ขอสอบถามผู้รู้หน่อยค่ะว่า
ถ้าเราปฏิบัติธรรมที่พนาวัตร ถือว่าเราบวชชีพราหมณ์ได้ไหมคะ
แล้วอาหารที่นั่นเป็นอาหารเจหรือไม่
ถ้าไม่ใช่เจ เราสามารถแจ้งให้ทางพนาวัตรทราบได้ไหมคะ
ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยให้ความกระจ่างล่วงหน้านะคะ สาธุค่ะ

การขึ้น พนาวัตร ถือเป็นการบวชชีพราหมณ์ได้ไหมคะ
เริ่มโดย หัดทำบุญ, Aug 04 2008 11:34 AM
มี 7 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 04 August 2008 - 11:34 AM
#2
โพสต์เมื่อ 04 August 2008 - 11:57 AM
ได้ครับ แต่สมัยนี้เขานิยมเรียกว่า บวชชีพุทธครับ ไม่ใช่ชีพราหมณ์
ส่วนอาหารนั้น ทางวัดต้องการให้สาธุชน ฝึกเป็นอยู่อย่างนักบวช คือ ทานอาหารตามแต่เจ้าหน้าที่จัดให้ ไม่เลือกอาหารน่ะครับ ดังนั้น เมื่อเจ้าหน้าจัดอาหารใดให้ ก็รับประทานสิ่งนั้นน่ะครับ
ส่วนถ้าเราอยากหลีกเลี่ยงการทานเนื้อสัตว์ เพื่อสุขภาพของเรา (เพราะบางท่านหากทานเนื้อสัตว์จะย่อยยาก มีปัญหาสุขภาพหลายอย่าง) ทางพนาัวัตน์ก็มีผักสดหลากหลายพันธุ์ไว้คอบบริการครับ
ส่วนอาหารนั้น ทางวัดต้องการให้สาธุชน ฝึกเป็นอยู่อย่างนักบวช คือ ทานอาหารตามแต่เจ้าหน้าที่จัดให้ ไม่เลือกอาหารน่ะครับ ดังนั้น เมื่อเจ้าหน้าจัดอาหารใดให้ ก็รับประทานสิ่งนั้นน่ะครับ
ส่วนถ้าเราอยากหลีกเลี่ยงการทานเนื้อสัตว์ เพื่อสุขภาพของเรา (เพราะบางท่านหากทานเนื้อสัตว์จะย่อยยาก มีปัญหาสุขภาพหลายอย่าง) ทางพนาัวัตน์ก็มีผักสดหลากหลายพันธุ์ไว้คอบบริการครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#3
โพสต์เมื่อ 04 August 2008 - 01:02 PM
อาหารที่พนาวัฒน์ ไม่ใช่อาหารเจค่ะ เพราะทางวัดปฏิบัติตามคำสอนตามหลักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ไม่ได้งดรับประทานเนื้อสัตว์ ยกเว้นเนื้อที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม แต่สัตว์นั้นตายลงจากวิบากกรรมเองคือเราไม่ได้เห็นการฆ่า สัตว์นั้นไม่ได้ฆ่ามาเพื่อเรา ก็รับประทานได้ค่ะ

#4
โพสต์เมื่อ 04 August 2008 - 01:16 PM
ผมเคยทานมังสวิรัติแบบเคร่งมาก อยู่ต่อเนื่อง 5 ปี มีบางครั้งไปเข้าค่าย ผมไม่มีอาหารทาน ผมทานข้าวเปล่า ช่วงที่มารู้จักวัดผมก็ทานมังสวิรัติอยู่ แต่เป็นรอบ 2 แต่ผมมาสะดุดใจคิดเองว่าทำไมหนอ อย่างหลวงปู่หลวงพ่อคุณยาย ท่านก็ทานปกติ ทำไมท่านได้ธรรมะขั้นสูง แล้วเราเคยทานมังสวิรัติ 5 ปี กิเลสก็ยังอ้วนพลี ธรรมะก็ไม่ได้ ฉะนั้นหลวงพ่อว่าอย่างไร ก็เลยว่าตามกันครับ ทุกวันนี้ก็เลยทานธรรมด๊า ธรรมดาครับ
#5
โพสต์เมื่อ 04 August 2008 - 01:52 PM
ศาสนาพุทธ ไม่มี ชีพราหมณ์ครับ มีแต่แม่ชี ซึ่งก็คือ อุบาสิกา ที่ถือศีลแปด
ที่พนาวัฒน์ ก็ต้องถือ ศีลแปด จึงมีวัตรปฏิบัตรเหมือนแม่ชีครับ เพียงแต่ไม่ต้องโกนศรีษะเท่านั้นครับ
อุบาสิกาที่ถือศีลแปด กับแม่ชี ก็คืออย่างเดียวกัน เพียงแต่ต่างกันแค่รูปแบบครับ
เคยมีชาวต่างประเทศ เรียก อุบาสิกาที่วัดพระธรรมกายว่า modern nun คือ ชีสมัยใหม่ครับ
