
เรื่องไม่น่ารู้ที่ควรจะรับรู้
#1
โพสต์เมื่อ 10 July 2007 - 09:26 AM
“ทำไมไม่ไปทำบุญที่วัดพระธรรมกายล่ะ ทำบุญกับวัดนี้ดีน่ะ จะรวยนะ หลวงพ่อบอกว่าทำบุญยิ่งเยอะจะยิ่งรวย ยิ่งทุ่มยิ่งรวย ยิ่งทำบุญเจดีย์ยิ่งจะรวยเป็นพันล้านเลย ใครทำบุญกับวัดนี้รวยกันทุกคนแหละ ใครมาวัดนี้จะได้ขึ้นสวรรค์ทุกคน ต่อไปนรกจะว่าง บรา...บรา...บรา...ฯลฯ” อะไรทำนองเนี้ยแหละ แล้วก็พร่ำพรรณนาว่าเขารักหลวงพ่ออย่างนั้น รักหลวงพ่ออย่างนี้ เล่าถึงความยากลำบากของหลวงพ่อในการสร้างวัด แล้วก็ร้องไห้สงสารหลวงพ่อ คุณแม่ผมก็เริ่มอายคนรอบข้าง เพราะอยู่ไม่อยู่ก็นั่งคุยกันแล้วมีร้องไห้
คุณแม่โมโหก็เลยสวนไปว่า “แล้วคุณไปวัดนี้แล้วรวยหรือเปล่าล่ะ”
เขาก็ตอบว่า “ เดี๋ยวก็รวย หลวงพ่อบอกว่าฉันจะรวยเป็นร้อยล้านพันล้านเลย ถ้าชาตินี้ไม่รวยเดี๋ยวชาติหน้าก็รวย” แล้วก็บรรยายเรื่องเดิมซ้ำอีกรอบ ลงท้ายด้วยว่า “คุณจะไปไหมล่ะฉันจะพาไป”
คุณแม่ก็ว่า “อ๋อ..ที่คุณพูดมาทั้งหมดนี่จะชวนฉันไปวัดธรรมกายหรอกหรือ”
เขาก็บอกว่า “ใช่ จะชวนไปรวยด้วยกันไง”
คุณแม่ผมรำคาญก็เลยลุกหนีไปนั่งที่อื่น แล้วมาพูดกับผม(วันนี้)ว่า เดี๋ยวนี้วัดธรรมกายใช้การโฆษณาแบบนี้แล้วหรือ เอาความรวยมาล่อคนเข้าวัดแล้วหรือ ฯลฯ
อยากให้อ่านแค่นี้ก่อน อยากรู้ว่าแต่ละท่านมีความรู้สึกอย่างไรกันบ้าง แล้วผมจะมาสรุปให้ฟังอีกครั้ง ว่าที่เขียนมานี้นะเพื่ออะไร
กราบอนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ
#2
โพสต์เมื่อ 10 July 2007 - 09:44 AM
#3
โพสต์เมื่อ 10 July 2007 - 10:23 AM
เพราะฉนั้นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง คือการรักษามารยาทความพอดี และไตรตรองสถานการเฉพาะหน้าอย่างรอบคอบ แล้วแต่สถานการณ์ครับ
#4
โพสต์เมื่อ 10 July 2007 - 10:53 AM
สรุปนะครับ เข้าได้ ต้องมีสติ อย่าหลงงมงาย อย่ายึดติดอยู่กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งอยู่มากจนเกินไปครับ

#5
โพสต์เมื่อ 10 July 2007 - 11:10 AM
#6
โพสต์เมื่อ 10 July 2007 - 11:45 AM
เปรียบเสมือนบัว 4 เหล่า ปัญญาลดหลั่นกันไป ปัญญาเกิดแจ้งได้ ไม่เหมือนกัน เป็นไปตามกรรมแห่งตน
#7
โพสต์เมื่อ 10 July 2007 - 11:49 AM
#8
โพสต์เมื่อ 10 July 2007 - 12:39 PM
การจะบอกบุญ หรือชวนใครเข้าวัดก็มีศิลปะหน่อยอ่ะครับ
วิธีของผม ก็ต้องดูท่าทีของเค้าก่อนว่าเค้ามีความเข้าใจกับวัดระดับไหน
แล้วก็ค่อยๆแก้ไขข้อข้องใจ อธิบายสิ่งต่างๆที่เค้าสงสัยให้เข้าใจก่อน
แล้วก็ค่อยๆเค้าให้เค้า้รู้สึกปลื้มๆ แล้วจึงชวนเค้ามาวัด
เค้าจะมา หรือเข้าใจที่เราอธิบายหรือป่าวก็อีกเรื่องนะ ^^
#9
โพสต์เมื่อ 10 July 2007 - 02:24 PM
เห็นด้วยกับทุกความคิดเห็นของเพื่อนกัลยาณมิตร ที่ตอบมานะครับ
??? เคยสงสัยบ้างไหมครับว่า
Q1 ทำไมหลายท่านเจอสาธุชนลักษณะนี้ ประมาณว่า ศรัทธาล้นถ้วย หลายครั้งก็(ดู)เหมือน งมงาย
จึงทำให้เข้าใจวัตถุประสงค์การไปวัดในพุทธศาสนาิแบบผิดพลาดคลาดเคลื่อน
จึงทำให้เข้าใจวงจรชีวิตในสังสารวัฎฎ์ผิดพลาด คลาดเคลื่อน
จึงทำให้เข้าใจวัตถุประสงค์การบริจาคทาน รักษาศีล นั่งสมาธิแบบผิดพลาดคลาดเคลื่อน
Q2 แต่หลายๆ ท่าน ไม่ไได้เจอสาธุชนลักษณะ ศรัทธาล้นถ้วย
แต่มีวาสนาได้เจอกัลยาณมิตรที่ให้ข้อมูลและความรู้ที่ถูกต้อง
ในการไปวัด ในการบริจาคทาน รักษาศีล นั่งสมาธิ อย่างถูกพุทโธวาท
