรมทางอ้อม
ครั้นเมื่อเขามีโอกาสบวช ย่อมมีผู้คนจ้องจับผิด หรือวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ร้าย และส่งผลต่อทานที่เขาจะได้รับ
คือ เขาทำอย่างไรย่อมได้รับผลอย่างนั้น.. แม้ตัวเขาเองจะไม่ได้รับรู้ถึงผลกระทบนั้นเลย ก็ต้องได้รับวิบากกรรม
(ปลูกถั่วเป็นถั่ว ปลูกงาย่อมเป็นงา) ดังนั้น เราจึงช่วยชี้ประเด็นเน้นย้ำ ป้องกันไว้ก่อน
เพื่อไม่ให้ท่านทั้งหลายติดวิบากกรรมไปทั้งผู้เผยแผ่ และผู้นำไปพูดไปบอกต่อ.. เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม..
2.2 ผลกระทบที่อาจทำให้สาธุชนที่รับรู้เรื่องนี้ โดยไม่ได้ตรองให้ครบวงจรเสียก่อน..
อาจเบื่อหน่ายและไม่อยากทำทานกับพุทธบุตรอีกเลย.. ซึ่งเป็นผลเสียโดยตรงต่อสาธุชนผู้นั้นเอง
เท่ากับตัดช่องทางสั่งสมบุญของตนเองโดยปริยาย.. เพราะเราก็รู้อยู่แล้วว่า..
เนื้อนาบุญที่ดีในยุคที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว.. มีเพียงหมู่สงฆ์ คณะสงฆ์เท่านั้น
แน่นอนว่าคนที่พูดออกไปโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบแล้วเกิดเหตุเช่นนี้ เขาย่อมติดวิบากกรรมทางอ้อม
ครั้นในกาลข้างหน้า.. ย่อมมีเหตุให้มีผู้มาบอกกล่าวข่าวร้าย หรือเรื่องไม่ดีแก่เขาผู้นั้น
โดยไม่ได้บอกให้ครบวงจร และไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบ.. อันเป็นเหตุให้เขาผู้นั้นเบื่อหน่ายเนื้อนาบุญ
คือ หมู่สงฆ์ คณะสงฆ์.. เป็นทางมาแห่งการตัดรอนโอกาสสั่งสมบุญของตนเอง..
ซึ่งช่วงเวลาหลงผิดนี้.. จะมากจะน้อย จะเนิ่นนานเพียงไร.. ก็ขึ้นอยู่กับภาพในอดีตที่ผลของสิ่งที่เขาได้ทำไป
กระทบกับผู้คนในวงกว้างเพียงไร และเนิ่นนานเพียงไร..
ข้อนี้พึงระวังให้จงหนัก.. เพราะอะไร.. เพราะ Internet ตอบง่าย ตอบคล่อง สะดวก แค่ทิ้งข้อความไว้
เดี๋ยวก็มีผู้มาอ่านเอง.. ส่วนข้อความนั้นจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง.. จะมีผลกระทบอะไรตามมา..
ย่อมไม่มีใครทักท้วงท่านอย่างทันท่วงที.. ไม่เหมือนการพูดคุยด้วยกายหยาบ ผู้ฟังทักท้วงได้ทันที..
ใน Internet นั้น.. กว่าจะมีผู้ทักท้วงท่านอีกที.. กรรมของท่านมีโอกาสสมบูรณ์ครบวงจรไปแล้วก็ได้..
นั่นคือ.. มีผู้เสพข้อความของท่าน และอาจเข้าใจผิดไปแล้วหลายท่าน แล้วใจหมองไปแล้วหลายท่านนั่นเอง..
ดังนั้น.. อยากจะเตือนทุกท่านเลยว่า.. ระวังไว้เถิด..
กรรมทาง Internet ทำง่าย.. กระจายเร็ว.. ส่งผลมาก..2.3 ผลกระทบที่เลวร้ายที่สุด.. ซึ่งอาจเกิดขึ้น และหากว่ากันตาม Logic แล้ว..
มีสิทธิ์เกิดขึ้นอย่างมาก ในระยะยาว.. คือ..
"ศาสนาเรียวลง"Step นี้เป็น Step ที่ต่อยอดมาจาก 2.1 และ 2.2 เป็นผลสุดท้ายที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ตาม Logic
ลองตรองดูเถิดท่านทั้งหลาย..
หากสาธุชนไม่ตรองสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาให้ดี.. รักษาใจตนเองเอาไว้ไม่ได้..
ใส่บาตรทำบุญทำทานกับพุทธบุตรน้อยลง.. กระทั่งไม่ใส่บาตร ไม่ทำบุญกับพุทธบุตรเลย..
ความเป็นอยู่ของพุทธบุตร.. ย่อมเป็นไปอย่างลำบากขัดสน..