ที่พนาวัฒน์ ก็ต้องถือ ศีลแปด จึงมีวัตรปฏิบัตรเหมือนแม่ชีครับ เพียงแต่ไม่ต้องโกนศรีษะเท่านั้นครับ
อุบาสิกาที่ถือศีลแปด กับแม่ชี ก็คืออย่างเดียวกัน เพียงแต่ต่างกันแค่รูปแบบครับ
เคยมีชาวต่างประเทศ เรียก อุบาสิกาที่วัดพระธรรมกายว่า modern nun คือ ชีสมัยใหม่ครับ
#6
โพสต์เมื่อ 04 August 2008 - 02:09 PM
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ถ้าใครจะกรุณาช่วยหาข้อมูลหน่อยเถิดครับว่า อันใด อย่งไร ทำไมถึงเป็นบวชชีพราหม์ครับ หรือต่างกันแค่ โกนผมกับไม่โกนผม อย่างที่คุณยายผมบอกครับ
คืออย่างนี้ เมื่อก่อน(นาน...น๊าน....นาน)คุณยายผมเคยอยู่ในวังของหม่อมเจ้าสักองค์หนึ่งแต่ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว ช่วงเข้าพรรษาเนี้ย ถ้าเจ้านายที่ปกครอง(เป็นพระญาติพระองค์หนึ่ง)พวกตนเองไปขอบวชถือพรรษาอยู่ที่วัด เหล่าข้าราชบริพารที่จงรักภักดีที่เป็นชายก็จะไปบวชด้วยเพื่อตามไปรับใช้ ส่วนที่เป็นหญิงก็จะไปบวชชีถืออุโบสถศีลโกนศรีษะนุ่งขาวห่มขาวอยู่ในวัดเพื่อหุงหาอาหารถวายการรับใช้อยู่ภายนอกเขตสงฆ์แต่ยังอยู่ในวัดอีกชั้นหนึ่ง
แต่คุณยายก็บอกว่า มีบางนางเหมือนกันที่ห่วงสวย โดยเฉพาะพวกนางละครก็ไม่อยากโกนผม ก็จะไปถือศีลแปดนี่แหละ ยังนุ่งขาวหม่ขาวอยู่แต่ไม่โกนผมไม่โกนคิ้ว พักอยู่นอกเขตวัด โดยให้พวกพราหม์ในราชสำนักบวชให้ ก็เลยเรียกชีพราหม์กัน ไม่ต้องอยู่ให้ครบพรรษาก็ได้ อยากเลิกก็บอกพราหม์ ส่วนใหญ่จะบวชพร้อมกับเจ้านายแต่ขอเลิกก่อน เจ็ดวันบ้าง สิบห้าวันบ้าง อะไรทำนองเนี้ยแหละ ไม่รู้โดนคุณยายหลอกหรือเปล่า
คุณยายบอกว่า สมัยคุณยายพุทธกับพราหม์แยกกันไม่ออก มีพิธีควบคู่กันมาตลอด จะมีเฉพาะชาวบ้านเท่านั้นแหละที่พุทธเป็นพุทธ แต่ก็มีพิธีพราหม์แทรกเข้ามาบ้างตามความนิยม คุณยายยังบอกเลยว่า การจุดธูป(การเผาเครื่องหอมบูชา)การจุดเทียน(การบูชาไฟ)ก็เป็นวัฒนธรรมของพวกพราหม์ แต่เราเห็นว่าดีก็เลยรับมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลโน้นแล้ว
ส่วนเรื่องกินเจ ถ้าจำไม่ผิด คุณยายบอกว่าน่าจะเป็นการเอาอย่างพวกชาวจีนที่เข้ามาในไทย เพราะปกติวันโกนวันพระสมัยคุณยายเขาก็ห้ามฆ่าสัตว์ทำอาหารกันอยู่แล้ว(ถึงขั้นลงหวายกันเลยนะครับ) อาศัยจากที่ทำไว้ล่วงหน้ากับไปซื้อที่ตลาด พอเห็นชาวจีนเขาเคร่งทานเจกัน ไทยเราก็เลยเอาอย่างบ้าง(มั้ง) แต่คุณยายก็เคยเล่านะครับว่ามีพระคุณเจ้าหลายรูปเหมือนกันที่ไม่ฉันเนื้อสัตว์ อย่างที่เราเรียกว่าเจเขี่ยนะครับ ท่านว่ามันทำให้อายุไม่ยืนหรืออะไรนี่แหละ ผมกับคุณแม่ก็จำไม่ค่อยได้แล้ว คุณยายก็กลับสวรรค์ไปนานแล้ว จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่กลับมาเล่าต่อ ไอ้ที่เล่าไว้เราก็ยังเด็ก จะอาศัยความจำคุณแม่ก็เจ็ดสิบห้าเข้าไปแล้ว
ยังไง ถ้าคุณยายกลับมาเล่าต่อก็จะมาเขียนให้อ่านกันนะครับ ช่วงระหว่างรอ ใครมีข้อมูลอะไรดีๆก็มาชาวยๆกันได้นะครับ
อนุโมทนาบุญด้วยครับ