เมื่อเข้าใจถูกดีแล้วท่านเหล่านั้นจึงมีฉันทะ ความยินดี พอใจ สมัครใจ
บำเพ็ญทาน รักษาศีล ขยันนั่งสมาธิอย่างต่อเนื่อง
หลายท่านเปลี่ยนแปลงทั้งทัศนคติและพฤติกรรมในการดำเ้นินชีวิตให้ถูกต้องศีลและธรรม
และได้เดินมาสู่เส้นทางบุญ ได้พัฒนาตนให้กลายเป็นนักสร้างบารมีที่น่าสรรเสริญมาก
แค่ถามให้คิด เท่านั้นครับ
#10
โพสต์เมื่อ 10 July 2007 - 03:36 PM


#11
โพสต์เมื่อ 10 July 2007 - 07:24 PM
ณ ตู้โชว์ที่มีเหรียญที่ระลึกงานบุญ พระ รูปหล่อหลวงปู่ ฯลฯ ของบูธ บูธนึงบนสภาธรรมกาย มีผู้นำบุญท่านนึงที่น่าจะเป็นบุคคลที่เข้าวัดมานาน สังเกตุจากการแต่งตัว ชุดอุบาสิกาก็เป็นแบบที่สั่งตัด แถมยังมีเหรียญเกียรติยศ สายสะพายต่างๆติดเต็มเสื้อเลย (ซึ่งก็คือเหรียญที่ระลึกงานบุญต่างๆนั่นแหละ-มีมากพอกับในตู้โชว์ตรงหน้านั่นเลย)
ผู้นำบุญท่านนี้ นำคนใหม่(ดูจากการแต่งกายแล้วไม่น่าจะเคยมาวัดเรานะ)มาเดินชมเหล่าของในตู้โชว์นั้น พร้อมกับบรรยายว่า เหรียญนี้ชื่อเหรียญ... มีเอาไว้แล้วดีนะ ตั้งแต่มีมาพี่ทำมาค้าขึ้นตลอด เหรียญนี้คือเหรียญ...คุณ(ชื่อเจ้าภาพใหญ่ท่านนึง)ได้มาก็ขายของได้มากมายเกินเป้า เหรียญนี้ก็ดี คนนั้นรถคว่ำไม่มีแม้แต่รอยแมวข่วน บรา...บรา...บรา...
คนฟังก็ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ แล้วก็พากันเดินจากไป
ผมยืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้ยินแม้แต่คำเดียวว่า เหรียญนี้คือเหรียญที่ระลึกงานบุญนั้น งานบุญนี้ หลวงพ่อท่านเมตตามอบให้เพื่อที่เราเวลาเห็นจะได้ระลึกถึงวันที่เราได้รับ ว่าเราได้รับมาเพราะเหตุใด กระทำเรื่องดีๆใดเอาไว้ครั้งหนึ่งในชีวิต คำพูดเหล่านี้ไม่มีหลุดออกมาแม้แต่คำเดียว
ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ เจ้าหน้าที่ที่ยืนเฝ้าตู้โชว์นั้นก็ให้ความร่วมมือหยิบออกมาให้ชมโดยไม่พูดอะไรสักแอะเดียว
ยังมีเรื่องที่สามอีกเรื่องก่อนที่ผมจะสรุปนะครับ
อนุโมทนาบุญครับ
#12
โพสต์เมื่อ 10 July 2007 - 08:40 PM
อย่างไรก็ขอคำแนะนำจากนรอ. ทัพพีในหม้อ
เพื่อชี้ขุมทรัพย์ แนวทางแก้ไข ข้อควรปรับปรุง
เพื่อช่วยกันปรับระนาบศรัทธาให้ควบคู่สัมมาทิฎฐิที่ถูกต้อง ให้เพื่อนกัลยาณมิตร ด้วยนะครับ
อนุโมทนาบุญอย่างยิ่งครับ สาธุ
#13
โพสต์เมื่อ 10 July 2007 - 09:51 PM
ต้องพิจารณาทุกข้่อแล้วตัดสินใจ พูดหรือทำไปตามความเหมาะสม
ดังต่อไปนี้
๑ ความเป็นผู้รู้จักเหตุ
๒ ความเป็นผู้รู้จักผล
๓ ความเป็นผู้รู้จักตนเอง
๔ ความเป็นผู้รู้จักประมาณ
๕ ความเป็นผู้รู้จักกาล
๖ ความเป็นผู้รู้จักบุคล
๗ ความเป็นผู้รู้จักประชุมชน
ผู้นำบุญทุกท่านควรนำไปใช้น่ะครับ
#14
โพสต์เมื่อ 11 July 2007 - 01:23 AM
แต่จริงๆ นะ ต้องแก้ไขเรื่องนี้ด่วนเรย ทำเป็นรายการออกทาง DMC แหละ ดีที่สุด ได้ดูกันทั่วถึง เพราะเวลาคนด่า คนแอนตี้ เค้าไม่ได้ด่าคนที่ไปนำบุญ หลวงพ่อเราสิรับเละ อยู่คนเดียว แต่ก็เจอมาหลายครั้งแล้วนะ บางคนก็ ALERT จนเว่อร์ ขนาดเราเองเป็นคนวัดดูแล้วยังรู้สึกว่าคนนี้เว่อร์ไปหน่อย บางทีก็มาเล่าผิดๆบ่อยเรย กลายเป็นใส่ร้ายหลวงพ่อโดยไม่ได้ตั้งใจ บาปอีก
ไฟล์แนบ
#15
โพสต์เมื่อ 11 July 2007 - 08:55 AM
วันนี้ผมมีงานด่วน ผมจะเข้ามาเล่าเรื่องที่สาม และ สี่ ซึ่งเป็นสองเรื่องสุดท้ายในวันพรุ่งนี้ แล้วรอฟังความคิดเห็นของทุกท่าน ก่อนที่จะจบเรื่องทุกอย่าง