ไม่เฉพาะเพียงเท่านนั้น.. เมื่อใครสักคนเสื่อมศรัทธา.. นอกจากเขาจะทำทานน้อยลงกระทั่งไม่ทำทานแล้ว..
แม้การเข้าหาพุทธบุตรเพื่อฟังเทศน์ฟังธรรม.. ก็ย่อมน้อยลง กระทั่งไม่มีเลย..
(ข้อนี้.. ท่านทั้งหลายที่เจอพระปลอม ลองถามใจตัวเองดูเถิดว่า.. อยากฟังพระปลอมเทศน์ให้ฟังไหม..
เราจะบอกว่า ความรู้สึกนั้นจะไม่ต่างจากสิ่งที่กล่าวถึงข้างต้น.. คือ..
บุคคลผู้เสื่อมศรัทธา ย่อมไม่อยากฟังธรรมจากบุคคลที่เขาเสื่อมศรัทธา..)
เมื่อพุทธบุตรมีความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก.. ทุรกันดาร.. เมื่อมีผู้ฟังเทศน์.. ฟังธรรมน้อยลง..
ผู้มาบวชย่อมน้อยลง.. เพราะไม่มีพระสายเลือดใหม่ที่จะบวชเข้ามาเพื่อรักษาพระพุทธศาสนา..เมื่อการณ์ทั้งหลายเป็นไปตามวงจรเช่นนี้.. ศาสนาย่อมเรียวลง..ถามใจของทุกท่านเอาเองเถิด.. ว่าต้องการแบบไหน..
--------------------------------------------------------------------------------------------
สำหรับประเด็น..
"ซึ่งการที่พระสงฆ์รูปนั้นทักมาเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วครับ หากคิดในแง่ดีจักแสดงให้เห็นว่าพระภิกษุรูปนั้นไม่อยากให้คุณจขกท.เสียทรัพย์โดยปล่าวประโยชน์นั่นเอง ผมเคยเห็นมาหลายครั้งแล้วเช่นกัน พระบางรูปพอได้รับข้าวสารอาหารแห้งไปแต่กลับใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ จะไม่รับบาตรก็ไม่เป็นการอันควรจึงจำเป็นต้องรับมา แล้วก็นำเก็บไว้โดยที่ไม่สามารถนำไปใช้ได้นอกจากเอาไปบริจาคต่อให้ผู้อื่น
เพราะฉนั้น อย่าไปคิดมากเลยครับ เปลี่ยนรูปแบบสิ่งของที่จะใส่บาตรเสียใหม่ หากเจอพระภิกษุรูปเดิมก็ทำเหมือนปกติไม่ต้องคิดอะไรมากครับ ท่านเองก็คงไม่คิดอะไรกับเราเช่นกัน หากเรายังปรับจิตใจของเราไม่ได้ ก็ให้คิดเสียว่าท่านเตือนเราเพราะอยากให้ทรัพย์ของเราเกิดประโยชน์กับท่านอย่างสูงสุดก็แล้วกันครับ"
เห็นด้วยทุกประการจ้า..
ยกเว้นเพียง รูปแบบ วาระโอกาส ในการที่ท่านจะพูดบอกกล่าวคำนี้ออกไป
ไม่เหมาะและไม่ควรด้วยประการทั้งปวง..ทำไมเราถึงกล้าพูดเช่นนี้..
อาจเป็นการไม่สมควรที่ Amphibian อย่างเราจะมากล่าวอะไรเช่นนี้
มันดูเป็นการบังอาจ และไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไหร่เลย..
เมื่อเทียบกับความเห็นของ ท่านที่บวชเรียนมาแล้วหลายท่าน..
เราก็ขออนุญาตเฉลยไว้ตรงนี้แบบไม่อายเลยว่า..
ดูก่อน.. ท่านทั้งหลาย..
"อันเพศสมณนี้.. เราเคยถือครองอยู่.."เมื่อครั้งที่วิบากกรรมกาเมยังส่งผลไม่รุนแรง.. ครั้งนั้นเราเป็นชายแท้.. และได้บวชเป็นพระภิกษุ..
เมื่อราว 12-13 ปีที่แล้ว..
ในครั้งนั้น.. เราสละเพศสมณ.. ด้วยเหตุที่พระพี่เลี้ยงประพฤติตนไม่เหมาะสมแก่สมณสารูป..
ซึ่งเราไม่ขอกล่าวถึงรายละเอียดอีก เพราะไม่อยากติดวิบากกรรมอีกแล้ว..
หรือ.. หากเรื่องที่เรายกมากล่าวอ้างทั้งหลาย
เกี่ยวกับศีลาจารวัตรที่งดงาม สงบ เสงี่ยม สง่างาม ของพระปัจเจกพุทธเจ้า..