คืออย่างนี้ เมื่อก่อน(นาน...น๊าน....นาน)คุณยายผมเคยอยู่ในวังของหม่อมเจ้าสักองค์หนึ่งแต่ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว ช่วงเข้าพรรษาเนี้ย ถ้าเจ้านายที่ปกครอง(เป็นพระญาติพระองค์หนึ่ง)พวกตนเองไปขอบวชถือพรรษาอยู่ที่วัด เหล่าข้าราชบริพารที่จงรักภักดีที่เป็นชายก็จะไปบวชด้วยเพื่อตามไปรับใช้ ส่วนที่เป็นหญิงก็จะไปบวชชีถืออุโบสถศีลโกนศรีษะนุ่งขาวห่มขาวอยู่ในวัดเพื่อหุงหาอาหารถวายการรับใช้อยู่ภายนอกเขตสงฆ์แต่ยังอยู่ในวัดอีกชั้นหนึ่ง
แต่คุณยายก็บอกว่า มีบางนางเหมือนกันที่ห่วงสวย โดยเฉพาะพวกนางละครก็ไม่อยากโกนผม ก็จะไปถือศีลแปดนี่แหละ ยังนุ่งขาวหม่ขาวอยู่แต่ไม่โกนผมไม่โกนคิ้ว พักอยู่นอกเขตวัด โดยให้พวกพราหม์ในราชสำนักบวชให้ ก็เลยเรียกชีพราหม์กัน ไม่ต้องอยู่ให้ครบพรรษาก็ได้ อยากเลิกก็บอกพราหม์ ส่วนใหญ่จะบวชพร้อมกับเจ้านายแต่ขอเลิกก่อน เจ็ดวันบ้าง สิบห้าวันบ้าง อะไรทำนองเนี้ยแหละ ไม่รู้โดนคุณยายหลอกหรือเปล่า
คุณยายบอกว่า สมัยคุณยายพุทธกับพราหม์แยกกันไม่ออก มีพิธีควบคู่กันมาตลอด จะมีเฉพาะชาวบ้านเท่านั้นแหละที่พุทธเป็นพุทธ แต่ก็มีพิธีพราหม์แทรกเข้ามาบ้างตามความนิยม คุณยายยังบอกเลยว่า การจุดธูป(การเผาเครื่องหอมบูชา)การจุดเทียน(การบูชาไฟ)ก็เป็นวัฒนธรรมของพวกพราหม์ แต่เราเห็นว่าดีก็เลยรับมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลโน้นแล้ว
ส่วนเรื่องกินเจ ถ้าจำไม่ผิด คุณยายบอกว่าน่าจะเป็นการเอาอย่างพวกชาวจีนที่เข้ามาในไทย เพราะปกติวันโกนวันพระสมัยคุณยายเขาก็ห้ามฆ่าสัตว์ทำอาหารกันอยู่แล้ว(ถึงขั้นลงหวายกันเลยนะครับ) อาศัยจากที่ทำไว้ล่วงหน้ากับไปซื้อที่ตลาด พอเห็นชาวจีนเขาเคร่งทานเจกัน ไทยเราก็เลยเอาอย่างบ้าง(มั้ง) แต่คุณยายก็เคยเล่านะครับว่ามีพระคุณเจ้าหลายรูปเหมือนกันที่ไม่ฉันเนื้อสัตว์ อย่างที่เราเรียกว่าเจเขี่ยนะครับ ท่านว่ามันทำให้อายุไม่ยืนหรืออะไรนี่แหละ ผมกับคุณแม่ก็จำไม่ค่อยได้แล้ว คุณยายก็กลับสวรรค์ไปนานแล้ว จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่กลับมาเล่าต่อ ไอ้ที่เล่าไว้เราก็ยังเด็ก จะอาศัยความจำคุณแม่ก็เจ็ดสิบห้าเข้าไปแล้ว
ยังไง ถ้าคุณยายกลับมาเล่าต่อก็จะมาเขียนให้อ่านกันนะครับ ช่วงระหว่างรอ ใครมีข้อมูลอะไรดีๆก็มาชาวยๆกันได้นะครับ
อนุโมทนาบุญด้วยครับ
สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ .....
ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน .....
ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ .....
อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ
#7
โพสต์เมื่อ 04 August 2008 - 03:16 PM
ไปพนาวัฒน์ ไม่ต้องกลัวครับ มีอะไรกิน ก็กินตามที่เจ้าหน้าที่จัดให้ แล้วกาย ใจ จะสบ้าย สบาย เนื้อสัตว์ กินให้เหมาะสมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่บาปครับ อย่ากังวลเลยครับ ผมก็เชื่อสายจีน แต่กินง่ายๆแบบพระสอน กายก็สบาย ใจก็สบาย ปฏิบัติธรรมก็สบาย ความสุขก็เกิดได้ง่ายๆ แบบนี้แหละครับ ลองดูนะครับแล้วผลเป็นอย่างไร บอกกันบ้าง
#8
โพสต์เมื่อ 05 August 2008 - 04:07 PM