มีข้อควรถามทุกท่านอยู่อีกข้อคือ ในเนื้อหาทั้งหมดจะครอบคลุมบุคคลเหล่านี้ คือ
๑. บุคคลทั่วไป ที่มาทำบุญที่วัด
๒. เจ้าภาพใหญ่หรือผู้นำบุญ
๓. เจ้าหน้าที่วัด(ไม่ใช่เจ้าหน้าที่อาสาสมัคร)
๔. พระวัดเรา(ที่ไม่ใช่หลวงพ่อและพระอาจารย์)(ผมนี่ไม่อายปากตัวเองเลย ใช้คำว่าวัดเราหน้าตาเฉย อิ อิ)
ปัญหาของผมคือ ในบุคคล ๓ กลุ่มแรกนั้น ผมไม่ลำบากใจสักเท่าไหร่ที่จะเขียนถึง แต่ท่านในกลุ่มที่ ๔ นี่ซิผมไม่รู้ว่าเหมาะสมหรือเปล่าที่จะยกมาเล่าไว้ในนี้ ถ้าถามว่า ถ้าไม่เล่าจะมีผลกระทบกับเนื้อหาหรือไม่ ขอตอบว่าโดยตรงแล้วก็ไม่สำคัญนัก แค่สามเรื่องก็น่าจะพอชี้ประเด็นได้ แต่ที่ต้องการกล่าวถึงนั้นเพราะต้องการชี้ให้เห็นว่า การที่วัดเราจะอยู่รอดได้ถึงพันปีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการกระทำของบุคคล ๔ กลุ่มนี้ ก็เลยจำเป็นจะต้องยกตัวอย่างเหล่านี้มาเล่าให้ฟังกัน
ถ้าทุกท่านคิดว่า แค่บุคคล ๓ กลุ่มแรกก็น่าจะเพียงพอแล้ว เพราะการกล่าวถึงกลุ่มที่ ๔ นั้น หมิ่นเหม่ขอบนรกเหลือเกินสำหรับผู้เล่า ก็ตักเตือนมาได้นะครับ เพราะบางทีการคิดอะไรคนเดียวก็ไม่ครอบคลุมเหตุผลทั้งหมด อาจมีแง่มุมที่ผมมองไม่เห็นก็ได้
ถ้ามีความเห็นว่าเนื้อเรื่องไม่เหมาะสม กรุณาลบกระทู้นี้ออกโดยเร็วนะครับ ผมจะไม่ติดใจใดๆทั้งสิ้นเลย
กราบอนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ
#16
โพสต์เมื่อ 11 July 2007 - 10:26 AM
#17
โพสต์เมื่อ 11 July 2007 - 11:27 PM
"ถ้ามีใครมาเล่าเรื่องราว แบบที่คุณเล่าก็ดีสิ ทำไำมคนอื่นๆ ถึงไม่พูดแบบคุณล่ะ ..."

แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง
#18
โพสต์เมื่อ 12 July 2007 - 10:08 AM
ผมเคยเป็นอาสาสมัครช่วยงานบุญที่วัดในวันอาทิตย์ของแผนกการให้บริการแผนกหนึ่ง ด้วยความที่ผมทำงานเป็นผู้จัดการบริษัท ผมก็มักจะมีความเห็นว่าทำไมเราไม่ทำอย่างนั้น ทำไมเราไม่ทำอย่างนี้ล่ะ งานจะได้สะดวกขึ้น งานจะได้ง่ายขึ้น จะบริการได้หลากหลายขึ้น ก็ได้เสนอความคิดเห็นให้กับพี่ที่เป็นเจ้าหน้าที่ประจำจุดนั้นๆรับทราบ ผมจำได้ไม่แน่ใจว่าพี่เขาตอบว่าอะไร ประมาณว่าจะดีหรืออะไรทำนองนี้แหละ แต่ที่แน่ๆคือไม่ได้"ห้าม"ให้เราทำ ผมก็ทำสิ่งนั้นไปได้สักระยะหนึ่ง ก็มีคำสั่งจากพระที่ท่านดูแลส่วนงานนี้ให้ระงับการกระทำเหล่านั้น เหตุผลคือ การกระทำของผมไปส่งผลกับระบบต่างๆของหน่วยงานบริการอื่นๆ ซึ่งผมคิดไปไม่ถึง เนื่องจากระบบบริหารกิจกรรมของวัดเรานั้นทุกฝ่ายจะเกี่ยวเนื่องและเคลื่อนไหวไปด้วยกัน(สิ่งที่ดีมากๆหน่วยงาน องค์กร บริษัท ไหนเรียนรู้ได้และนำไปใช้จะเจริญแน่นอน) จากการกระทำของผมทำให้เกิดการสะดุด ไม่ต่อเนื่อง ผมก็รู้สึกเสียใจและได้กราบขออภัยกับหลวงพี่ท่านไป นั่นก็ไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องที่เกิดต่อมานี่ซิ
พี่คนที่เป็นเจ้าหน้าที่ประจำจุดบริการท่านนั้นก็เรียกประชุมอาสาสมัครในจุดนั้นๆทั้งหมด แล้วพูดถึงเรื่องนี้ว่า "...พี่รู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น พี่คิดอยู่แล้วเชียวว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ มันต้องเกิดปัญหาขึ้น พี่ทำงานจุดนี้มาหลายปี พี่ไม่เคยโดนตำหนิเลย นี่เป็นครั้งแรกที่พี่โดนตำหนิ บรา...บรา...บรา...."