ยังมีน้ำหนักไม่เพียงพอ.. เราขอตั้งคำถามให้ท่านทั้งหลายลองพิจารณาดู.. ว่า..
ดูก่อนท่านทั้งหลาย..
ประเด็นความประพฤติปฏิบัติ ศีลาจารวัตรอันงดงามของหมู่สงฆ์นี้.. ว่าสิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำ..
สิ่งใดเป็นอาบัติ.. สิ่งใดไม่เป็นอาบัติ.. สิ่งใดเป็นกรรมดำ.. สิ่งใดเป็นกรรมขาว..
สิ่งใดเป็นกรรมไม่ดำ-ไม่ขาว.. สิ่งใดติดวิบากกรรม.. สิ่งใดไม่ติดวิบากกรรม..
เราเชื่อว่า.. ท่านทั้งหลายที่ศึกษาพระพุทธศาสนามามากพอสมควร.. น่าจะตอบได้..
แต่หากยังตอบประเด็นนั้นๆไม่ได้.. ขอให้พิจารณาดังนี้.. ว่า..
หากพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า.. ยังทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่..
หากมีกรณีที่เกี่ยวพันกับศีลาจารวัตรของหมู่สงฆ์เช่นนี้เกิดขึ้น.... ดัง Case ในกระทู้นี้..
ท่านทั้งหลายคิดว่า.. พระพุทธองค์จะทรงแนะนำว่าอย่างไร....
การตอบคำถามนี้.. ต้องใช้ความรู้เชิงสังเคราะห์ จากแนวทางของพระพุทธองค์ในการปกครองหมู่สงฆ์
ซึ่งจะได้คำตอบที่ถูกต้อง.. ก็ต้องศึกษา Case ที่เกี่ยวพันกับศีลาจารวัตรของหมู่สงฆ์ทั้งหลาย
มามากมายพอสมควร..--------------------------------------------------------------------------------------------
ความจริงเราเลือดเย็นพอสมควรนะ..
เคยเห็นคนทุ่มเถียงกันในประเด็นธรรมมะมากมายหลายกระทู้..
โดยหยิบยกตำรา คัมภีร์ ที่ท่องจำมาอ้าง.. แต่เราปล่อยผ่าน.. ไม่ขอออกความเห็น..
ใครจะมีวิบากกรรมอะไร.. เราไม่สน.. เราปล่อยผ่านเลย..
เพราะไม่อยากเป็น "ตาบอดคลำช้าง" เพิ่มอีกคนนึง.. สั่งสมวิบากกรรมอีกคนหนึ่ง..
เพราะประเด็นเหล่านั้น ล้วนทุ่มเถียงกันด้วยตำรา
ซึ่งผ่านกาลเวลา ผู้คน สถานที่ ที่เกี่ยวข้องกับการจดบันทึกมามากมาย.. ย่อมผิดเพี้ยนไปบ้าง..
ทางที่ดีที่สุดคือ.. เร่งปฏิบัติธรรม.. แล้วไปดูของจริง..
แต่เรื่องเชิงสังเคราะห์.. ที่เกิดจากความคิดรวบยอดโดยอิงแนวทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..
จะเป็นอะไรที่แตกต่างกัน.. คือเราสังเคราะห์จากแนวทางในเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้..
แต่กระทู้นี้.. ที่เราไม่ปล่อยผ่าน.. เพราะ..
มีเพียงเหตุผลเดียวคือ..
เราไม่อยากให้พุทธบุตรมีความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก.. ซึ่งจะทำให้ศาสนาเรียวลง..ส่วนเหตุผลรองคือ..
เราไม่อยากให้ทุกท่านติดวิบากกรรมในการเผยแผ่สาระบางอย่าง.. โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบในวงกว้าง
ซึ่งเกี่ยวพันกับความเป็นอยู่ของพุทธบุตร และอายุพระศาสนา..อ่า.. เราบ่นจบแล้ว..
กราบขอประทานอภัยต่อพระคุณเจ้า พระอาจารย์ สามเณร และสาธุชนทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วย..
หากจะมีถ้อยคำใดไม่รื่นหู.. ขอให้รู้ไว้ว่าเราไม่มีจิตคิดร้ายกับท่านทั้งหลายเลย..
หากมีสิ่งใดกวนใจท่าน.. ขอได้โปรดอโหสิกรรมให้ข้าพเจ้าผู้อยู่ในเพศภาวะที่ต่ำต้อยด้วยเทอญ..
เราปารถนาดีต่อทุกท่าน และพระศาสนาของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างจริงใจ..
ด้วยจิตเคารพเลื่อมใส นอบน้อมสักการะบูชาต่อพระพุทธองค์ อย่างสูงสุด..