ผมโมโห ผมก็เลยถามว่า " ...ถ้าพี่รู้อยู่แล้วว่าผลสรุปมันจะเป็นอย่างนี้ พี่ปล่อยให้ผมทำ ทำไม ก่อนทำผมก็แจ้งให้พี่ทราบแล้วว่าผมจะทำอะไร พี่ก็ไม่ได้ห้าม ทั้งที่พี่มีสิทธิเต็มที่ ที่จะห้าม เนื่องจากเป็นผู้รับผิดชอบในจุดนี้ แต่กลับปล่อยให้ทำจนเกิดปัญหาขึ้น... "
พี่เขาตอบผมว่า " ...พี่กลัวจะเป็นวิบากที่ไปขัดศรัทธาของเธอ ที่เธอตั้งใจทำ เดี๋ยวต่อไปพี่ไปทำอะไรก็จะมีคนคอยขัดขวาง... "
ผม "..........."
ปัจจุบันนี้ผมก็ไม่ได้เป็นอาสาสมัครช่วยงานวัดที่จุดไหนอีกเลย
มีความเห็นยังไงกันบ้างครับ
อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ
#19
โพสต์เมื่อ 12 July 2007 - 01:42 PM
เห็นใจ จขกท. จริงๆ ค่ะ...
เจตนาดี และ ทราบและ รู้สึกผิด ต่อสิ่งที่ตัวเองทำลงไปด้วยความหวังดี
แต่กลับมาถูกว่าทีหลัง....
เพื่อไม่ให้เป็นวิบากกับใครเลยนะคะ รวมทั้งตัวของ ดิฉัน ด้วย
ดิฉันคิดว่า ถ้าทุกคนเอาสิ่งที่เราได้เรียน พระธรรม ต่างๆ มาใช้ เรื่องเหล่านี้คงดีกว่านี้
เราคงได้ฝึกใช้ปัญญาอย่างแยบยล
เมื่อวาน ดิฉันก็เจอเรื่องที่ทำให้ตัวเองโมโหมาก แต่เพราะว่า ก่อนออกจากบ้านได้ดู มโหสถบัณฑิต
จำได้ว่า หลวงพ่อทัตตะ เคยกล่าวว่า มโหสถนั้นเป็นการใช้ปัญญาบารมี ไม่ใช่การสร้างบารมีโดยตรง แต่
ปัญญายิ่งใช้ ก็ยิ่งเพิ่มพูน
นัยยะที่ยกขึ้นมานั้น มิได้มีเจตนาจะกล่าวติเตียนใครๆ นะคะ คืออย่างนี้ค่ะ
เมื่อวาน ดิฉัน รู้แล้วว่าต้องมีเรื่องกับผู้หญิงคนนั้นแน่ๆ ด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง หากดิฉันยอมเธอเสีย...เรื่องคงดีกว่านี้
แต่ดิฉันยอมเธอน้อยไป เพราะใจที่โกรธแต่พยายามระงับ ข่มใจไม่ให้โกรธ พยายามใช้ปัญญาโดยการพูดเหตุผล....
แต่เธอ ก็เป็นเธอค่ะ...
ท้ายสุด สิ่งที่ตัวเองสอนตัวเองไว้ ว่าก็ย้อนมาสอนตัวว่า เราพ่ายต่อมารแล้ว มารนั้นคือความโกรธของเราเอง
ทั้งที่เราพยายามจะรื้อผังขี้โมโหของเราออกให้ได้ จึงพยายามข่มใจไว้ ท่องในใจ ขันติบารมี เราคนปฏิบัติธรรมนะ
อภัยทานได้ เราคือผู้ชนะนะ และ ได้บุญที่เป็นทานใหญ่ด้วย
ดิฉันไม่โกรธเธอแล้ว แต่กลับรู้สึก เคืองตัวเอง ที่เราตั้งใจจะไม่โกรธ แต่ก็โดนมารลองใจอีก แล้วเราก็แพ้อีก แต่ก็ภูมิใจนิดๆว่า เราพยายามได้ดีพอควร เพราะในที่สุด เราก็ยอมเธอ หากเป็นเมื่อก่อน อย่าหวังเลย....
ทั้งหมดนี้ เมื่อประมวลแล้ว จะพอสรุปให้ตัวเองได้ว่า
1. อภัยทาน
2. ขันติบารมี
3. หลวงพ่อ และ หมู่คณะย้ำเสมอ เรื่องของ วจีกรรม ที่คนในหมู่คณะเดียวกัน ต้องระวัง
4. ช่างเขาเถิด.....ต้นผักชี จะให้เป็น ต้อนจามจุรี หรือ ต้นหูกวางได้อย่างไร
ฉันใดก็ฉันนั้น คนอย่างนั้น จะให้เป็นคนอย่างนี้ อย่างที่เราต้องการได้อย่างไร
อย่างไรเสีย เมื่อใครไม่อยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ ก็อาจไม่เข้าใจว่า อารมณ์มันฉุดไม่อยู่จริงๆ
ขออนุโมทนาในความจริงใจที่อยากให้หมู่คณะของพวกเราเจริญรุดหน้านะคะ......
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
#20
โพสต์เมื่อ 12 July 2007 - 04:47 PM
#21
โพสต์เมื่อ 12 July 2007 - 05:59 PM
บรา...บรา...บรา.... เป็นศัพท์แสลงทับเสียงภาษาอังกฤษ (BRAAAA....BRAAA...BRAAA...)เขาจะใช้แทนคำพูดเพ้อเจ้อ พูดเรื่อยเปื่อย พูดไม่หยุดน้ำไหลไฟดับนะครับ ในทำนองเหน็บแนม เสียดสีเล็กๆ ไม่ถือเป็นคำหยาบ เป็นคำที่ใช้กับการพูดโดยเฉพาะ ถ้าจะเขียนมักปรากฏในการ์ตูนภาษาอังกฤษนะครับ ถ้าภาษาไทยก็คงใช้คำว่า พล่าม...พล่าม...พล่าม... ได้นะครับ แต่ผมว่าความหมายมันแรง ผมก็เลยเลี่ยงมาใช้คำนี้แทน จะดูสุภาพขึ้นมานิดนึงนะครับ
อนุโมทนาบุญครับ
#22
โพสต์เมื่อ 12 July 2007 - 09:05 PM
#23
โพสต์เมื่อ 14 July 2007 - 09:46 AM
หรือไม่รู้ว่าศัตรูกำลังควบคุมอยู่ มีโซ่ตรวนกวนใจ แม้แต่สิ่งที่พวกเรากำลังพะวงในเรื่องนี้อยู่ก็เป็นหนึ่งในโซ่ตรวนนั้น
โดยประสบการณ์ส่วนตัว เคยได้กราบเรียนถามคุุณครูไม่ใหญ่ในปัญหาหลายปัญหากับท่านอันเกิดจากหมู่คณะ อันเป็นที่
เปิดเผยแก่สาธารณะชนไม่ได้ แม่แต่ปัจจุบันนี้ก็ยังมีปัญหานั้นอยู่ แต่เห็นไหมว่าความเจริญก้าวหน้าก็ยังดำเนินต่อไป ท่านมอง
เห็นปัญหาอย่างไร ท่านที่ได้ปฏิบัติธรรมกับท่านจะเข้าใจทุกปัญหาทั้งหมดดังนี้
ว่านี่คือการทำสงครามชิงเชลยวิบากกรรม มนุษย์เป็นหุ่น ศัตรูจะต้องเข้าควบคุมจำคิดเห็นรู้ผู้มีอินทรีย์อ่อนให้จงได้ แม้
เขาจะมีใจอันเป็นกุศลก็ตาม กุศลก็ยังปนโมหะได้ โทสะได้ โลภะได้ เขาแทรกแซงทำไม ก็ไม่ต่างใส้ศึกในใจ ทำให้แม่ทัพ
ใหญ่จำเป็นต้องฝ่าฟันไปพร้อมกับนำทหารบาดเจ็บอันเป็นภาระไปด้วย
คนเคยสร้างบูญร่วมกันมาเมื่อบุญในตัวเขาส่งผลก็เหมือน ศัตรูได้สลัดโซ่ตรวนบางส่วนออก ต่อให้ชวนวิธีพิสดารอย่างไร
ก็ต้องมามาแล้วเป็นปัญหาก็ไม่ต่างพลหุงข้าว พลทหารในกองทัพย่อมไม่ชำนาญในการศึก อาจเป็นใส้ศึกเสียเองเราก็จำทน
เหตุการณ์อย่างที่กล่าวกันมีมาอย่างนี้แต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะศัตรูของเราเขาชำนาญมากในเรื่องนี้ ขอเพียงแต่เรา
มองอย่างเท่าทัน เราก็จะไม่มีใส้ศึกมานั่งเป็นเจ้าเข้าครองในใจ จะได้มีความเจริญในธรรมโดยเร็ว
#24
โพสต์เมื่อ 25 July 2007 - 12:10 PM
เศร้าเน๊อะ! แต่อีกนัยหนึ่งก็รู้สึกดีใจว่า อย่างน้อยก็มีกลุ่มหนึ่ง กลุ่มเล็กตรงนี้ บนเวปบอร์ดนี้ ที่มีความเข้าใจ สอนตัวเองได้ ไม่ให้โกรธ เอาธรรมะ ความอดทน อดกลั้น และครูบาอาจารย์เป็นหลักของใจ เอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาเป็นข้อคิดสอนตัวเอง เป็นบทเรียนที่จะมอบให้ผู้มาภายหลังได้เรียนรู้ และระมัดระวัง คนแบบนี้แหละค่ะที่ผู้นำต้องการ เพราะเขาจะแบ่งเบาภาระต่างๆ ให้แก่ผู้นำได้เป็นอย่างดี เขาจะคอยถ่ายทอดคุณธรรม และความเข้าใจของธรรมชาติในการมาอยู่ร่วมกัน ของคนหลากหลาย และปักหลักคุณธรรม ความเข้าใจ ไปสู่บุคคลอื่นให้เป็นเหมือนเขา เข้มแข็ง อดทน ยืนหยัด และเข้าใจหมู่คณะ และนี่คือ บทฝึกฝนคุณธรรมในตัวให้เพิ่มพูน พร้อมที่จะเป็นหลักและแสงสว่างให้คนอื่นต่อไปค่ะ
(คุณธรรมในตัวของแต่ละคน มีไม่เท่ากันนะคะ เช่น ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความกตัญญูกตเวที ความอดทน อดกลั้น ความมีน้ำใจ มีเมตตา ใจกว้าง ความไม่ดื้อรั้น นึกถึงพระคุณของผู้อื่นเสมอ เป็นต้น ในการคัดเลือกผู้ทำวิชชา ในปัจจุบันนี้ คุณธรรมอยู่ในอันดับต้นๆ เลยนะคะ)
#25
โพสต์เมื่อ 10 August 2007 - 03:39 PM
เรื่องของเรื่องคืองานเยอะ ไม่มีสมาธิมากพอที่จะตอบ จะฝืนตอบให้จบๆไปก็กลัวจะไม่ครบประเด็นดั่งใจที่ต้องการจะชี้ให้ทุกท่านเห็น พอมีเวลาว่างก็ดันเอาเครื่องไปล้างไวรัสอีกก็เลยยืดเยื้อมาจนทุกวันนี้ แต่วันนี้จบแน่ครับ
จากหลายๆความเห็นที่มีเข้ามา ทุกท่านต้องการทราบว่าต้องทำยังไงดี ทุกท่านมีความเป็นห่วงเป็นไยพุทธศาสนา ต้องการให้พุทธศาสนาเป็นไปในทางที่เหมาะสม ถูกต้อง ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง แม้กลุ่มบุคคลเหล่านี้จะยังมีจำนวนน้อยอยู่มาก แต่ผมเชื่อว่าสักวัน วันที่ทุกๆท่านช่วยกันลุกออกมาปกป้อง ดูแล บำรุงพระพุทธศาสนากันอย่างจริงจังต้องมาถึงแน่นอน
ทั้งหมดทั้งมวลในเรื่องที่ผมยกตัวอย่างมานี้
อยากจะให้ทุกๆท่านที่เป็นพุทธมามกะ ถามตัวท่านเองซิครับว่า เราเป็น "กัลยาณมิตรที่ดี" หรือยัง
การที่เราชักชวนคนมาทำบุญที่วัดเรา นั่นทำให้เราได้ชื่อว่า "กัลยาณมิตรที่ดี" แล้วหรือ
การที่เราเป็นผู้จัดรถอำนวยความสะดวกให้ผู้ที่มาทำบุญที่วัด นั่นทำให้เราได้ชื่อว่า "กัลยาณมิตรที่ดี" แล้วหรือ
ฯลฯ
ผมอยากจะให้พวกเราทุกท่านได้เป็น "กัลยาณมิตรที่เป็นกัลยาณมิตรจริงๆ" นั่นคือ เพื่อนผู้แนะประโยชน์ ทุกท่านมีใจรักในบุญ อยากทำบุญ อยากให้ทุกๆคนที่อยู่รอบตัวท่านทำบุญ แต่ขอบเขตแค่ไหนล่ะที่เราจะกระทำได้ การกล่าวชักชวนให้ท่านอื่นๆสนใจรักในการทำบุญต้องพูดแค่ไหนถึงจะพอเหมาะพอสม อย่างกรณีแรกที่คุณแม่ผมเจอ แทนที่ท่านที่กล่าวชักชวนจะประสพผลสำเร็จในการชักชวน กลับกลายเป็นว่า มาทำให้คุณแม่ผมขุ่นมัว แถมยังทำให้คุณแม่ท่านกล่าววาจาจาบจ้วงหมู่คณะของวัดพระธรรมกายเป็นวิบากกรรมด้วยอารมณ์ขุ่นมัวนั้นด้วย คุณอาจจะบอกว่า ฉันก็ได้บุญในส่วนที่ฉันทำ คือการกล่าวชักชวนแล้ว แต่เป็นเรื่องของคนฟังเองต่างหากที่ไม่เปิดใจ ถ้าจะกล่าวเช่นนั้นก็ถูก ถ้าเรามองแค่ตัวเราเอง
แม้แต่กรณีที่สอง เรื่องของผู้นำบุญ ผมก็เข้าใจว่าผู้นำบุญท่านนั้นต้องการที่จะสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นในใจของคนใหม่ที่ท่านนั้นพามาด้วย เพราะเราก็รู้ๆกันอยู่ สำหรับคนนอกวัดแล้วปาฏิหาริย์กับพุทธศาสนานั้นแทบจะเป็นเรื่องเดียวกันที่เดียว ผู้นำบุญท่านนั้นต้องการให้บุคคลเหล่านั้นเกิดความ"ทึ่ง"ในบารมีของบุญที่สถิตอยู่ในเหรียญที่ระลึกงานบุญนั้นๆก่อนที่จะทำการแนะนำในเรื่องบุญอื่นๆ เหมือนประมาณว่า(เวลาอ่านช่วยทำเสียงทุ้มๆต่ำๆด้วยนะครับ)
"โอ๊ว...ศักดิ์สิทธิ์จริงๆเลย มันยอดมากเลยยย ลินดา"
"ใช่..จอร์จ ศักดิ์สิทธิ์ยอดเยี่ยม แล้วที่ยอดเยี่ยมกว่านั้นนะ จอร์จ ถ้าจอร์จอยากได้ไว้ครอบครองจริงๆ แค่จอร์จทำบุญสร้าง...เพียงแค่จำนวนเงิน.....เท่านั้นเอง จอร์จ ก็จะได้รับเหรียญ.......มาเป็นที่ระลึกแล้ว" (ชวนทำบุญ)
"โอ๊ว...เพียงง่ายๆเท่านี้เองหรือ ลินดา ดีจริงๆเลยยย "
"ยังไม่เท่านั้นนะ จอร์จ ถ้า จอร์จ ได้รับของที่ระลึกไปแล้ว แล้ว จอร์จ นั่งสมาธิพร้อมกับเอาเหรียญวางไว้ที่กลางท้องแล้วอธิษฐาน จอร์จก็จะได้ทุกอย่างอย่างที่ จอร์จ ต้องการเลยแหละ" (ชวนนั่งสมาธิ)
"โอ๊ว..พระเจ้า อะไรจะพิเศษสุดเท่านี้ไม่มีอีกแล้ว ขอบใจ ลินดา จริงๆเลยยย ที่มาแนะนำเรื่องดีๆให้กับผม..."
ฯลฯ
(เว่อร์ไปหรือเปล่าหว่า)
ในส่วนของผู้นำบุญท่านนั้น ก็คงจะถือว่าการเป็นกัลยาณมิตรครั้งนี้ได้ประสพผลสำเร็จลงแล้ว
แต่ตัวบุคคลผู้ที่ท่านพามาท่านนั้นเล่าได้รับสิ่งที่เป็น"ประโยชน์"แก่ตนเองมากน้อยแค่ไหน อะไรที่เราควรแนะนำหรือนำเสนอให้กับคนอื่นๆ
แม้แต่เรื่องที่สามก็เหมือนกัน ถ้าเราต้องการเป็นกัลยาณมิตรที่ดีแล้ว การกล่าวตักเตือนเป็นเรื่องที่ไม่สมควรกระทำหรือ ถ้าเรามีเหตุผลมากพอ การห้ามกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะส่งผลเสียขึ้นมาภายหลังเป็นสิ่งที่ไม่ควรตัดสินใจกระทำกระนั้นหรือ กัลยาณมิตร เป็นแค่ผู้ที่จะแนะนำแต่เรื่องที่เป็นบุญเป็นกุศลเท่านั้นหรือ
ผมอยากให้ทุกท่านได้มองเห็นสิ่งเหล่านี้ ให้กลับมามองย้อนดูตนเองซิว่า เราพร้อมที่จะเป็นกัลยาณมิตรที่ดีหรือยัง อย่าเพียงแต่ยึดติดว่า ฉันสามารถชวนคนทำบุญกับฉันได้เยอะ เจอใครก็ชวนแต่ทำบุญ คุณเคยนั่งคุยชี้ทางแก้ปัญหาชีวิตในทางโลกของเขาไหม หรือแม้แต่ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีหรือเปล่า คุณชวนคน จัดรถพามาวัดทีละ 2-3 คันรถบัส แต่พอมาถึงวัดแล้ว ทิ้งเขาเหล่านั้นให้นั่งรวมกลุ่มกันอยู่เฉยๆ ส่วนตัวคุณก็ไปทำธุระส่วนตัวของคุณ ตอนเย็นก็มาพากลับ นั่นหมายถึงว่า คุณได้ทำหน้าที่กัลยาณมิตรแล้วหรือ
ผมไม่รู้หรอกนะครับว่า การที่ผมชวนคนมาวัดได้แค่ 2-3 คนตั้งแต่เข้าวัดมา ซึ่งทุกวันนี้ทุกท่านเหล่านั้นก็กลายเป็นเจ้าหน้าที่วัดไปหมดแล้ว กับการที่ผู้นำบุญทั้งหลายชวนคนขึ้นรถมาได้ครั้งละ 200-300 คนแต่ทำแบบที่ผมกล่าวมาแล้ว อันไหนมันเหมาะสมกับการเป็น "กัลยาณมิตร"มากกว่ากัน
อยากเหลือเกินว่า ให้ทุกท่านทำความเข้าใจเสียใหม่กับคำว่า "กัลยาณมิตร" หรือแม้กระทั้งคำว่า "ผู้นำบุญ" เมื่อทุกท่านเข้าใจสิ่งเหล่านั้นดีแล้ว คำว่า เพื่อนผู้แนะประโยชน์ ก็จะเกิดขึ้นมาเองอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างน้อยๆ เราก็จะเป็นกัลยาณมิตรให้กับตัวเราเอง ทำสิ่งที่พอเหมาะพอสม เมื่อเราเป็นกัลยาณมิตรให้ตัวเราเองได้แล้ว ต่อไป การเป็นกัลยาณมิตรให้กับคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป พุทธศาสนาของเราก็จะเจริญรุ่งเรือง สถาพรต่อไปอีกนานเท่านาน
หวังว่าเรื่องราวเหล่านี้คงพอเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย แต่ถ้ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่เหมาะไม่ควร ก็ของความกรุณาได้ชี้แจงให้ผมได้เข้าใจด้วย แม้กระทั้งอาจทำให้บางท่านขุ่นข้องหมองใจ ผมก็ขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียวและขอกราบขออโหสิกรรมเหล่านั้น อย่าได้ให้เกิดเป็นวิบากกรรมติดตามผมไปอีกเลย
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
กราบขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยนะครับ
#26
โพสต์เมื่อ 04 August 2008 - 12:00 PM
แต่ทุกคนเกิดมาเพื่อใช้กรรมใช่ใหมคะ ทุกคนมีกรรมมาตั้งแต่เกิด กรรมที่ส่งผลให้เกิดการเดินออกนอกทางสายกลางน่ะค่ะ มันจะยั่วยุให้เราก่อกุศลและบาปกับผู้อื่น มันอยู่ที่ทุกคนจะเอาชนะมารที่เข้ามาในชั่วขณะเหล่านั้นได้มากแค่ไหน ถ้าคุณรู้สึกโกรธไม่พอใจกับการกระทำของใคร เราเองที่แย่กว่าเขานะคะที่ไปพิจารณาผู้อื่น จงพิจารณาตัวเองให้อยู่ในความไม่ประมาท ทั้งกาย วาจา ใจดีกว่าค่ะดีมั๊ยคะพี่ๆ เพื่อนๆ น้อง ๆ ซึ่งมันก็คือพื้นฐานของศีลห้า หากเราเห็นสิ่งที่ไม่พึงใจอะไรก็ตาม คิดเสียว่านั้นคือกรรมของเค้า ยิ่งเราไปพิจารณาเค้าในทางที่ไม่ดีก็ยิ่งทำกรรมแก่ตนเองอย่างน้อยก็ทางใจ เราทำให้เขาทุกข์ใจ เราและผู้อื่นทุกข์ใจใช่ใหมคะ ในแง่ดีเค้าคือผู้สอนให้เราตั้งอยู่ในความไม่ประมาทแม้แต่มโนกรรม ดิฉันว่ามันเป็นการรักษาให้อยู่ในศีลที่ยากที่เราจะคิดไม่ให้ใจ ความคิด ออกนอกลู่นอกทางได้100%นะคะแม้แต่ตัวเรา
คิดว่าพวกคุณทุกคนทั้งที่ถุกกล่าวถึงและเขียนโต้ตอบในบอร์ด เป็นผู้ที่มีคุณประโยชน์ในการธำรงพุทธศาสนามากทีเดียวนะคะแต่ก็ต้องระวังการละเมิดศีลห้าโดยไม่ตั้งใจจากมโนกรรม วจีกรรม กายกรรมด้วยค่ะ มันจะเกิดกรรมแก่ตนเองโดยไม่เจตนาคะ
#27
โพสต์เมื่อ 04 August 2008 - 09:39 PM
โดยเฉพาะ คห. 25 โดยส่วนตัว โชคดีที่มีกัลยาณมิตรที่ดี และเคยพยายามเป็นกัลยาณมิตรให้กับเพื่อนๆ มันยากนะคะ และต้องทำทีละคน ทำพร้อมๆ กันหลายๆ คนไม่ได้ คือต้องดูว่าแต่ละคน เป็นคนยังไง สุดท้ายก็ต้องบอกตัวเองว่าต้องถอยมาตั้งหลัก(เพราะถ้าทู่ซี้ไป ก็คงไม่ได้ประโยชน์อะไร รังแต่จะเป็นผลเสีย เสียมากกว่า) เราต้องสร้างบารมีให้มากกว่านี้ ต้องเข้าใจเรื่องราวความเป็นไปให้มากกว่านี้
โดยส่วนตัว เคยไปช่วยงานที่บูธนึง ก็ทำให้เข้ารู้ว่า การจะไปทำงานตรงนั้นต้องมีบารมีแยะมากๆ และต้องใจเย็นๆๆ มากกๆๆๆๆ ขออภัยนะคะ....เจ้าหน้าที่บางท่านก็ยังเป็น "นางยักษ์" อยู่ค่ะ มีเรื่องบางเรื่องที่คงไม่สามารถเอ่ืยอ้างในที่นี้ได้ สาเหตุทั้งหลายทั้งปวง ก็มาจาก พวกเราทั้งหลายก็ยังเป็นผู้ซึ่งแสวงหาทางหลุดพ้น ฉะนั้นำหรับบจะให้เป็นมนุษย์อันสมบูรณ์ คงเป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งที่สำคัญเหนืออื่นใดก็คือ เราได้หมั่นสังเกตุ และปรับปรุงตัวเองมากแค่ไหน ในขณะทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้
...อันนี้มิได้มีเจตนาร้ายแต่ประการใด(เพราะเราติด้วยใจบริสุทธิ์ อยากให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้น ฉะนั้นไม่กลัววิบากกรรมที่จะเกิดจากอันนี้ค่ะ)
จริงๆ ที่ภายในวัด ยังคงมีปัญหาอยู่มากมาย ที่บางทีสายตาภายนอกก็ไม่อาจมองเห็นได้ และลึกซึ้งเกินไปที่จะเข้าใจ แต่...ณ วันนี้ วัดก็ได้เจริญก้าวหน้า มีผู้เข้าใจ ทาน ศีล สมาธิ มากขึ้น
คำถามวันนี้ (ฝากไว้ให้คิด) ถ้าตัวเราเองใจยังไ่ม่นิ่งพอ จะแน่ใจได้ไหม ว่าในขณะที่เราเข้าไปอยู่ตรงนั้น(ในวัด) จะไม่สร้างวิบากกรรมให้ตัวเองมากขึ้น ประเภทบุญปนบาป
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป